เสียงระเบิดดังสนั่นทั่วทั้งป้อมปราการเป็นพักๆ แต่ลูกหลังดูไม่รุนแรงเท่าลูกแรก เริ่นเสี่ยวซู่ที่รีบไปจุดเกิดเหตุเห็นชาวป้อมปราการนับพันเดินออกมานอกบ้าน ทุกคนต่างจับกลุ่มคาดเดากันไปต่างๆ นานาว่าเกิดอะไรขึ้น
มีคนพูดว่าน่าจะมีไฟไหม้โรงงานสักแห่ง ระเบิดก็เกิดจากวัตถุไวไฟในนั้น
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องธรรมดาแบบนั้นหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะตรึงเครียดแบบนี้ด้วย ว่ากันตามตรง ตอนนี้ป้อมปราการ 109 เป็นสถานที่รวมตัวกันของตัวอันตรายมากหน้าหลายตาทีเดียว
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่มาถึงหน้าตึกสูง เขาก็เห็นป้ายสัญลักษณ์ของธนาคารสมาคมตระกูลหลี่ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เขาสนใจตอนนี้ เขาปีนข้างตึกขึ้นไปข้างบนทันที
ทว่าพอมาถึงขอบดาดฟ้า ขณะเขากำลังดันตัวขึ้นไปนั้น ก็มีปลายกระบอกปืนดำเมี่ยมชี้มาที่หน้าผากเขา เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป ไม่คิดเลยว่าจะมีคนขึ้นมาบนนี้เช่นกัน! เขาเงยหน้าก็เห็นเงาร่างสวมหมวกที่คุ้นเคย
หยางเสียวจิ่นดูจะประหลาดใจที่เห็นหน้าเริ่นเสี่ยวซู่ พวกเขามีความเข้าใจกันแบบไร้เสียงประหลาดๆ อยู่ การกระทำคล้ายกัน เลือกสถานที่เหมือนกัน
แต่ตอนนี้หยางเสียวจิ่นได้เปรียบกว่าอย่างเห็นได้ชัด เธอยิ้มพลางว่า “มาทำอะไรที่นี่ตอนนี้ล่ะ”
“พวกเราก็ตามเสียงระเบิดมาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่ว่าเสียงนิ่ง ตอนนี้เขามั่นใจแล้วระเบิดไม่ใช่ฝีมือของหยางเสียวจิ่น เพราะจุดที่พวกเขาอยู่กับจุดที่เกิดระเบิดนั้นห่างกันค่อนข้างไกล
เริ่นเสี่ยวซู่พยายามหลบปลายกระบอกปืนของหยางเสียวจิ่น แต่ด้วยทักษะการใช้ปืนของเธอ เขามั่นใจว่าหลบขนาดไหนก็ไม่รอดอยู่ดี
หยางเสียวจิ่นยิ้ม “ฉันขอถามอีกรอบนะ มีดนั่นของฉันหรือของนาย”
เริ่นเสี่ยวซู่ตอบอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “ของฉัน”
หยางเสียวจิ่น “…”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดเลยว่าเวลาแบบนี้เธอจะมาห่วงเรื่องมีดอีก ก็เหมือนกับหยางเสียวจิ่นนั้นแหละที่ไม่คิดเลยว่าเริ่นเสี่ยวซู่ยังจะห่วงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของมีดอยู่ได้!
“งั้นขึ้นมา” หยางเสียวจิ่นชักปืนกลับพร้อมตีสีหน้าเย็นเยียบ เธอไม่รู้แล้วว่าจะรับมือเริ่นเสี่ยวซู่อย่างไรดี ที่ชี้ปืนใส่ก็แค่อยากขู่เฉยๆ ไม่ได้จะยิงจริงๆ
เริ่นเสี่ยวซู่ปีนขึ้นไปบนดาดฟ้า จากนั้นก็ปัดฝุ่นตามเสื้อผ้า “สรุปเกิดอะไรขึ้น ทำไมเสียงถึงดังขนาดนั้น”
“บริษัทหัวจ่งกำลังเล่นกับไฟ” หยางเสียวจิ่นว่า “ผู้มีพลังพิเศษเข้าหาพวกเขาเพื่อขายเลือด เขาคิดว่าบริษัทหัวจ่งเป็นองค์กรการกุศลสักอย่าง แต่บริษัทหัวจ่งกลับลงมือทันที คิดจับเขาแต่ไม่สำเร็จ”
“คือบริษัทหัวจ่งใช้เงินล้านเป็นเหยื่อล่องั้นสิ?” เริ่นเสี่ยวซู่ดีใจจริงๆ ที่ไม่ไปขายเลือดตัวเองและห้ามเฉินอู๋ตี๋ไว้ได้ เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “แล้วทำไมบริษัทหัวจ่งจับเขาไม่สำเร็จล่ะ”
บริษัททรงพลังเช่นนั้น มีหรือจะคิดจับผู้มีพลังพิเศษด้วยไม่เตรียมพร้อมไว้ก่อน
“ก็สำเร็จอยู่หรอกตอนแรก พวกเขาฉีดยาสลบโดสใหญ่ไปที่ผู้มีพลังพิเศษแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะพาเพื่อนมาด้วย” หยางเสียวจิ่นพูด “ผู้มีพลังพิเศษทั้งสองคนน่าจะรู้จักกันมาก่อน พวกเขาคงตกลงกันก่อนแล้วว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับอีกคน อีกคนก็จะยื่นมือเข้ามาช่วย ถือว่าเป็นพันธมิตรน้อยก็ได้แหละ”
เริ่นเสี่ยวซู่เข้าใจแล้ว ขนาดผู้มีพลังพิเศษที่คิดขายเลือดยังเตรียมการอะไรๆ ไว้ก่อนเลย เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ “งั้นบริษัทหัวจ่งก็ฉิบหายแล้วสิ แบบนี้ก็เป็นโอกาสให้เราเข้าปล้น…”
“อย่าดูถูกบริษัทหัวจ่ง” หยางเสียวจิ่นส่ายหน้า “กองกำลัง ‘ก่อนอรุณ’ ภายใต้บริษัทหัวจ่งแข็งแกร่งมาก ตอนนี้ในป้อมปราการมีพวกเขาอยู่แค่ห้านายเท่านั้น ผู้มีพลังพิเศษสองคนนั้นยังรอดอยู่ได้ก็เพราะเจ้าอ้วนหลัวของสมาคมตระกูลชิ่งกำลังสร้างเรื่องวุ่นวายอยู่หรอก”
“หลัวหลาน?” เริ่นเสี่ยวซู่ประหลาดใจ “เขาไปทำอะไรบริษัทหัวจ่งเข้าล่ะ”
“ปีก่อนชิ่งเจิ่นซุ่มโจมตีจับคนของบริษัทหัวจ่งไปร้อยกว่าคน” หยางเสียวจิ่นพูด “บริษัทหัวจ่งกับสมาคมตระกูลชิ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมานานแล้ว เป็นพวกแบบไม่ตายไม่ยอมเลิกราประมาณนั้น”
เริ่นเสี่ยวซู่งุนงงอยู่หน่อยๆ “ทำไมชิ่งเจิ่นมีปัญหากับบริษัทหัวจ่งล่ะ”
“บริษัทหัวจ่งใช้วิธีนี้ล่อทหารของชิ่งเจิ่นคนหนึ่งที่อยู่ช่วงลาพักไป ปฏิบัติการครั้งนั้นลุล่วงดี ชิ่งเจิ่นเพิ่งรู้เรื่องหลังจากบริษัทหัวจ่งถอนกำลังไป” หยางเสียวจิ่นว่า “แต่ชิ่งเจิ่นวางกำลังซุ่มโจมตีไว้อยู่แล้วและช่วยทหารนายนั้นกลับมาได้”
เริ่นเสี่ยวซู่ “…”
อะไรจะขนาดนั้นน่ะ ดูยุ่งเหยิงชะมัด การต่อสู้ระหว่างสมาคมเข้มข้นขนาดนั้นเลย?
เริ่นเสี่ยวซู่อดถามไม่ได้ว่า “แล้วทำไมพวกเธอถึงเล็งจัดการชิ่งเจิ่นล่ะ ดูแล้วเธอน่าจะเป็นศัตรูกับบริษัทหัวจ่งนี่ ศัตรูของศัตรูคือมิตรไม่ใช่เหรอน่ะ”
หยางเสียวจิ่นมองเขาตาขวาง “ศัตรูก็คือศัตรู พวกเราไม่จับมือกันหรอก”
เริ่นเสี่ยวซู่ถึงได้รู้ว่าองค์กรของหยางเสียวจิ่นมีเป้าหมายหรือหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าคิดแตะต้องผลประโยชน์ของพวกเขา ย่อมตกอยู่ในรายชื่อสังหาร
“สงสัยมากล่ะสิ” ปืนสไนเปอร์ไรเฟิลขนาดมหึมาโผล่วูบขึ้นมาบนมือของหยางเสียวจิ่น เธอเอาแก้มแนบเข้ากับปืนที่เย็นเยียบ จากนั้นก็มองผ่านกล้องเล็งที่แทบจะใหญ่เท่าแขนเธออยู่แล้ว “บริษัทหัวจ่งกับชิ่งเจิ่นพยายามควบคุมอะไรบางอย่างที่พวกเขาไม่มีทางควบคุมได้ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว ปลายทางมีแต่หายนะ”
เริ่นเสี่ยวซู่เข้าใจแล้ว จุดประสงค์ที่แท้จริงขององค์กรหยางเสียวจิ่นคือความรักและสันติสุข…
ใช่ก็บ้าแล้ว! เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เชื่อหรอกว่าโลกนี้จะมีคนไม่เห็นแก่ตัวแบบนั้น!
ตอนนี้เองเริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นทหารจากสมาคมตระกูลหลี่แห่มายังสนามรบนับไม่ถ้วน พวกเขารีบปิดพื้นที่ ตั้งสิ่งกีดขวางและบังเกอร์ จากนั้นหน่วยรบอาวุธครบมือก็แทรกซึมเข้าไปในป้อมปราการด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกัน สถานที่ที่หยางเสียวจิ่นอยู่นั้นอยู่นอกวงล้อมพอดี เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าตัวเองโชคดีแล้วที่เลือกที่นี่ไว้ส่องสถานการณ์ แต่หยางเสียวจิ่นต้องไม่ได้ใช้โชคกับเรื่องนี้แน่ เธอน่าจะรู้วิธีการปฏิบัติงานของกองกำลังสมาคมตระกูลหลี่เป็นอย่างดี ถึงได้เลือกใช้งานที่นี่
เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “สมาคมตระกูลดูจะมาช้าๆ นะเนี่ย ป้อม 109 เป็นบ้านพวกเขาไม่ใช่เหรอไง”
“ตอนนี้พวกเขามีเรื่องสำคัญกว่าให้คุ้มกันนะสิ” หยางเสียวจิ่นพูดเสียงนิ่ง “อะไรที่ไม่ส่อว่าเป็นภัยพวกเขาก็ไม่สนใจหรอก แล้วก็เงียบได้แล้ว!”
ลมหายใจของหยางเสียวจิ่นแผ่วบางลง
เริ่นเสี่ยวซู่มองไปตามทิศของปืนสไนเปอร์ ก่อนจะเห็นฝาท่อระบายน้ำแห่งหนึ่งนอกอาณาเขตของสมาคมตระกูลหลี่ถูกผลักเปิดออกจากด้านใต้ ผู้แรกที่คลานออกมาคือหลัวหลาน!
เขาเห็นหลัวหลานหอบแฮกปีนออกมา ตามมาด้วยถังโจวและทหารที่เหลือ ถังโจวแบกคนหมดสติผู้หนึ่งมาด้วย พวกเขาวิ่งไปที่รถที่จอดอยู่ใกล้ๆ เหมือนคิดจะใช้มันหลบหนี