บทที่ 81 ซื้อใจ ตอนนี้นางกินฟรีอยู่ จะกล้าขออาหารอีกได้อย่างไร? จางซิ่วเอ๋อจึงได้แค่คิดในใจว่าเข้าเมืองในคราวหน้าต้องพกตำลึงมาเยอะหน่อย จะได้ซื้อของดีกลับไปให้ทุกคนกิน แต่เถ้าแก่เป็นพวกฉลาดเฉลียว เห็นท่าทางจางซิ่วเอ๋อก็พอเดาออก จึงบอกด้วยรอยยิ้ม “เจ้าน่ะกินให้สบายใจเถอะ ข้าให้คนไปเตรียมอาหารกล่องแล้ว ถึงเวลาเจ้าค่อยเอากลับไปให้คนที่บ้านกิน” ในเมื่อตกลงซื้อขายกันแล้ว เขาจะเย็นชากับจางซิ่วเอ๋อไม่ได้ ตอนนี้เขาคิดแค่จะซื้อใจจางซิ่วเอ๋อ นางจะได้ขายเครื่องเทศให้เขาแค่เจ้าเดียว ก่อนจางซิ่วเอ๋อจะไป ทั้งสองก็สนิทสนมขนาดเรียกเป็นพี่เป็นน้องกันทีเดียว จางซิ่วเอ๋อรู้แล้วว่าเถ้าแก่มีแซ่เฉียน ชื่อเฉียนซานเหลี่ยง เถ้าแก่เฉียนจะให้รถม้าไปส่งจางซิ่วเอ๋อ แต่จางซิ่วเอ๋อยังไม่อยากให้เถ้าแก่เฉียนรู้ว่าบ้านตัวเองอยู่ที่ไหนตอนนี้ จึงใส่ของที่ตัวเองซื้อมาไว้ในตะกร้าไผ่ อีกมือหิ้วกล่องอาหารและกลับไปเอง จางซิ่วเอ๋อตั้งใจเดินไปรอบ ๆ พอรู้สึกว่าไม่มีใครตามตัวเองมาจริง ๆ จึงเดินไปทางประตูเข้าเมือง การกินข้าวที่อิ๋งเค่อจวีใช้เวลาไปไม่น้อย เวลานี้เฒ่าหลี่ก็เทียมรถลากกับวัวเรียบร้อย ตั้งใจจะกลับหมู่บ้านก่อนฟ้ามืด บนรถม้าเป็นคนกลุ่มเดียวกับขามา พอเห็นจางซิ่วเอ๋อกลับมาพร้อมทั้งถุงเล็กถุงใหญ่ โดยเฉพาะกล่องอาหารโรงเตี๊ยมอิ๋งเค่อจวีที่เด่นเป็นสง่านั้น ทุกคนก็ตาโตอ้าปากค้างกันหมด สุดท้ายมีหญิงคนหนึ่งถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ซิ่วเอ๋อ เจ้าไปซื้ออาหารที่อิ๋งเค่อจวีเหรอ?” จางซิ่วเอ๋อจำคนผู้นี้ได้ นางคนนี้ชื่อกู่อวี๋ เดิมอยู่ในหมู่บ้านชิงสือ ตอนหลังได้แต่งงานกับครอบครัวหนึ่งในหมู่บ้าน ถึงแม้คนพวกนี้จะพูดจากันด้วยน้ำเสียงแปร่ง ๆ แต่อย่างไรเสียก็ไม่ได้ทะเลาะกัน ตอนนี้คงถามเพราะอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น จางซิ่วเอ๋อจึงตอบยิ้ม ๆ “วันนี้ข้าเข้าเมืองแล้วโชคดีได้เจอคนตระกูลเนี่ยเข้าน่ะจ้ะ” “เอ๊ะ! ตระกูลเนี่ยบ้านเจ้าของที่เหรอ?” มีคนอุทานขึ้นมาอย่างตกตะลึง จางซิ่วเอ๋อชี้ข้าวกล่องพลางกล่าวยิ้ม ๆ “ตระกูลเนี่ยบ้านเจ้าของที่น่ะสิ พวกเขาบอกว่าตอนคุณชายเนี่ยตายแต่งงานกับข้าแค่คนเดียว คงจะนึกสงสารข้าอยู่บ้าง ถึงได้เอาอาหารกล่องนี่ให้ข้า” “แล้วทำไมพวกเขาไม่รับเจ้าไปอยู่ด้วยล่ะ ถึงแม้เจ้าจะเป็นแม่ม่าย แต่บ้านสามียังอยู่…..” กู่อวี๋ถามอย่างไม่เข้าใจ จางซิ่วเอ๋อถอนหายใจ “ข้าเป็นคนดวงกินสามี แถมกินดวงคุณนายเฒ่าจนตายไปด้วย ต่อให้พวกเขาหายโกรธแล้วก็คงไม่ใช้ชีวิตกับข้าหรอก ที่ครั้งนี้ทำดีกับข้าก็คงเพราะอยากให้ข้าตั้งป้ายวิญญาณให้คุณชายเนี่ย” ทุกคนได้ฟังก็ถึงบางอ้อ ก็ว่าอยู่ ต่อให้จางซิ่วเอ๋อมีความสัมพันธ์กับพวกกุ๊ยในหมู่บ้าน ก็ไม่มีทางมีเงินซื้อของกินในอิ๋งเค่อจวีหรอก กุ๊ยพวกนั้นเป็นอย่างไรมีใครไม่รู้บ้าง? อย่างมากก็ให้เงินจางซิ่วเอ๋อไม่กี่เหรียญ ขนาดตัวเองยังไม่มีเงินเข้าอิ๋งเค่อจวีเลย ที่จางซิ่วเอ๋อพูดก็สมเหตุสมผล จางซิ่วเอ๋อแค่ตอบตามน้ำไปเท่านั้น นางไม่อยากให้ใครรู้ข้อตกลงระหว่างตนกับโรงเตี๊ยมอิ๋งเค่อจวี ตอนนี้นางไม่มีความสามารถพอในการรักษาสูตรเครื่องเทศนี้ไว้ ถ้าคนพวกนี้รู้ว่าตัวเองมีของที่ขายได้เดือนละ 4 ตำลึงเงิน ก็ไม่รู้ว่าจะวางแผนอะไรบ้าง แต่พอพูดออกไปแล้ว จางซิ่วเอ๋อก็อดคิดหนักกว่าเดิมไม่ได้ นางหรี่ตาเล็กน้อยวางแผนในใจ ตัวเองน่าจะตั้งป้ายวิญญาณให้ไอ้คนอายุสั้นตระกูลเนี่ยนั่นจริง ๆ เสียที แน่นอนว่าในใจนางไม่ได้เห็นคนอายุสั้นนั่นเป็นสามีจริง ๆ หรอก แต่ตอนนี้คนอายุสั้นนั่นเป็นเหมือนเกราะป้องกันให้นางได้ การที่นางตั้งป้ายวิญญาณของคนอายุสั้นนั่นในบ้านก็เป็นการบอกคนพวกนี้ว่า ถึงแม้ตนจะเป็นแม่ม่ายแถมตระกูลเนี่ยยังไม่รับตัวกลับไป แต่พวกเขาก็ยังนับตนเป็นลูกสะใภ้อยู่ ไม่อย่างนั้นจะให้ตั้งป้ายวิญญาณทำไม? ถึงตอนนั้นคนพวกนั้นย่อมไม่กล้ามาหาเรื่องนางสุ่มสี่สุ่มห้า โดยเฉพาะพวกที่ชอบแต่งเรื่องที่ต้องเพลา ๆ ลงหน่อย พวกเขาไม่กลัวนางก็ต้องกลัวตระกูลเนี่ยบ้างแหละ จางซิ่วเอ๋อคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่เลิศเลอสุด ๆ ถึงแม้คนอายุสั้นจะตายไปแล้ว แต่ต้นไม้ใหญ่อย่างตระกูลเนี่ยยังไม่ล้มนี่ โบราณว่าไว้ว่าใต้ต้นไม้ใหญ่นั้นร่มเย็น ในเมื่อนางมีคุณลักษณะแบบนี้ก็ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์เสียหน่อย ส่วนตระกูลเนี่ย เฮอะ! ต่อให้รู้แล้วจะทำไม? จะมาพังป้ายวิญญาณที่บ้านนางหรืออย่างไร? อย่างไรเสียนั่นก็เป็นป้ายวิญญาณของคนอายุสั้นนั่นนะ ต่อให้พวกเขาไม่ซาบซึ้ง ก็คงไม่ทำอะไรนางหรอก กลิ่นหอมชวนรับประทานโชยออกมาจากกล่องอาหารไม่หยุด จนคนบนรถลากพากันกลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้ จางซิ่วเอ๋อคิดไปคิดมาแล้วเปิดกล่องอาหารออก นางจำได้ว่าข้างบนสุดเป็นไก่ย่าง จากนั้นไก่ย่างสีทองอร่ามก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน จางซิ่วเอ๋อฉีกน่องไก่ออกมา คนบนรถม้านึกเคือง ยิ่งใหญ่นักรึ? ก็แค่ไก่ย่าง จำเป็นต้องกินต่อหน้าทุกคนด้วยเหรอ? หลังจากที่จางซิ่วเอ๋อฉีกน่องไก่และจัดวางเรียบร้อย ก็ยิ้มและฉีกไก่ทั้งตัวออก นางนับจำนวนคนบนนี้ เมื่อมั่นใจแล้วว่าทุกคนได้กันหมด จึงผลักจานออกไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม “จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ทุกคนคงหิวกันแล้วใช่ไหมเจ้าคะ?” ตอนเที่ยงทุกคนยังซื้อของกินข้างนอกได้ แต่ตอนเย็นต้องกลับไปกินข้าวที่บ้าน ใครจะกล้าเสียเงินกินข้าวในเมือง? ทุกคนยิ่งนึกเคืองหนักเข้าไปใหญ่ กินก็กินสิ ยังจะมายั่วอารมณ์กันอีก จะทนไม่ไหวแล้วนะ! กลับคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินจางซิ่วเอ๋อเอ่ยต่อว่า “ทุกคนลองชิมไก่ย่างนี่สิ ถือว่ารองท้อง” ทุกคนได้ยินก็มองจางซิ่วเอ๋อทึ่ง ๆ พวกเขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจางซิ่วเอ๋อจะแบ่งไก่ย่างให้พวกเขากิน ปกติไก่ย่างตัวหนึ่งราคา 20 เหรียญทองแดงเลยนะ แถมไก่ย่างที่จางซิ่วเอ๋อกินยังเป็นของโรงเตี๊ยมอิ๋งเค่อจวีด้วย ของในอิ๋งเค่อจวีแพงจะตาย ไก่ย่างนี่อย่างน้อย ๆ ก็ราคา 30 เหรียญทองแดง ของราคาแพงขนาดนี้ ใครจะทำใจแบ่งให้คนอื่นได้บ้าง? อีกอย่าง ถึงพวกเขาจะไม่ได้ปะทะกับจางซิ่วเอ๋อ แต่ก็แบ่งแยกให้นางต้องอยู่คนเดียวไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ แถมพูดแย่ ๆ ลับหลังนางตั้งเยอะ ต่อให้จางซิ่วเอ๋อไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไร แต่ก็ต้องสัมผัสจากท่าทางของพวกเขาได้ ตอนนี้พวกเขาก็ถือว่าล่วงเกินจางซิ่วเอ๋อไปแล้ว แต่จางซิ่วเอ๋อกลับแบ่งไก่ย่างให้พวกเขากินโดยไม่คิดมาก ทุกคนทั้งตกใจทั้งสงสัย แล้วก็เห็นจางซิ่วเอ๋อหยิบน่องไก่และยื่นให้กู่อวี๋ “พี่กู่อวี๋ ท่านกินก่อนเลยเจ้าค่ะ” นางได้น่องไก่มาอยู่ในมือแล้วจะยอมปล่อยไปได้อย่างไร นางมองทุกคน สุดท้ายก็กัดไปคำหนึ่งอย่างอดไม่ได้ คนอื่น ๆ เห็นกู่อวี๋กิน และได้กินส่วนที่ดีที่สุด จึงพากันลงมือ คิดในใจว่าถ้าไม่รีบหน่อย อีกเดี๋ยวคงเหลือแค่กระดูก พริบตาเดียวทั้งจานก็ว่างเปล่า ……………………………………………
บทที่ 81 ซื้อใจ
ตอนนี้นางกินฟรีอยู่ จะกล้าขออาหารอีกได้อย่างไร?
จางซิ่วเอ๋อจึงได้แค่คิดในใจว่าเข้าเมืองในคราวหน้าต้องพกตำลึงมาเยอะหน่อย จะได้ซื้อของดีกลับไปให้ทุกคนกิน
แต่เถ้าแก่เป็นพวกฉลาดเฉลียว เห็นท่าทางจางซิ่วเอ๋อก็พอเดาออก จึงบอกด้วยรอยยิ้ม “เจ้าน่ะกินให้สบายใจเถอะ ข้าให้คนไปเตรียมอาหารกล่องแล้ว ถึงเวลาเจ้าค่อยเอากลับไปให้คนที่บ้านกิน”
ในเมื่อตกลงซื้อขายกันแล้ว เขาจะเย็นชากับจางซิ่วเอ๋อไม่ได้ ตอนนี้เขาคิดแค่จะซื้อใจจางซิ่วเอ๋อ นางจะได้ขายเครื่องเทศให้เขาแค่เจ้าเดียว
ก่อนจางซิ่วเอ๋อจะไป ทั้งสองก็สนิทสนมขนาดเรียกเป็นพี่เป็นน้องกันทีเดียว
จางซิ่วเอ๋อรู้แล้วว่าเถ้าแก่มีแซ่เฉียน ชื่อเฉียนซานเหลี่ยง
เถ้าแก่เฉียนจะให้รถม้าไปส่งจางซิ่วเอ๋อ แต่จางซิ่วเอ๋อยังไม่อยากให้เถ้าแก่เฉียนรู้ว่าบ้านตัวเองอยู่ที่ไหนตอนนี้ จึงใส่ของที่ตัวเองซื้อมาไว้ในตะกร้าไผ่ อีกมือหิ้วกล่องอาหารและกลับไปเอง
จางซิ่วเอ๋อตั้งใจเดินไปรอบ ๆ พอรู้สึกว่าไม่มีใครตามตัวเองมาจริง ๆ จึงเดินไปทางประตูเข้าเมือง
การกินข้าวที่อิ๋งเค่อจวีใช้เวลาไปไม่น้อย เวลานี้เฒ่าหลี่ก็เทียมรถลากกับวัวเรียบร้อย ตั้งใจจะกลับหมู่บ้านก่อนฟ้ามืด
บนรถม้าเป็นคนกลุ่มเดียวกับขามา พอเห็นจางซิ่วเอ๋อกลับมาพร้อมทั้งถุงเล็กถุงใหญ่ โดยเฉพาะกล่องอาหารโรงเตี๊ยมอิ๋งเค่อจวีที่เด่นเป็นสง่านั้น ทุกคนก็ตาโตอ้าปากค้างกันหมด
สุดท้ายมีหญิงคนหนึ่งถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ซิ่วเอ๋อ เจ้าไปซื้ออาหารที่อิ๋งเค่อจวีเหรอ?”
จางซิ่วเอ๋อจำคนผู้นี้ได้ นางคนนี้ชื่อกู่อวี๋ เดิมอยู่ในหมู่บ้านชิงสือ ตอนหลังได้แต่งงานกับครอบครัวหนึ่งในหมู่บ้าน
ถึงแม้คนพวกนี้จะพูดจากันด้วยน้ำเสียงแปร่ง ๆ แต่อย่างไรเสียก็ไม่ได้ทะเลาะกัน ตอนนี้คงถามเพราะอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น จางซิ่วเอ๋อจึงตอบยิ้ม ๆ “วันนี้ข้าเข้าเมืองแล้วโชคดีได้เจอคนตระกูลเนี่ยเข้าน่ะจ้ะ”
“เอ๊ะ! ตระกูลเนี่ยบ้านเจ้าของที่เหรอ?” มีคนอุทานขึ้นมาอย่างตกตะลึง
จางซิ่วเอ๋อชี้ข้าวกล่องพลางกล่าวยิ้ม ๆ “ตระกูลเนี่ยบ้านเจ้าของที่น่ะสิ พวกเขาบอกว่าตอนคุณชายเนี่ยตายแต่งงานกับข้าแค่คนเดียว คงจะนึกสงสารข้าอยู่บ้าง ถึงได้เอาอาหารกล่องนี่ให้ข้า”
“แล้วทำไมพวกเขาไม่รับเจ้าไปอยู่ด้วยล่ะ ถึงแม้เจ้าจะเป็นแม่ม่าย แต่บ้านสามียังอยู่…..” กู่อวี๋ถามอย่างไม่เข้าใจ
จางซิ่วเอ๋อถอนหายใจ “ข้าเป็นคนดวงกินสามี แถมกินดวงคุณนายเฒ่าจนตายไปด้วย ต่อให้พวกเขาหายโกรธแล้วก็คงไม่ใช้ชีวิตกับข้าหรอก ที่ครั้งนี้ทำดีกับข้าก็คงเพราะอยากให้ข้าตั้งป้ายวิญญาณให้คุณชายเนี่ย”
ทุกคนได้ฟังก็ถึงบางอ้อ
ก็ว่าอยู่ ต่อให้จางซิ่วเอ๋อมีความสัมพันธ์กับพวกกุ๊ยในหมู่บ้าน ก็ไม่มีทางมีเงินซื้อของกินในอิ๋งเค่อจวีหรอก
กุ๊ยพวกนั้นเป็นอย่างไรมีใครไม่รู้บ้าง? อย่างมากก็ให้เงินจางซิ่วเอ๋อไม่กี่เหรียญ ขนาดตัวเองยังไม่มีเงินเข้าอิ๋งเค่อจวีเลย
ที่จางซิ่วเอ๋อพูดก็สมเหตุสมผล
จางซิ่วเอ๋อแค่ตอบตามน้ำไปเท่านั้น นางไม่อยากให้ใครรู้ข้อตกลงระหว่างตนกับโรงเตี๊ยมอิ๋งเค่อจวี ตอนนี้นางไม่มีความสามารถพอในการรักษาสูตรเครื่องเทศนี้ไว้ ถ้าคนพวกนี้รู้ว่าตัวเองมีของที่ขายได้เดือนละ 4 ตำลึงเงิน ก็ไม่รู้ว่าจะวางแผนอะไรบ้าง
แต่พอพูดออกไปแล้ว จางซิ่วเอ๋อก็อดคิดหนักกว่าเดิมไม่ได้
นางหรี่ตาเล็กน้อยวางแผนในใจ ตัวเองน่าจะตั้งป้ายวิญญาณให้ไอ้คนอายุสั้นตระกูลเนี่ยนั่นจริง ๆ เสียที แน่นอนว่าในใจนางไม่ได้เห็นคนอายุสั้นนั่นเป็นสามีจริง ๆ หรอก
แต่ตอนนี้คนอายุสั้นนั่นเป็นเหมือนเกราะป้องกันให้นางได้
การที่นางตั้งป้ายวิญญาณของคนอายุสั้นนั่นในบ้านก็เป็นการบอกคนพวกนี้ว่า ถึงแม้ตนจะเป็นแม่ม่ายแถมตระกูลเนี่ยยังไม่รับตัวกลับไป แต่พวกเขาก็ยังนับตนเป็นลูกสะใภ้อยู่ ไม่อย่างนั้นจะให้ตั้งป้ายวิญญาณทำไม?
ถึงตอนนั้นคนพวกนั้นย่อมไม่กล้ามาหาเรื่องนางสุ่มสี่สุ่มห้า
โดยเฉพาะพวกที่ชอบแต่งเรื่องที่ต้องเพลา ๆ ลงหน่อย พวกเขาไม่กลัวนางก็ต้องกลัวตระกูลเนี่ยบ้างแหละ
จางซิ่วเอ๋อคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่เลิศเลอสุด ๆ
ถึงแม้คนอายุสั้นจะตายไปแล้ว แต่ต้นไม้ใหญ่อย่างตระกูลเนี่ยยังไม่ล้มนี่ โบราณว่าไว้ว่าใต้ต้นไม้ใหญ่นั้นร่มเย็น ในเมื่อนางมีคุณลักษณะแบบนี้ก็ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์เสียหน่อย
ส่วนตระกูลเนี่ย เฮอะ! ต่อให้รู้แล้วจะทำไม?
จะมาพังป้ายวิญญาณที่บ้านนางหรืออย่างไร?
อย่างไรเสียนั่นก็เป็นป้ายวิญญาณของคนอายุสั้นนั่นนะ ต่อให้พวกเขาไม่ซาบซึ้ง ก็คงไม่ทำอะไรนางหรอก
กลิ่นหอมชวนรับประทานโชยออกมาจากกล่องอาหารไม่หยุด จนคนบนรถลากพากันกลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้
จางซิ่วเอ๋อคิดไปคิดมาแล้วเปิดกล่องอาหารออก นางจำได้ว่าข้างบนสุดเป็นไก่ย่าง จากนั้นไก่ย่างสีทองอร่ามก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน
จางซิ่วเอ๋อฉีกน่องไก่ออกมา
คนบนรถม้านึกเคือง ยิ่งใหญ่นักรึ? ก็แค่ไก่ย่าง จำเป็นต้องกินต่อหน้าทุกคนด้วยเหรอ?
หลังจากที่จางซิ่วเอ๋อฉีกน่องไก่และจัดวางเรียบร้อย ก็ยิ้มและฉีกไก่ทั้งตัวออก นางนับจำนวนคนบนนี้ เมื่อมั่นใจแล้วว่าทุกคนได้กันหมด จึงผลักจานออกไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม “จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ทุกคนคงหิวกันแล้วใช่ไหมเจ้าคะ?”
ตอนเที่ยงทุกคนยังซื้อของกินข้างนอกได้ แต่ตอนเย็นต้องกลับไปกินข้าวที่บ้าน ใครจะกล้าเสียเงินกินข้าวในเมือง?
ทุกคนยิ่งนึกเคืองหนักเข้าไปใหญ่ กินก็กินสิ ยังจะมายั่วอารมณ์กันอีก จะทนไม่ไหวแล้วนะ!
กลับคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินจางซิ่วเอ๋อเอ่ยต่อว่า “ทุกคนลองชิมไก่ย่างนี่สิ ถือว่ารองท้อง”
ทุกคนได้ยินก็มองจางซิ่วเอ๋อทึ่ง ๆ พวกเขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจางซิ่วเอ๋อจะแบ่งไก่ย่างให้พวกเขากิน ปกติไก่ย่างตัวหนึ่งราคา 20 เหรียญทองแดงเลยนะ แถมไก่ย่างที่จางซิ่วเอ๋อกินยังเป็นของโรงเตี๊ยมอิ๋งเค่อจวีด้วย
ของในอิ๋งเค่อจวีแพงจะตาย ไก่ย่างนี่อย่างน้อย ๆ ก็ราคา 30 เหรียญทองแดง
ของราคาแพงขนาดนี้ ใครจะทำใจแบ่งให้คนอื่นได้บ้าง?
อีกอย่าง ถึงพวกเขาจะไม่ได้ปะทะกับจางซิ่วเอ๋อ แต่ก็แบ่งแยกให้นางต้องอยู่คนเดียวไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ แถมพูดแย่ ๆ ลับหลังนางตั้งเยอะ ต่อให้จางซิ่วเอ๋อไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไร แต่ก็ต้องสัมผัสจากท่าทางของพวกเขาได้
ตอนนี้พวกเขาก็ถือว่าล่วงเกินจางซิ่วเอ๋อไปแล้ว
แต่จางซิ่วเอ๋อกลับแบ่งไก่ย่างให้พวกเขากินโดยไม่คิดมาก
ทุกคนทั้งตกใจทั้งสงสัย แล้วก็เห็นจางซิ่วเอ๋อหยิบน่องไก่และยื่นให้กู่อวี๋ “พี่กู่อวี๋ ท่านกินก่อนเลยเจ้าค่ะ”
นางได้น่องไก่มาอยู่ในมือแล้วจะยอมปล่อยไปได้อย่างไร นางมองทุกคน สุดท้ายก็กัดไปคำหนึ่งอย่างอดไม่ได้
คนอื่น ๆ เห็นกู่อวี๋กิน และได้กินส่วนที่ดีที่สุด จึงพากันลงมือ
คิดในใจว่าถ้าไม่รีบหน่อย อีกเดี๋ยวคงเหลือแค่กระดูก
พริบตาเดียวทั้งจานก็ว่างเปล่า
……………………………………………