บทที่ 91 แต่งงานหรือยัง
จางซิ่วเอ๋อเหลือบมองอาหารบนโต๊ะ มีกระดูกหมูตุ๋นถั่วฝักยาว ซึ่งกระดูกหมูมากถั่วน้อย
แล้วก็กุ้ยช่ายผัดไข่
นอกจากนั้นยังมียำผักกาดขาว
หมั่นโถวลูกใหญ่สิบกว่าลูกกำลังอุ่นได้ที่ ซึ่งหมั่นโถวพวกนี้มีขนาดไม่เล็กสักนิด จางซิ่วเอ๋อกินมื้อละลูกก็อิ่ม เรียกได้ว่าหยางชุ่ยฮวาทำกับข้าวมื้อนี้อย่างไม่ตระหนี่เลย
จางซิ่วเอ๋อจึงมองหยางชุ่ยฮวาดีขึ้น นางนึกว่าหยางชุ่ยฮวาจะซ่อนของไว้แล้วทำกับข้าวแบบจำกัดจำเขี่ยเสียอีก
ไหลฝูและไหลเป่าวิ่งยกเก้าอี้ไปมา เหลือบมองโต๊ะเป็นระยะ ๆ
จางซิ่วเอ๋อเห็นภาพนี้ก็รู้แล้วว่าเด็กสองคนนี้ต้องหิวเนื้อแน่ ๆ แต่ทั้งคู่ล้วนถูกสั่งสอนมาดี ถ้าเป็นสือโถวแห่งตระกูลจางล่ะก็ เวลานี้รับรองว่ากระโดดขึ้นโต๊ะเองแล้ว
จางซิ่วเอ๋อเห็นแล้วสงสาร เลยร้องเรียกในทันที “ไหลฝูไหลเป่า พวกเจ้ามานั่งกินข้าวก่อน”
ไหลฝูเอ่ยเสียงใส “แม่ข้าไม่ให้กินขอรับ”
จางซิ่วเอ๋อประหลาดใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าหยางชุ่ยฮวาเป็นคนสอนเด็กพวกนี้ แต่เด็ก ๆ ไม่โกหกหรอก ในเวลานี้เองจางซิ่วเอ๋อก็รู้สึกขึ้นมาว่าหยางชุ่ยฮวาไม่ใช่คนที่ไม่มีดีเลยสักอย่าง
ถึงแม้จะโอหังเอาแต่ใจไปบ้าง แม้แต่แม่สามียังไม่เห็นอยู่ในสายตา แต่เพียงแค่เรื่องที่นางสั่งสอนเด็กสองคนได้ดีขนาดนี้ก็คุ้มค่าแล้ว
หยางชุ่ยฮวาล้างมือแล้วเรียกทุกคนกินข้าว
แม่เฒ่าโจวมองกับข้าวดี ๆ บนโต๊ะแล้วก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้ “เหวินเอ๋อร์ไม่อยู่บ้าน…..”
โจวเหวินก็คือลูกชายคนเล็กของแม่เฒ่าโจว
หยางชุ่ยฮวาเอ่ย “ท่านแม่ไม่ต้องไปคิดถึงเขาหรอกเจ้าค่ะ โจวเหวินไปเป็นนักเรียน ไม่รู้ว่าวัน ๆ ได้กินอะไรดี ๆ บ้าง!”
โจวชางซุ่นสีหน้าขรึมลงเล็กน้อย “เจ้าพูดอะไรกัน เหวินเอ๋ออยู่ข้างนอกเหนื่อยกว่าพวกเราที่อยู่บ้านอีก!”
หยางชุ่ยฮวากลอกตา “ถ้าท่านพ่อรู้สึกว่ากินเนื้อแล้วผิดต่อลูกชายคนเล็ก ก็ไม่ต้องกินเจ้าค่ะ”
จางซิ่วเอ๋อนิ่งไป เมื่อครู่นี้นางไม่ควรคิดถึงหยางชุ่ยฮวาในแง่ดีจริง ๆ
จางซิ่วเอ๋อกลัวว่าโจวชางซุ่นจะโมโหจนไม่ยอมกินข้าว จึงรีบคีบกระดูกใส่ถ้วยเขาและบอกยิ้ม ๆ “ท่านตา รีบชิมเร็วเจ้าค่ะ นี่เป็นของที่แม่ข้าตั้งใจให้ท่านเลยนะเจ้าคะ”
นางกำลังบอกว่าลูกสาวให้ของทั้งทีต้องกินเข้าไปนะ
โจวชางซุ่นคงชินกับนิสัยหยางชุ่ยฮวาแล้ว เวลานี้เขาจึงไม่สนใจหยางชุ่ยฮวา กินข้าวทันที
คงจะเป็นเพราะไม่ได้กินเนื้อมานาน แม้แต่หยางชุ่ยฮวายังไม่พูดไม่จาในขณะกินข้าว ก้มหน้าก้มตากินเนื้อในถ้วยตัวเองอย่างเดียว
โชคดีที่ถึงแม้คนตระกูลโจวจะกินข้าวเร็ว แต่ถือว่ากินอย่างสุภาพอยู่ อย่างน้อยก็ไม่มีใครเอาตะเกียบเข้าไปคนในจาน
พอกินไปได้กว่าครึ่งแล้ว ทุกคนก็อิ่ม แต่พอเห็นว่ายังมีกระดูกและอาหารเหลืออยู่จึงไม่อยากวางตะเกียบ จึงคุยกันไปพลางกินข้าวไปพลาง
โจวชางซุ่นมองแม่โจวอย่างซาบซึ้ง “เหมยจื่อ เนื้อตุ๋นนี่พ่อกินแล้วมีความสุขมาก! เจ้ารู้จักกตัญญูพ่อ พ่อดีใจยิ่งนัก!”
แม่โจวรีบบอก “ซิ่วเอ๋อเดี๋ยวนี้เก่ง…..”
จางซิ่วเอ๋อได้ยินรีบหันไปมองแม่โจว เรื่องของนางพูดได้ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าพูดแล้วคงปิดเรื่องที่นางกลายเป็นแม่ม่ายไม่ได้อีกต่อไป
“ซิ่วเอ๋อ? ซิ่วเอ๋อทำไมเหรอ? จะว่าไปซิ่วเอ๋อแต่งงานรึยังล่ะ?” แม่เฒ่าโจวถามต่อ
แม่โจวเม้มปาก “แต่งแล้ว”
แม่เฒ่าโจวมองจางซิ่วเอ๋อด้วยความประหลาดใจ “หา ข้านึกว่าซิ่วเอ๋อยังไม่แต่งงานเสียอีก!”
“แล้วซิ่วเอ๋อแต่งเข้าบ้านแบบไหนกันล่ะ? ดูจากการแต่งตัวของซิ่วเอ๋อ ชีวิตที่บ้านสามีคงใช้ได้เลยใช่ไหม?” หยางชุ่ยฮวาสนอกสนใจ นางรำพึงในใจ มิน่าล่ะแม่โจวกลับมาครั้งนี้ถึงยอมเสียเงินซื้อของมากมายขนาดนี้!
จากนิสัยขี้งกของพวกคนตระกูลจาง ไม่มีทางให้นางเอาของกลับมามากมายขนาดนี้หรอก
ที่ไหนได้เป็นจางซิ่วเอ๋อที่ได้ดิบได้ดี!
แม่โจวตาแดง ไม่ยอมพูดต่อ
จางซิ่วเอ๋อเห็นบรรยากาศเริ่มไม่ดี กุมขมับอย่างเหนื่อยใจ กลัวเรื่องแบบไหนก็เจอเรื่องแบบนั้นจริง ๆ
นางไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่นางกลายเป็นแม่ม่ายไม่ใช่เพราะตัวเองทุกข์ใจ นางไม่เสียใจกับเรื่องนี้จริง ๆ แต่กลัวว่าคนอื่น ๆ จะเสียใจ แล้วมองนางด้วยสายตาสงสารต่างหาก
แม่เฒ่าโจวเห็นท่าทางของแม่โจวแล้วก็ถามอย่างวิตก “เหมยจื่อ เกิดอะไรขึ้น? หรือว่าบ้านสามีของซิ่วเอ๋อทำไม่ดีกับซิ่วเอ๋อ?”
ถ้าเป็นแบบนั้น เนื้อนี่ก็กินไม่อร่อยแล้ว
จางซิ่วเอ๋อได้แต่เป็นคนพูดเอง “ท่านยาย ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครรังแกข้าหรอกเจ้าค่ะ ที่ท่านแม่เป็นแบบนี้เพราะสามีของข้าตายไปแล้ว…..”
คำพูดของจางซิ่วเอ๋อเหมือนโยนหินก้อนใหญ่ใส่ผืนน้ำอันนิ่งสงบ ทุกคนมองจางซิ่วเอ๋ออย่างตกตะลึง เนิ่นนานกว่าจะได้สติ!
หยางชุ่ยฮวาพึมพำ “เช่นนี้เจ้าก็กลายเป็นแม่ม่ายตั้งแต่อายุยังน้อยน่ะสิ?”
โจวชางซุ่นที่ไม่ค่อยเอาเรื่องหยางชุ่ยฮวาอดตวาดขึ้นมาไม่ได้ “เจ้าพูดจาอะไรของเจ้า!”
หยางชุ่ยฮวาก้มหน้ากินเนื้อเหมือนคนไม่ทุกข์ร้อน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าบรรยากาศหนักอึ้ง รู้สึกว่าทุกคนทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ นางเอ่ยยิ้ม ๆ “พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้ายังสาวอยู่ อีกหน่อยยังแต่งงานได้อีก!”
“แต่บ้านสามีเจ้าจะยอมเหรอ?” แม่เฒ่าโจวได้ยินดังนี้สีหน้าก็เริ่มสดใสขึ้น แต่ก็ยังกังวลอยู่บ้าง
จางซิ่วเอ๋อหัวเราะ “ข้าไม่ได้อาศัยอยู่กับพวกเขา พวกเขาไม่ยุ่งกับข้าหรอกเจ้าค่ะ”
“แม่เจ้าบอกว่าเดี๋ยวนี้เจ้าเก่งแล้ว หรือว่าของพวกนี้ไม่ได้มาจากบ้านสามีเจ้าเอาให้เหรอ” แม่เฒ่าโจวถามต่อ ไม่ใช่ว่าบ้านสามีจางซิ่วเอ๋อให้เงินมาแต่พวกเขาดันเอาไปใช้เองนะ
จางซิ่วเอ๋อรีบบอก “ไม่ใช่แบบนั้น……”
ตอนแรกนางจะบอกเรื่องเครื่องเทศ แต่พอเห็นหยางชุ่ยฮวาก็เปลี่ยนใจ เพราะถ้าหยางชุ่ยฮวารู้ ก็ไม่รู้ว่านางจะมาตอแยขนาดไหนเพื่อให้ได้มาซึ่งสูตรเครื่องเทศ
จางซิ่วเอ๋อพูดต่อ “เพราะข้าและชุนเถาเรียนรู้วิธีจับปลา ช่วงนี้จึงจับปลาไปขายได้ไม่น้อย”
แม่โจวเห็นจางซิ่วเอ๋อไม่พูดเรื่องเครื่องเทศ เวลานี้จึงไม่ปากมากพูดขึ้นมา
“จับปลา? จับอย่างไร? หรือพวกเจ้ามีวิธีดี ๆ เหรอ?” หยางชุ่ยฮวากลืนเนื้อในปาก ถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
ครั้งนี้จางซิ่วเอ๋อเตรียมใจไว้แล้ว เห็นท่าทางของหยางชุ่ยฮวาก็ไม่แปลกใจเท่าไรนัก
นางคิดก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้าสอนพวกท่านจับปลาได้ แต่ในหมู่บ้านโกวจือมีสถานที่ที่ปลาชุกชุมงั้นหรือ?
“มี ๆ” หยางชุ่ยฮวาตาเป็นประกายราวกับได้บำรุงด้วยเลือดไก่
“ถ้าอย่างนั้น ถึงตอนนั้นต้องรบกวนท่านลุงใหญ่ไปผ่าไผ่กลับมา ข้าจะสอนวิธีถักลอดจับปลาให้ ถึงตอนนั้นพวกท่านจะได้จับปลาไปขายในเมือง ชีวิตความเป็นอยู่จะได้ดีขึ้น” จางซิ่วเอ๋อบอก
จางซิ่วเอ๋อไม่รู้เลยว่าตระกูลโจวอยู่กันอย่างไรให้ที่บ้านยากจนขนาดนี้ ได้ข่าวว่าก่อนแม่โจวแต่งงาน ชีวิตความเป็นอยู่ของตระกูลโจวไม่เลวเลยทีเดียว
………………………………………………