บทที่ 103 เดินทางกลับ
ครั้นหยางชุ่ยฮวาได้ยินว่าต้องใช้แป้งหมี่ขาวบ้านตัวเองก็นึกปวดใจเล็กน้อย
เนื่องจากพวกจางซิ่วเอ๋อไม่ได้ซื้อแป้งหมี่ขาวติดมือมาด้วย พอถึงวันหนึ่งหลังจากขายปลาได้นางจึงกัดฟันซื้อมา แต่แป้งที่ได้ไม่ใช่แป้งหมี่ขาวล้วน เป็นแป้งระดับล่างที่มีสีมอซอ
หยางชุ่ยฮวาคำนวณในใจ เนื้อที่พวกจางซิ่วเอ๋อเอามายังกินไม่หมด แต่พวกนางกลับจะไปกันแล้ว ใช้แป้งเสียหน่อยก็คงไม่ขาดทุนนักหรอก….
“ได้ งั้นทำไส้เนื้อผสมถั่วฝักยาวนะเจ้าคะ” หยางชุ่ยฮวาเอ่ย
แม่เฒ่าโจวคิดไปคิดมาก็เอ่ยขึ้นอีก “เดี๋ยวเอาผักที่แปลงให้พวกเจ้าเอากลับไปด้วย ถั่วฝักยาว มะเขือ แล้วก็พริก เด็ดกลับไปอย่างละนิดละหน่อยนะ”
แม่โจวรีบบอก “ท่านแม่ ข้าไม่เอากลับไปหรอกเจ้าค่ะ ถึงเอากลับไปได้ก็ต้องให้คนตระกูลจางกิน”
แม่เฒ่าโจวมองแม่โจวอย่างตำหนิ “เจ้าจะรีบปฏิเสธไปทำไม? เจ้าไม่กินแล้วข้าให้ซิ่วเอ๋อแทนไม่ได้รึ? ซิ่วเอ๋อเพิ่งย้ายออกไปอยู่ข้างนอก ที่บ้านนางต้องไม่มีแปลงผักแน่ ๆ”
แม่โจวได้ยินดังนี้ถึงเพิ่งรู้ตัว “ข้าคิดผิดไป เอาให้ซิ่วเอ๋อก็ได้ เด็กคนนี้เดี๋ยวนี้จะกินอะไรก็ต้องซื้ออย่างเดียวเลย….ข้าเห็นแล้วยังเสียดายเงิน”
แม่โจวพูดมาถึงตรงนี้ก็กลัวว่าหยางชุ่ยฮวาจะไม่พอใจ
นางรู้ว่าหยางชุ่ยฮวาเกลียดเวลาที่นางกลับมาแล้วเอาของกลับไปด้วยเป็นที่สุด
ถึงแม้คราวนี้แม่โจวก็เอาของมาให้ที่บ้านเหมือนกัน แต่นางยังไม่ลืมภาพเก่า ๆ ของหยางชุ่ยฮวาเสียทีเดียว ตอนนี้นางจึงเป็นกังวล
หยางชุ่ยฮวากลับไม่รู้สึกติดใจอะไร ผักนี่ไม่มีราคาอยู่แล้ว ที่บ้านปลูกไว้เยอะแยะขนาดนี้กินกันไม่หมดหรอก หากเอาไปขายที่ตลาด อันดับแรกก็คือไกลไป ไปกลับไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาตั้งเท่าไร สู้ไปทำไร่ยังจะคุ้มกว่า
อย่างที่สองคือไปแล้วใช่ว่าจะขายออก ตอนนี้เป็นฤดูอะไรกันล่ะ? กลางฤดูร้อนนะ! ผักในแปลงทุกบ้านต่างโตได้ที่ ในตัวเมืองไม่ขาดคนขายผักเลยสักนิด
เมื่อก่อนนางไม่อยากให้แม่โจวเอาผักถูก ๆ นี่ไปด้วยเพราะมีโทสะอัดอยู่ในใจ นางรู้สึกว่าบุตรสาวที่แต่งงานออกไปแล้วอย่างแม่โจวยังจะกลับมาเกาะที่บ้านกินอีก นางจึงไม่พอใจ ยอมปล่อยให้ผักพวกนี้เน่าในแปลงดีกว่าจะให้แม่โจวเอาไป
แต่วันนี้ไม่เหมือนก่อน ตอนนี้หยางชุ่ยฮวามองแม่โจวดีขึ้นมาก นางพูดขึ้นมา “เดี๋ยวข้าไปเด็ดถั่วฝักยาวที่แปลงผัก แล้วจะเด็ดให้เยอะเลย ส่วนพวกพริกมะเขือค่อยมาเด็ดก่อนนอนยังทัน”
“จริงสิ เด็ดต้นหอมให้ซิ่วเอ๋อกลับไปด้วย เอาไว้เติมรสตอนทำกับข้าว” หยางชุ่ยฮวากล่าว
แม่โจวได้ยินแล้วซาบซึ้ง “ขอบคุณเจ้าค่ะพี่สะใภ้”
จางซิ่วเอ๋อและจางชุนเถาสองคนได้ยินก็ขอบคุณตามแม่โจว “ขอบคุณป้าสะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ”
หยางชุ่ยฮวาเบือนหน้าหนี “ขอบคุณทำไมกัน ด่าข้าในใจน้อย ๆ หน่อยข้าก็พอใจแล้ว”
จางซิ่วเอ๋อได้ยินก็แทบขำออกมา ดูท่าหยางชุ่ยฮวาเองก็รู้ว่าเมื่อก่อนตัวเองไม่เป็นที่พอใจของใครนัก
กินข้าวเย็นเสร็จ หนีจื่อก็อยู่คุยกับจางซิ่วเอ๋อ “ซิ่วเอ๋อ พรุ่งนี้เจ้าก็จะไปแล้วเหรอ?”
หนีจื่อไม่มีมิตรสหายมากนัก ส่วนคนในหมู่บ้านก็ไม่อยากข้องแวะกับหนีจื่อ ด้วยกลัวจะเสียชื่อเสียง
หลังจากจางซิ่วเอ๋อมา ถึงแม้ตอนสองคนนี้อยู่ด้วยกันจะไม่ได้คุยอะไรกันมากมาย แต่หนีจื่อก็รู้สึกว่ามีสหายอยู่เคียงข้าง
โดยเฉพาะสถานะแม่ม่ายในตอนนี้ของจางซิ่วเอ๋อที่ทำให้หนีจื่อรู้สึกสบายใจ ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้จางซิ่วเอ๋อเสียชื่อเสียง และไม่รู้สึกว่าตัวเองต้อยต่ำ
ดังนั้นในใจลึก ๆ ของหนีจื่อนั้นจึงชอบจางซิ่วเอ๋อมาก ตอนนี้จึงไม่อยากให้จางซิ่วเอ๋อไป
จางซิ่วเอ๋อเอ่ย “ที่บ้านมีเรื่องที่ข้าต้องทำอีกเยอะ ข้าต้องกลับไปแล้ว แต่อีกเดี๋ยวข้าจะมาใหม่”
“อิจฉาเจ้าจริง ๆ” หนีจื่อพูดเศร้า ๆ
ที่จริงหนีจื่ออยากให้ตัวเองเป็นแม่ม่ายมากกว่าอีก สตรีอายุมากที่แต่งไม่ออกและชื่อเสียงไม่ดี ช่างลำบากมากจริง ๆ…..
จางซิ่วเอ๋อรู้ว่าหนีจื่อคิดอะไรออยู่ จึงเอ่ยปลอบใจ “หนีจื่อ เจ้าเป็นสตรีที่ดี ต้องเจอคนที่ไม่ถือสาเรื่องก่อนหน้านี้แน่”
พูดมาถึงตรงนี้จางซิ่วเอ๋อก็ยิ้ม “พวกคนที่ยึดถือเรื่องชื่อเสียงของเจ้า ดูก็รู้แล้วว่าไร้สมอง ต่อให้มาขอร้องจะขอแต่งงานกับเจ้าเราก็ไม่เอา”
หนีจื่อได้ยินจางซิ่วเอ๋อพูดแบบนี้ก็หัวเราะออก
ถึงนับตามรุ่นแล้วนางจะอาวุโสกว่าจางซิ่วเอ๋อ เพราะจางซิ่วเอ๋ออายุน้อยกว่า แต่หนีจื่อกลับรู้สึกว่าจางซิ่วเอ๋อมีความคิดความอ่านมากกว่า และเป็นคนมองโลกในแง่ดีกว่านางมากนัก
อย่างเรื่องที่ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อเป็นแม่ม่าย ตอนแรกพวกเขาไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับจางซิ่วเอ๋อ กลัวว่าอีกฝ่ายได้ฟังแล้วจะเสียใจ
แต่ต่อมาจางซิ่วเอ๋อกลับพูดเรื่องที่ตัวเองเป็นแม่ม่ายได้อย่างหน้าระรื่น บอกว่าพอเป็นแบบนี้จะได้ออกจากตระกูลจาง ชื่นอุราสุด ๆ
ซึ่งเรื่องนี้หนีจื่อถามตัวเองแล้ว และตอบว่าทำไม่ได้
จะว่าไปแล้ว ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อไม่ใช่แค่ยอมรับสถานะแม่ม่ายของตัวเอง แถมยังรู้สึกโชคดีเสียด้วย
ถ้านางแต่งเข้าไปแล้วคุณชายเนี่ยขี้โรคยังไม่ตาย นางก็ต้องเป็นภรรยาของคนแปลกหน้าน่ะสิ และรู้สึกว่าถ้าต้องอยู่ในบ้านตระกูลเนี่ยก็ไม่รู้จะมีเรื่องโชคร้ายอะไรรอนางอยู่บ้าง
นางเองก็แขนเล็กขาเล็ก ต่อให้มีความคิดแบบคนยุคปัจจุบัน ก็ต้องโดนข่มเหงที่ตระกูลเนี่ยอยู่ดี
จะมีอิสระเหมือนตอนนี้ได้อย่างไร? ตรงที่คนตระกูลเนี่ยไม่ยุ่งกับนาง ส่วนคนตระกูลจางอยากยุ่งแต่ก็ยุ่งไม่ได้!
จางซิ่วเอ๋อแทบอยากจะปรบมือให้คุณชายเนี่ยในใจ! ตายได้ดี! ตายได้เจ๋ง! โดยเฉพาะคนที่เอาชัยอย่างคุณชายเนี่ย ตายตั้งสองครั้ง!
เช้าวันรุ่งขึ้น แม่เฒ่าโจวก็ใส่ผักเต็มตะกร้าแบกหลังให้จางซิ่วเอ๋อเอากลับไป
จางซิ่วเอ๋อก็ไม่ปฏิเสธ ต่อให้เป็นครอบครัวเดียวกันก็ต้องมีรับมีให้
ตอนนี้ผักนี่เป็นสิ่งเดียวที่แม่เฒ่าโจวมอบให้ได้ หากนางไม่รับจะทำให้แม่เฒ่าโจวไม่สบายใจ
และสำหรับแม่เฒ่าโจวแล้ว การได้ช่วยหลานตัวเองก็คงเป็นเรื่องที่มีความสุข
แน่นอนว่าตอนขากลับจางซิ่วเอ๋อต้องนั่งรถ ดีที่หมู่บ้านโกวจือก็มีรถลากที่เข้าเมืองทุกวันเหมือนกัน
วันนี้หยางชุ่ยฮวาไม่ได้กลับไปขายปลาในเมือง ทั้งยังหมดความตื่นเต้นแล้วด้วย รู้สึกว่าไปทุกวันยุ่งยากเกินไป อย่างไรเสียปลาพวกนี้ก็ยังเลี้ยงต่อได้อีกวันหลังจับกลับมา นางจึงตัดสินใจว่าไปสองวันครั้ง
ตอนส่งแม่โจว คนตระกูลโจวมากันหมด
หยางชุ่ยฮวาถึงกับเป็นคนยกตะกร้าแบกหลังขึ้นรถลากให้เอง
แม่เฒ่าโจวหยิบเหรียญที่กำจนอุ่นออกมาจะจ่าย
แม่โจวเห็นแล้วไม่ยอม พวกนางเข้าเมืองครั้งนี้ต้องจ่ายไม่น้อย จึงรีบบอก “ท่านแม่ เงินนี้ท่านไม่ต้องออกหรอกเจ้าค่ะ เราจ่ายกันเอง”
พูดมาถึงตรงนี้แม่โจวก็รู้สึกผิดนิดหน่อย เงินของนางได้มาจากจางซิ่วเอ๋อทั้งนั้น
จางซิ่วเอ๋อเห็นท่าดังนี้ก็เอ่ยขึ้น “ท่านยาย เราขอจ่ายกันเองเจ้าค่ะ”
หยางชุ่ยฮวาแย่งเหรียญในมือแม่เฒ่าโจวมา คนรอบ ๆ เตรียมเห็นเรื่องสนุก
หยางชุ่ยฮวาชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วหมู่บ้านโกวจือ
ครั้งนี้มาเห็นแม่เฒ่าโจวทำมือเติบจะจ่ายค่ารถให้แม่โจว จะไม่อาละวาดได้อย่างไร?
…………………………………………