เจ้าสำนักหลัวน้ำตาคลอพลางมองไปที่มู่เฉียนซีราวกับว่านางได้ช่วยชีวิตเอาไว้ ใช่ พวกเจ้าไปสู้กันที่สนามรบโบราณจะดีกว่า อย่ามาสู้กันที่นี่เป็นอันขาด!
“เข้าไปในสนามรบโบราณ เจ้าต้องตาย!” หลิงกล่าวอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็นั่งลง
คำแนะนำของหลานสาวตนเอง เขาจะไม่หยุดไม่ได้
เฟิงอวิ๋นซิวก็รู้ว่าตอนนี้จำนวนคนของฝ่ายตรงข้ามนั้นแข็งแกร่งกว่าเขามาก หากมาเปลืองพลังที่นี่ นั่นเป็นสิ่งที่ไร้ความคิดสิ้นดี
อวี้จียิ้มพลางกล่าว “ความสามารถของน้องสาวไม่เลวเลย สามารถทำให้หลิงผู้ไร้ความปรานีกับนายน้อยอวิ๋นซิวผู้หยิ่งยโสเชื่อฟังได้”
“พูดมาก!”
อวี้จีคิดจะเบียดเบียนมู่เฉียนซีต่อ แต่สุดท้ายก็ตกใจสายตาอันเย็นยะเยือกของหลิงไม่กล้าพูดมาก
เฟิงอวิ๋นกล่าว “เปิดสนามรบโบราณที่ห้า พวกเราต้องการเข้าไปเดี๋ยวนี้”
เจ้าสำนักหลัวกล่าว “มีเวลาเตรียมพร้อมไม่เพียงพอ วันพรุ่งตอนฟ้ามืดถึงจะเปิดได้ ทำได้เพียงแค่รบกวนทุกท่านรออีกหนึ่งวัน ข้าได้เตรียมที่พักให้กับทุกท่านแล้ว”
ในขณะที่กล่าวคำนี้ออกมา เจ้าสำนักหลัวรู้สึกกระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง
ราวกับว่ามีสิ่งของอันตรายสองอย่างวางอยู่ตรงหน้าเขา แค่แตะเพียงเล็กน้อยก็จะระเบิดออกมา จากนั้นเขาและสำนักหลัวเทียนก็จะแหลกสลายกลายเป็นผุยผงก็มิปาน
ความกังวลของเขานั้นมีมากเกินไป ถึงแม้ว่าหลิงจะเยือกเย็นไร้ความปรานี แต่ก็ใช่ว่าเขาจะเป็นคนไร้เหตุผล
เฟิงอวิ๋นซิวก็ไม่มีความเห็นเช่นกัน เขากล่าว “วันพรุ่งจะต้องจะต้องเปิดให้ได้!”
“ได้!”
เจ้าสำนักหลัวกลัวว่าหากพวกเขาพักใกล้กันจะต่อสู้กันขึ้นมา ดังนั้นจึงจัดที่พักให้พวกเขาอยู่ไกลกันมาก
แต่ผลลัพธ์ที่จัดเตรียมเช่นนี้กลับทำให้หลิงไม่พอใจเป็นอย่างมาก
บัดซบ! กว่าจะได้เจอกับซีเอ๋อร์นั้นมันไม่ง่ายเลย ที่พักยังอยู่ห่างจากเขามากเช่นนี้อีก
เมื่อมาถึงภายในเรือนพัก มู่เฉียนซีก็กล่าวว่า “เฟิงอวิ๋นซิว ฝ่ายตรงข้ามมีผู้ช่วย แต่เจ้ากลับไม่มีกองกำลังเสริม เจ้าไม่กลัวว่าองครักษ์ผู้เก่งกาจผู้นั้นกับนางจิ้งจอกผู้นั้นจะฆ่าเจ้าจริง ๆ เหรอ”
เดิมทียังนับว่าพอฟัดพอเหวี่ยงกัน แต่ดูเหมือนว่าหลังจากที่สตรีผู้นั้นเข้ามา ก็เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตำหนักตงจี๋นั้นอ่อนแอกว่า
ดวงตาของเฟิงอวิ๋นซิวขุ่นมัวลง เขากล่าว “คนของข้าตามมาไม่ทันแล้ว หากเจ้ากลัวว่าจะเป็นอันตรายก็ถอนตัวได้!”
นายน้อยอวิ๋นซิวผู้ที่ภายนอกดูดี แต่เบื้องหลังมีศัตรูทั้งในที่แจ้งและแอบซ่อนอยู่มากมายที่ต้องต่อสู้
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้ามีวิธีปกป้องชีวิตตัวเองก็ดี ส่วนข้า เดินมาถึงขั้นนี้แล้วข้าไม่ถอยแน่นอน”
ถึงแม้ว่าพลังของนางจะอ่อนแอ แต่เฟิงอวิ๋นซิวนั้นเป็นศัตรูของหลิง ส่วนมู่เฉียนซีนั้นไม่ใช่ นั่นคืออารองของนาง เขาไม่มีทางให้เกิดเรื่องขึ้นกับนางเป็นอันขาด
ทว่า อารองเขา……
มู่เฉียนซีกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้ก็เก็บพลังให้ดี ไม่แน่วันพรุ่งอาจจะมีการสู้รบที่ดุเดือดที่ต้องสู้ก็ได้”
กล่าวจบ มู่เฉียนซีก็กลับไปยังห้องของตัวเอง
มู่เฉียนซีจงใจเลือกห้องที่อยู่ไกลจากห้องของเฟิงอวิ๋นซิวมากที่สุด เพราะนางได้คาดเดาเอาไว้แล้วว่าคืนนี้อารองคงจะทนไม่ได้แน่นอน
เมื่อถึงยามรัตติกาล อวีจีก็ทนไม่ไหว “ซิวผู้รูปงาม พี่สาวมาแล้ว คืนนี้พี่สาวจะทะนุถนอมเจ้าเป็นอย่างดี!”
หลังจากที่อวี้จีออกไป หลิงก็ออกไปเช่นกัน
มู่เฉียนซีรู้สึกมีลมเย็นพัดกระโชกมา จากนั้นร่างชุดดำร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้ามู่เฉียนซี
“ซีเอ๋อร์!” ใบหน้าอันเย็นชานั้นเผยความอ่อนโยนออกมา
มู่เฉียนซี “อารอง”
“กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ อารองจะช่วยเจ้าหาเอง เจ้าออกไปจากที่นี่ อยู่ห่างจากเจ้าเด็กอวิ๋นซิวนั่นให้ไกล เจ้าเด็กนั่นไม่ง่ายเลย” หลิงกล่าว
มู่เฉียนซี “ที่อารองตามหากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ในครั้งนี้ เกรงว่าจะมีคนสั่งการให้อารองหาใช่หรือไม่ ต่อให้อารองหามันเจอแล้วมอบมันให้กับข้า แล้วอารองจะไม่เป็นอันตรายหรอกเหรอ ?”
แววตาของหลิงดูคลุมเครือ “ไม่เป็น!”
“อารองโกหกข้าไม่เก่ง แต่ข้าก็มองออกแล้วว่าเป็น ต้องเป็นอันตรายแน่นอน!”
คนที่สามารถใช้ทักษะลับให้อารองเป็นเช่นนี้ได้ ต้องเป็นคนที่จิตใจโหดเหี้ยมอย่างแน่นอน
หากอารองเอากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ที่ได้มาให้กับผู้อื่น อารองจะต้องทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน
มู่เฉียนซีกล่าว “กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ ข้าตามหาเองได้ แต่เมื่อถึงตอนนั้น โปรดอารองยั้งมือด้วย!”
มือใหญ่คู่หนึ่งลูบหัวมู่เฉียนซีอย่างอ่อนโยน “อารองจะไม่ยั้งมือกับซีเอ๋อร์ได้อย่างไรกันล่ะ ?”
“อันที่จริงกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ไม่ได้หาเจอง่าย ๆ เช่นนั้น ข่าวนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะแน่เต็มร้อย อีกอย่างเฟิงอวิ๋นซิวก็ลงมือเองด้วย หากจะล้มเหลวก็ไม่เป็นไร”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “เช่นนั้นก็ดี!”
“ซีเอ๋อร์ เฟิงอวิ๋นซิวเพิ่งจะอายุยี่สิบก็เป็นถึงมหาจักรพรรดิระดับหกแล้ว คนผู้นี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิด เจ้าอย่าโดนเขาหลอกได้เป็นอันขาด เขาก็คือหมาป่าในคราบแกะ”
มู่เฉียนซีกล่าว “อารอง ข้าเข้าใจแล้ว”
สำหรับคนอื่นแล้ว เฟิงอวิ๋นซิวนั้นเป็นหมาป่าในคราบแกะ แต่ทันทีที่เจ้าหมอนี่เห็นใบหน้าของนาง เขาก็เก็บความอันตรายและความชั่วร้ายทั้งปวงเอาไว้ กลายเป็นลูกแกะตัวน้อยตัวหนึ่ง
นางก็ไม่อาจรู้ได้แน่ชัดเหมือนกันว่ามันเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้งเช่นไร ที่สามารถทำให้เขาเห็นคนหน้าคล้ายก็ทำให้เขากลายเป็นเช่นนี้ไปได้!
หากคนผู้นั้นปรากฏตัวต่อหน้าเฟิงอวิ๋นซิวจริง ๆ บุรุษผู้งดงามและสูงศักดิ์อย่างเฟิงอวิ๋นซิวจะไม่กลายเป็นฝุ่นธุลีและปล่อยให้ตัวเองโดนเหยียบย่ำเอาหรอกเหรอ
มู่เฉียนซีขมวดคิ้วขึ้น เฟิงอวิ๋นซิวไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น!
ดูเหมือนว่านานมากแล้วที่ไม่ได้เจอกับหลานสาวตนเอง เขาทำใจไม่ได้ที่จะจากไป
ในเวลานี้ ทางด้านของเฟิงอวิ๋นซิวก็ได้เปิดฉากแล้ว
ซวนอี ซวนเอ้อร์ ซวนซานได้ห้อมล้อมอวี้จีไว้ อวี้จียิ้มพลางกล่าว “น้องอวิ๋นซิว ข้าก็แค่อยากจะพูดคุยด้วยก็เท่านั้นเอง เจ้าไม่ต้องไร้ไมตรีจิตเช่นนี้ก็ได้”
เฟิงอวิ๋นซิวเปิดประตูออกมา ดวงตาสีอำพันคู่นั้นมองไปที่อวี้จีด้วยความนิ่ง และกล่าวว่า “เจ้าจะพูดสิ่งใด ?”
“ข้าไม่ชอบขี้หน้าหลิงมาตั้งนานแล้ว เรามาร่วมมือกันไหมล่ะ กำจัดเจ้าหมอนั่นซะ เมื่อถึงตอนนั้นพี่สาวคนนี้จะช่วยเจ้าหากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เอง ได้ผลคุ้มค่ามาก!”
“มีเรื่องดีดีเช่นนี้ด้วยเหรอ ?”
“แต่พี่สาวก็มีเงื่อนไขเหมือนกันนะ เงื่อนไขที่ว่านั้นก็คือ คืนนี้น้องอวิ๋นซิวต้องอยู่เป็นเพื่อนข้า เป็นเช่นไร ?” อวี้จีมองเฟิงอวิ๋นซิวด้วยแววตาหยาดเยิ้ม
“นี่เจ้ารนหาที่ตาย!” ซวนอีโกรธเกรี้ยวขึ้น
“ฆ่าซะ!” เฟิงอวิ๋นซิวสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา ซวนอีและพวกก็ลงมืออย่างโหดเหี้ยม
อวี้จีกล่าวด้วยความเสียใจ “ข้างกายของน้องอวิ๋นซิวมีสาวงามอย่างไร้ที่เปรียบติดตามมาด้วยคนหนึ่ง แน่นอนว่าไม่ชอบหนหน้าตาเช่นข้า แต่ก็น่าเสียดาย ก็ไม่รู้ว่าน้องอวิ๋นซิวจะปกป้องนางได้นานแค่ไหน”
ตูม!
เฟิงอวิ๋นซิวลงมือแล้ว และการโจมตีนี้เป็นการโจมตีหมายจะเอาชีวิต
ร่างอันเพรียวบางของอวี้จีเคลื่อนไหวและหลบหารโจมตีนี้ได้ จากนั้นนางยิ้มพลางกล่าวว่า “นึกไม่ถึงว่าน้องอวิ๋นซิวจะลงมือด้วยตัวเองเช่นนี้ ดูท่านางจะสำคัญกับน้องอวิ๋นซิวมากสินะ!”
กล่าวจบนางก็จากไปทันที
ที่อวี้จีมาครั้งนี้ก็แค่เพื่อหยั่งเชิง หยั่งเชิงว่าในใจของเฟิงอวิ๋นซิวนั้นมู่เฉียนซีมีความสำคัญแค่ไหน
ครั้งนี้ แม้แต่นางเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะได้ประโยชน์ถึงเพียงนี้
คำพูดของอวี้จี หลิงได้ยินมันอย่างชัดเจน และแสงเย็นก็วาบผ่านดวงตาของเขา
“ซีเอ๋อร์ ผู้หญิงคนนั้นอยากจะเอาชนะเจ้า คืนนี้อารองจะฆ่านางซะ”
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “อารอง เหตุใดตำหนักเป่ยหานถึงได้ส่งท่านมาทำภารกิจนี้ แล้วยังจะส่งอวี้จีนั่นมาอีก ?”