บทที่ 131 จ้องข้าทำไม
เถ้าแก่เฉียนเห็นจางซิ่วเอ๋อพูดแบบนี้ ก็นึกนับถือจางซิ่วเอ๋อในใจ
ถึงแม้เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ดูออกว่าจางซิ่วเอ๋อทำอะไรด้วยความใจกว้าง
หญิงสาวทั่วไปพูดแบบนี้ออกมาได้ที่ไหนกัน ถ้าเขาบอกว่าไม่คิดค่าจานก็คงไม่บอกแน่ ๆ
เถ้าแก่เฉียนรู้สึกว่าถึงจางซิ่วเอ๋อจะเฉลียวฉลาด แต่ก็รู้จักขอบเขต
“แม่นางเถาฮวา ตำลึงเงินนี่ให้เจ้า” เถ้าแก่เฉียนนับตำลึงแล้วยื่นให้จางซิ่วเอ๋อ
จางซิ่วเอ๋อเห็นเถ้าแก่เฉียนยังคงเรียกตัวเองว่าแม่นางเถาฮวา จึงไม่ได้ว่าอะไร ยิ้มและเอ่ยขึ้น “งั้นข้าไปล่ะ”
พูดเสร็จจางซิ่วเอ๋อก็ไปที่โรงเตี๊ยมฝูหม่าน
ก่อนหน้านี้จางซิ่วเอ๋อเคยขายปลาที่นี่ ราคาที่ได้รับน้อยกว่าที่เถ้าแก่เฉียนให้อยู่ 1 เหรียญ และขายเนื้อได้แค่ 30 ชั่ง มาถึงตอนนี้จางซิ่วเอ๋อเหลือเนื้ออีก 40 ชั่ง
จางซิ่วเอ๋อคิดไปคิดมา จึงซื้อเชือกมาหนึ่งม้วน ไปที่ตลาดสดและมัดวัวไว้ในที่ที่ตนมองเห็น ก่อนจะหยุดลงข้างคนขายผัก
คนขายผักอยู่ติดกับคนที่ขายพวกของป่าอย่างกระต่าย
ตรงกลางมีที่ว่างไม่ใหญ่ไม่เล็ก จางซิ่วเอ๋อคลี่ยิ้ม “ไม่ทราบว่าขอที่ให้ข้าขายเนื้อตรงนี้ได้ไหมเจ้าคะ”
คนขายผักเป็นท่านป้าผู้หนึ่ง พอได้ยินจางซิ่วเอ๋อพูดก็ขมวดคิ้ว ถึงแม้พวกนางคนหนึ่งขายเนื้อคนนึงขายผัก ไม่มีการแข่งขันอะไร แต่ใครกันจะอยากยกที่ให้คนอื่น?
จางซิ่วเอ๋อเห็นท่าทางดังนี้จึงบอก “ไม่ได้ให้ท่านยกให้เฉย ๆ หรอกเจ้าค่ะ ข้าจะให้เนื้อชิ้นหนึ่งกับท่านด้วย”
พูดเสร็จจางซิ่วเอ๋อหยิบเนื้อขนาดเท่าฝ่ามือออกมาหนึ่งชิ้นและเอ่ยยิ้ม ๆ “ท่านว่าพอได้ไหมเจ้าคะ?”
มีเนื้อประทานจากฟ้า จะไม่รับไว้ได้อย่างไรกัน ตอนแรกท่านป้าคนนี้ไม่เต็มใจเท่าใดนัก บัดนี้กลับรับเนื้อมาพลางกล่าว “ถ้าเจ้าให้เนื้อข้าอีกชิ้น ข้าให้เจ้ายืมตราชั่งก็ยังได้”
จางซิ่วเอ๋อยิ้มและเอาเศษเนื้อออกมาอีกชิ้น “เช่นนั้นถือว่าเราตกลงกันแล้วนะเจ้าคะ”
เศษเนื้อขายยาก รวมกับชิ้นเมื่อกี้ยังไม่ถึงครึ่งโล จางซิ่วเอ๋อคงไม่ไปซื้อตราชั่งเพราะจะขายเนื้อเพียงครั้งเดียว อย่างไรซะตราชั่งก็ไม่ได้ถูก จางซิ่วเอ๋อจึงให้อย่างใจกว้าง
จางซิ่วเอ๋อนั่งลง กลับพบว่าคนที่ขายอาหารป่าอยู่ข้าง ๆ เอาแต่จ้องมองนาง
จางซิ่วเอ๋อขมวดคิ้วและจ้องกลับ
นางเห็นชายหนุ่มสวมใส่ชุดที่ทำจากผ้าหยาบ คิ้วคมรับกับดวงตาเป็นประกาย หน้าตาหล่อเหลาสะอาดสะอ้าน ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนนายพราน
ชุดผ้าหยาบของเขาถึงแม้เนื้อผ้าไม่ได้ดี แต่ก็สะอาดมาก ดูแล้วรู้ว่าเป็นของใหม่
หากดูแค่หน้าตาชายผู้นี้แล้ว จางซิ่วเอ๋อเกลียดเขาไม่ลงจริง ๆ แต่ตอนนี้ชายผู้นี้เอาแต่จ้องจางซิ่วเอ๋อ ทำให้นางไม่ชอบใจเท่าใดนัก
จางซิ่วเอ๋อถลึงตาใส่คน ๆ นั้นและปรามด้วยสายตา “มองอะไร!”
ชายผู้นั้นลูบจมูกตัวเองและขายของป่าตัวเองต่อ แต่สายตานั่นดูอย่างไรก็ดูขุ่นเคือง
จางซิ่วเอ๋อยกเนื้อหมูป่าออกมาและตะโกนขาย “ขายเนื้อเจ้าค่ะ! เนื้อหมูป่าสดใหม่เจ้าค่ะ!”
ครั้งนี้จางซิ่วเอ๋อไม่กล้าตั้งราคาสูงมาก ถึงอย่างไรก็เป็นการค้าปลีก ลูกค้าไม่อยากซื้อเนื้อที่แพงมากกลับไปกินหรอก
จางซิ่วเอ๋อจึงตั้งราคาไว้ที่ 12 เหรียญต่อชั่ง
พอทุกคนได้ยินว่าเป็นเนื้อหมูป่าและไม่ได้แพงกว่าเนื้อหมูปกติเท่าใด ก็มีคนเข้ามาซื้อไม่น้อย จางซิ่วเอ๋อจึงขายเนื้อออกไปไวมาก ระหว่างนี้ก็มีคนมาถามราคาเรื่อย ๆ คนที่คิดว่าราคาเหมาะสมจะซื้อไปด้วยชิ้นสองชิ้น
ถึงแต่ละคนจะซื้อกันไม่เยอะ แต่พอจางซิ่วเอ๋อขายออกไปทีละน้อยก็ถือว่ามากเหมือนกัน
ส่วนชายหนุ่มข้าง ๆ ที่ขายอาหารป่าจำพวกกระต่ายดูซบเซากว่ามาก ตอนจางซิ่วเอ๋อยังไม่มาเขาขายกระต่ายออกไปได้ 2 ตัว
แต่พอจางซิ่วเอ๋อมาก็ไม่มีใครมาสอบถามขอซื้อกระต่ายกับเขาอีก
ใครใช้ให้จางซิ่วเอ๋อขายเนื้อล้วน แต่กระต่ายนั่นยังมีหนังมีขนล่ะ กลับไปต้องทำความสะอาดอีก แถมมีกระดูกด้วย คิดอย่างไรก็ไม่คุ้มเท่าเนื้อหมูป่า
และมีคนมาขายกระต่ายป่าอยู่บ่อย ๆ แต่เนื้อหมูป่านี่ไม่เหมือนกัน
ถึงอย่างไรก็ใช่ว่าใคร ๆ ก็มีปัญญาล่าหมูป่าได้
“ได้เลยเจ้าค่ะ! เดี๋ยวข้าเอาเชือกคล้องให้นะเจ้าคะ!” ขณะนั้นจางซิ่วเอ๋อกำลังรับลูกค้าซื้อเนื้ออยู่
รอจนลูกค้าผู้นั้นไปแล้ว แววตาจางซิ่วเอ๋อเริ่มฉายแววเคือง “ข้าทนเจ้ามานานมากแล้ว! เจ้ามองอะไร? ไม่เคยเห็นสตรีงามรึไง?”
เถี่ยเสวียนได้ฟังแทบหัวเราะออกมา เขาพินิจพิเคราะห์หุ่นผอมแห้ง หน้าคล้ำไร้สีเลือด รวมถึงผมแห้งกรังดุจหญ้าแห้งของจางซิ่วเอ๋อ สตรีงาม? กล้าพูดได้อย่างไร!
เถี่ยเสวียนโต้ “เจ้าไม่มองข้า แล้วจะรู้ได้ไงว่าข้ามองเจ้า?”
จางซิ่วเอ๋อแค่นเสียง “ต่อให้ข้ามองเจ้าก็เพราะระแวงโจร ไม่ใช่ว่าหมายตาอะไรเจ้าหรอก!”
เถี่ยเสวียนนึกโมโหในใจ นี่มันเรื่องอะไรกัน? เมื่อคืนตัวเองกับเจ้านายล่าสัตว์ป่าบนภูเขาทั้งคืน กลับต้องแบกหมูป่าตัวใหญ่ที่สุดในนั้นไปที่บ้านของแม่นางผอมแห้งผู้นี้
หมูป่านั่นเขาเป็นคนลำบากลำบนแบกกลับมาจากภูเขานะ
เพื่อหมูป่าตัวนี้ เสื้อผ้าดี ๆ ของเขาเป็นอันต้องชำรุด เวลานี้ได้แต่แต่งกายด้วยผ้าใยกัญชง! เขาไม่ได้ใส่เสื้อแบบนี้มาตั้งกี่ปีแล้ว?
แม่นางผอมแห้งผู้นี้ไม่ขอบคุณตัวเองยังไม่เท่าใด ตอนนี้ยังมาแย่งลูกค้าตัวเองอีก!
ใช่แล้ว เขายอมรับว่าเมื่อกี้เผลอมองแม่นางผู้นี้อยู่บ่อย ๆ แต่ทำไมเขาถึงทำเช่นนั้นล่ะ? ก็เพราะจริง ๆ เนื้อนี่เป็นของเขาน่ะสิ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาไม่ใส่ใจเรื่องแบบนี้หรอก
แต่ตอนนี้เขากับเจ้านายแทบจะนอนบนถนนกันอยู่แล้ว
ตอนนี้ทั้งสองคนแยกย้ายกันไปขายอาหารป่า! ถ้าขายไม่ออกจะกินอะไรไปนอนที่ไหน?
ในขณะที่เถียงกันอยู่ ชายชุดเทาเดินเข้ามา
เถี่ยเสวียนเห็นเจ้านายตัวเองก็เหมือนเจอที่พึ่ง เขากวาดตามองจางซิ่วเอ๋อหลายหน หวังว่าเจ้านายตัวเองจะผดุงความยุติธรรมให้ตัวเอง
แต่ไม่นานนัก เถี่ยเสวียนก็พบว่าความคิดของเขาช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน
ชายชุดเทาเดินเข้าไปถึงตรงหน้าจางซิ่วเอ๋อและเอ่ยถาม “เนื้อหมูป่านี่เจ้าขายอย่างไร?”
จางซิ่วเอ๋อได้ยินเสียงแล้วรู้สึกคุ้นหู แหงนหน้ามองก็เห็นชายชุดเทา
“เจ้าเองรึ?” จางซิ่วเอ๋อเสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย
ชายชุดเทากล่าว “บังเอิญจริงที่เจอแม่นางที่นี่ คราวก่อนข้าบาดเจ็บเพราะเจอสัตว์ป่าบนเขา ขอบคุณแม่นางที่ยื่นมือช่วย”
จางซิ่วเอ๋อได้ฟังก็ส่งยิ้มอย่างเสียมิได้พร้อมแค่นเสียง
เจอสัตว์ป่า? ไปหลอกผีเถอะ
ชายชุดเทาคงไม่รู้ว่าตัวเองช่วยเขาไว้ถึงสองครั้ง จึงคิดจะโกหกให้เรื่องผ่านไป ถ้าเจอแค่ครั้งเดียวแล้วชายชุดเทาบอกว่าโดนสัตว์ป่าทำร้ายมาอาจจะน่าเชื่ออยู่บ้าง
แต่นี่เจอตั้งสองครั้ง จางซิ่วเอ๋อไม่โง่ จะเชื่อคำพูดของชายชุดเทาได้อย่างไรกัน
“ข้าไม่รู้จักเจ้า” จางซิ่วเอ๋อกล่าวเรียบ ๆ
จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าคน ๆ นี้ไม่ใช่คนดี ทำเป็นไม่รู้จักดีกว่า
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ตามติดน้องเป็นวิญญาณเลยนะพ่อหนุ่มชุดเทา เป็นห่วงน้องก็บอกมาเถอะ
ไหหม่า(海馬)