เขามาแค่คนเดียว ไม่ได้เอาผู้ช่วยมาด้วย
ถึงขั้นที่ว่ายังคงอยู่ในชุดสูทรองเท้าหนัง เนื่องจากรีบร้อนจึงมีรอยยับบนเสื้อเชิ้ตเล็กน้อย
ดูเหมือนไม่มีความน่าเกรงขามอะไร
ลูกน้องพวกนั้นก็เคยเจอสถานการณ์ใหญ่ๆ แบบนี้ เคยรุมทะเลาะวิวาทหลายครั้ง มีเหรอจะกลัวการข่มขู่แบบนี้
การไล่ฆ่าระดับนานาชาติอะไรกัน น่าขำเป็นบ้า
พวกคนที่อยู่หน้าสุดไม่แม้แต่จะสนใจ ก้าวเดินต่อไป
ท่านเหยียนที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้ว คล้ายกับพยายามนึกอะไรอยู่
ทันใดนั้นเขาก็เหงื่อตก ตะโกนเสียงดัง “หยุดก่อน! หยุดเดี๋ยวนี้!”
พวกลูกน้องติดตามท่านเหยียน พอเขาสั่งแบบนี้ก็ย่อมต้องหยุด แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ
นักสืบหนุ่มปัดฝุ่นบนเสื้อ พูดกึ่งยิ้ม “หยุดทำไมครับ เมื่อครู่ยังวางท่าเสียดิบดีจะเก็บคนอยู่เลยไม่ใช่เหรอครับ เอาสิครับ หลีกทางให้แล้ว หรือยังต้องให้ผมปูพรมด้วย”
“มีที่ไหนกัน! พวกเราก็แค่มาเดินเล่นที่นี่” ท่านเหยียนยิ้มแหย พูดอย่างยากลำบาก “ไม่มีความหมายอื่นแน่นอนครับ จะไปเดี๋ยวนี้! ไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”
ฟังถึงตรงนี้นักสืบหนุ่มก็หุบยิ้ม “ไปเหรอ คุณคิดว่าคุณเล่นสนุกแล้วไอบีไอจะเล่นด้วยเหรอ”
เขาชี้ทางที่เท้า “ไม่ต้องกลัว วันนี้คุณกลับไปพวกเราก็หาตัวเจออยู่ดี”
ท่านเหยียนเหงื่อออกมากกว่าเดิม มือที่ถือลูกประคำกำลังสั่น
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็นึกไม่ถึงว่าเขาก็แค่ทำตามปกติ รับสายจากฟางจื้อเฉิงแล้วมาดูสินค้า แต่นี่กลับเจอไอบีไอ!
ไอบีไอเป็นใคร
ก็หน่วยงานสากลที่ตามจับคนทำความผิดน่ะสิ!
มีแค่คนร้ายที่ทำความผิดในระดับสากลถึงจะถูกเอาขึ้นบัญชีหมายจับของไอบีไอ
เขาเป็นแค่นักเลงเล็กๆ ในหนิงชวน สามารถเข้าตาไอบีไอได้ มีค่าถึงขั้นให้พวกเขาส่งนักสืบระดับสูงมาโดยเฉพาะเลยเหรอ
ทันใดนั้นท่านเหยียนก็รู้สึกหนาวไปทั้งตัว
อันที่จริงเขาเคยเห็นนักสืบของไอบีไอกับพวกตำรวจสากล เพียงแต่เป้าหมายที่ถูกไล่ล่าตอนนั้นไม่ใช่เขา
และก็เพราะแบบนี้เขาถึงได้ยิ่งหวาดกลัว
แน่นอนว่าวันนี้ไอบีไอส่งมาแค่นักสืบระดับสูงคนเดียว เขาสามารถจัดการนักสืบระดับสูงคนนี้ได้ไม่ยาก
แต่ถ้าทำแบบนั้น เขาคงเข้าใกล้ความตายเข้าไปทุกที
แต่ใครก็ตามที่ถูกไอบีไอจับตา ไม่มีสักคนที่หนีพ้นไปได้
“ท่านเหยียน!” ฟางจื้อเฉิงกลับยังคงร้องขอความช่วยเหลือ “ท่านเหยียน ผมรับรองเลยว่าเอาเธอไปขายได้ราคาดีแน่!”
“เจ้าโง่!” ท่านเหยียนโมโหจนแสยะยิ้ม ยกขาถีบท้องของฟางจื้อเฉิงไปหนึ่งที
ฟางจื้อเฉิงเจ็บจนต้องงอตัว หายใจหอบ รู้สึกเหลือเชื่อ “ท่านเหยียน!”
นักสืบหนุ่มยืนอยู่ด้านข้าง เอามือไพล่หลัง ยิ้มเล็กน้อย ไม่มีการห้ามอะไรทั้งนั้น
ท่านเหยียนกระชากคอเสื้อของฟางจื้อเฉิงขึ้นมา พูดเสียงลอดตามไรฟัน โมโหผิดปกติ “แกไปหาเรื่องใครกันแน่! ไอบีไอถึงได้มาตามล่าตัวแก!”
สมองของฟางจื้อเฉิงประมวลผลตามไม่ทัน เขาพูดอย่างอึ้งๆ “ไออะไรนะ”
อันที่จริงชื่อย่อไอบีไอ แม้แต่เด็กประถมก็รู้
อย่างไรเสียก็มีในหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ ข่าวก็ออกอยู่บ่อยๆ
ไอบีไอเคยตามสืบและไขคดีระดับสากลมามากมายนับไม่ถ้วน ปกป้องความปลอดภัยให้คนจำนวนมาก ปกป้องสันติสุขของโลกสร้างคุณูปการอย่างใหญ่หลวง
โดยเฉพาะเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ไอบีไอยังได้ลงทะเบียนแอ๊กเคานท์เวยปั๋ว ดึงดูดความสนใจจากชาวเน็ตได้ไม่น้อย
พวกตระกูลใหญ่ของตี้ตูต่างเคยมีปฏิสัมพันธ์กับไอบีไอ
แต่ฟางจื้อเฉิงเป็นเพียงเศรษฐีหน้าใหม่ ห่างชั้นกับพวกเศรษฐีตัวจริงไม่รู้ตั้งเท่าไร ไม่มีคุณสมบัติให้ไปคลุกคลีกับไอบีไอด้วยซ้ำ
เขาย่อมเคยได้ยินชื่อ แต่ไม่มีทางคาดคิดว่านักสืบของไอบีไอจะลดตัวมาที่นี่
ท่านเหยียนโมโหคนที่ไม่รู้เรื่องคนนี้มากกว่าเดิม เขาตวาดเสียงใส่ “ฉันจะบอกแกให้นะ แกจบเห่แล้ว แถมยังลากฉันเข้าไปซวยด้วย!”
เรื่องที่พวกเขาเคยทำมีแต่เรื่องสกปรกโสมม
เพียงแต่ทำอย่างลับๆ มาตลอด ไม่ดึงดูดความสนใจมากเท่าไร
แต่ไปมีเรื่องกับไอบีไอ แบบนั้นก็ถึงทางตันอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ฟางจื้อเฉิงยังคงไม่ได้สติกลับมา หน้ามืดตาลาย สั่นไปทั้งตัว
“หัวหน้า คะ…คุณอิ๋งเป็นใครกันแน่” สมาชิกของหน่วยอีจื้อก็ตะลึง “ผมเคยเจอคนของไอบีไอแค่ครั้งเดียวอยู่กับหัวหน้าใหญ่”
เนื่องจากลักษณะงานที่คล้ายคลึงกัน หน่วยอีจื้อจึงเคยร่วมงานกับไอบีไอ
“ไม่รู้สิ” หัวหน้าทีมส่ายหน้า “ไอบีไอไม่มีผู้บัญชาการเป็นคนจีน คนที่ส่งนักสืบระดับสูงมาได้จะเป็นคนทั่วไปได้เหรอ”
“คุณอิ๋ง ทำให้พวกคุณตกใจแย่” นักสืบหนุ่มยังคงมีท่าทีนอบน้อม “เครื่องบินมาถึงแล้ว ผมจะให้คนพาพวกคุณกลับไปก่อน เรื่องทางนี้พวกเราจะจัดการเองครับ”
“รบกวนด้วย” อิ๋งจื่อจินหยิบกระดาษทิชชู่ออกมาซับเหงื่อบนหน้าผาก ค่อยๆ หายใจ “เสี่ยวหลาน ไปเถอะ”
เวินทิงหลานเดินตาม
ท่านเหยียนกับพวกลูกน้องของเขาไม่ขยับ ไม่กล้าจริงๆ
“น้องชาย” หัวหน้าทีมเดินไปหาโอบบ่านักสืบระดับสูงคนนั้น “พวกนายยุ่งเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ”
“ทางศูนย์บัญชาการใหญ่ออกคำสั่งเร่งด่วนลงมา” นักสืบหนุ่มรู้ว่าพวกเขาเป็นใครจึงพยักหน้า ไม่ปิดบัง “พอดีผมอยู่ใกล้ที่สุดก็เลยมาครับ”
“ศูนย์บัญชาการใหญ่ด้วยเหรอ” สีหน้าของหัวหน้าทีมขรึมลงเล็กน้อย “งั้นได้บอกเหตุผลไหม”
“ไม่ได้บอกครับ แค่ให้ผมมาคุ้มกันคุณผู้หญิงแซ่อิ๋งกับน้องชายของเธอครับ” นักสืบหนุ่มนึกถึงคำสั่ง เขาตอบ “ทางศูนย์บัญชาการใหญ่บอกว่าคุณอิ๋งหน้าตาไม่ใช่สวยแบบธรรมดา ถ้าผมเห็นก็จะรู้ได้ทันที”
“งั้นก็น่าแปลกจริง” หัวหน้าทีมไม่เข้าใจ “หรือพวกนายจะคนเยอะไปเลยว่างมาก”
ไม่อย่างนั้นจะตั้งใจมาหนิงชวนโดยเฉพาะเลยเหรอ
เกรงว่าไอบีไอคงไม่มีอารมณ์กับเวลามาสนใจแม้แต่การเจรจาธุรกิจสีเทาของตี้ตูกับฮู่เฉิง
“ที่ไหนกันครับ ทางยุโรปกำลังตามล่าคนร้ายอยู่หลายคน ผมยังต้องฝากงานให้คนอื่นทำถึงมาได้เลยครับ”
“ผมถึงสงสัยว่า…” นักสืบหนุ่มกระแอม พูดเสียงเบาประหนึ่งแอบเม้าท์ “ดูสิครับ คุณอิ๋งสวยขนาดนี้ หรือจะเป็นสาวของผู้บัญชาการคนไหนของพวกผมหรือเปล่า”
“…”
…
สองชั่วโมงต่อมาเครื่องบินก็มาถึงฮู่เฉิง
ภายในห้องผู้โดยสาร อิ๋งจื่อจินห่มผ้านั่งพิงหน้าต่างหลับไปแล้ว
เวินทิงหลานก็รู้ว่าเธอเหนื่อยจึงไม่รบกวน
เขานั่งอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ เริ่มอ่านเอกสารการเรียนที่ทางมหาวิทยาลัยนอร์ตันส่งมาให้
ถ้าไม่ใช่เพราะเขามันไร้ประโยชน์ คงไม่มีทางถูกจับตัวมาจนทำให้พี่สาวต้องเดือดร้อนไปด้วย
แต่ไอบีไอเหรอ
เวินทิงหลานชอบอ่านข่าวมาแต่ไหนแต่ไร และก็ให้ความสนใจเหตุการณ์ใหญ่ๆ ระดับโลก รู้ว่าไอบีไอเป็นองค์กรที่แข็งแกร่งขนาดไหน
ด้วยสติปัญญาไอคิว 228 ของเขาก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมไอบีไอถึงเข้ามายุ่งเรื่องเล็กน้อยแบบนี้
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดก็ได้ยินเสียงเดิน
ชายหนุ่มรูปร่างสูงยาว ผึ่งผายดุจต้นหยก
เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำ กระดุมสองเม็ดบนคลายออก ช่วยขับให้ใบหน้าชวนหลงใหล ทำให้ดูสบายๆ
กลิ่นหอมไม้กฤษณาอ่อนๆ โชยมา ราวกับช่วยทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างสงบลง
เวินทิงหลานอึ้ง กำลังจะพูด
ฟู่อวิ๋นเซินหันหน้ามา เอานิ้วชี้วางตรงริมฝีปากเพื่อบอกว่าอย่าพูด “ชู่ว…”
จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาให้เวินทิงหลานดู
ในนั้นมีคำพูดที่พิมพ์ไว้ก่อนแล้ว
[คุณอารอนายอยู่ที่บ้าน ด้านล่างมีรถ รับรองปลอดภัย]
เวินทิงหลานลังเลอยู่สักพักถึงยืนขึ้นแล้วเดินลงจากเครื่องบิน
ก่อนลงเขายังได้เหลือบมองฟู่อวิ๋นเซินด้วยความระแวง
ส่วนอิ๋งจื่อจินกำลังหลับอยู่ หันข้างให้เขา
แต่ไหนแต่ไรมาเวลาเธอหลับจะเงียบสงบมาก
สองมือสองขาคุดคู้ ขดตัวกลม คล้ายลูกแมวน้อยที่เพิ่งเกิด
นี่เป็นท่านอนที่รู้สึกไม่ปลอดภัย
แม้แต่ยามหลับเธอยังอยู่ในท่าที่ป้องกัน
ฟู่อวิ๋นเซินหลุบตาลง ขนตาสั่นระริกเล็กน้อย
เขาก้มตัว ค่อยๆ ยกมือขึ้นจะลูบศีรษะของเธอ แต่ก็ยังคงไม่วางลง
สุดท้ายเขาก็อุ้มเธอขึ้นมาแล้วเดินลงจากเครื่องบิน
ดูเหมือนจะรู้สึกได้ว่ามีลมพัด อิ๋งจื่อจินขยับตัวเล็กน้อยในอ้อมกอดของเขา เอาศีรษะซบหน้าอกของเขาให้แนบชิดขึ้น
แต่ยังคงอยู่ในอาการหลับใหล หลับสนิทมาก ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น
เป็นเพียงการกระทำที่ไม่รู้ตัว
แต่มือของฟู่อวิ๋นเซินกลับหยุดชะงัก ผ่านไปสักพักเขาก็ยิ้ม
พูดด้วยเสียงที่เบามาก “คิดมากไปแล้ว เธอยังเป็นเด็กน้อยอยู่นะ”
ต้องปกป้องให้ดี รอดูเธอเติบโต
…
ตอนเย็น
ถึงแม้อิ๋งเย่ว์เซวียนจะไม่อยากฟังจงมั่นหวารำพึงรำพัน แต่ก็ยังคงกลับมาบ้านตระกูลอิ๋ง
พอเธอกลับถึงบ้านก็เดินสำรวจหนึ่งรอบ ไม่พบแม้แต่เงาของอิ๋งเทียนลี่ว์
“แม่คะ” อิ๋งเย่ว์เซวียนทำได้เพียงไปถามจงมั่นหวา “ช่วงนี้พี่ไม่กลับมาเลยเหรอคะ”
สีหน้าของจงมั่นหวาชะงัก นึกถึงบทสนทนาระหว่างอิ๋งเทียนลี่ว์กับเธอวันนั้น พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พี่ชายของลูกตั้งบริษัทเองแล้ว งานยุ่งมาก ใช่ว่าลูกจะไม่รู้”
ขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกปวดใจ
อิ๋งเทียนลี่ว์บอกว่าจะประกาศสถานะของอิ๋งจื่อจิน หากประกาศออกไป จะต้องสร้างแรงสะเทือนครั้งใหญ่ต่ออิ๋งเย่ว์เซวียนกับอิ๋งซื่อกรุ๊ปแน่นอน
ฟังถึงตรงนี้อิ๋งเย่ว์เซวียนก็เบาใจลงไปมาก เธอลังเลเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “แม่คะ วันนี้น้องจื่อจินมาที่โรงเรียนด้วยค่ะ”
“มาก็มาไปสิ” จงมั่นหวาวางถ้วยชาอย่างกระแทกกระทั้น พูดเสียงเย็นชา “ลูกอย่าไปยุ่งด้วย เดี๋ยวจะพาลูกเสียคน”
อิ๋งเย่ว์เซวียนกลืนคำพูดที่เหลือลงไปทันที
เดิมทีจงมั่นหวาก็ไม่ชอบอิ๋งจื่อจินอยู่แล้ว ถ้าเธอเล่าเรื่องที่อิ๋งจื่อจินรังแกเพื่อนนักเรียน เกรงว่าจะยิ่งเพิ่มความเกลียดชังของจงมั่นหวา
พอพูดถึงอิ๋งจื่อจิน จงมั่นหวาก็หงุดหงิด
เธอดื่มชาไม่ลงแล้ว จะขึ้นชั้นบนไปพักผ่อน ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เป็นเบอร์แปลก
จงมั่นหวากดรับ “ฮัลโหล”