อิ๋งเย่ว์เซวียนอึ้ง ยังไม่เข้าใจว่าอาจารย์ฝ่ายวิชาการจะให้เธอดูอะไร
จนกระทั่งเธอเดินเข้าไป สายตามองที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
วินาทีถัดมาดวงตาของอิ๋งเย่ว์เซวียนหรี่ลง จากนั้นก็เบิกโพลง
สองมือของเธอจับโต๊ะไว้อย่างอดไม่ได้ รู้สึกเหลือเชื่อ
ข้อมูลส่วนตัวกับผลการเรียนบรรทัดแรกจงใจทำสีแดงไว้
ด้านหลังสุดยังมีวงเล็บระบุเป็นพิเศษว่า ‘ข้อสอบคลาสเด็กอัจฉริยะ ไม่ผ่านการคูณคะแนน’
ทำข้อสอบของคลาสเด็กอัจฉริยะ แต่ผลสอบของอิ๋งจื่อจินกลับยังสามารถข่มพวกเด็กหัวกะทิคลาสทดลองวิทยาศาสตร์ได้
อิ๋งเย่ว์เซวียนหายใจเร็วขึ้น
ข้อสอบของคลาสเด็กอัจฉริยะ มีคนได้คะแนนเต็มวิชาคณิตศาสตร์กับวิชาฟิสิกส์ด้วยเหรอ!
อิ๋งเย่ว์เซวียนย่อมรู้ว่าข้อสอบคลาสเด็กอัจฉริยะยากขนาดไหน
ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยตี้ตูเป็นคนออก
โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษ ถึงขั้นเชิญนักภาษาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของเมืองนอกออกข้อสอบให้
ต่อให้เธองัดศักยภาพในตัวทั้งหมดออกมาก็ไม่มีทางทำได้คะแนนเต็ม
เธอเคยประเมินคร่าวๆ ว่าถ้าเธอตั้งใจทำ คะแนนวิทยาศาสตร์น่าจะได้สูงสุดที่ 270 คะแนน
แต่ 270 กับ 300 คะแนนมันต่างกันราวฟ้ากับดิน
ส่วนภาษาอังกฤษ โจทย์บางข้อยากถึงขั้นแม้แต่คนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ก็ยังทำไม่ได้
หลังจากที่เธอไปเรียนยุโรปยังได้ตั้งใจเอาข้อสอบของคลาสเด็กอัจฉริยะไปด้วย เพื่อขอให้นักเรียนโรงเรียนเอลานลองทำ
แน่นอนว่าเธอไม่มีทางได้ผูกสัมพันธ์กับพวกนักเรียนหัวกะทิแถวหน้า คนที่เธอรู้จักเป็นนักเรียนหญิงที่อยู่อันดับสิบของชั้นปี
โรงเรียนเอลานได้โควตาลงแข่งรอบตัดสินของไอเอสซีถึงสิบคน นักเรียนหญิงคนนี้ก็ย่อมถูกเลือก
ส่วนข้อสอบคณิตศาสตร์ของคลาสเด็กอัจฉริยะ นักเรียนหญิงคนนี้ทำได้ 138 คะแนน
ดังนั้นอิ๋งเย่ว์เซวียนจึงประมาณเอาคร่าวๆ ว่าที่หนึ่งของสายชั้นโรงเรียนเอลานน่าจะได้ 145 คะแนนขึ้นไป
จงจือหว่านยังได้แค่ 120 คะแนนต้นๆ
เดิมทีโรงเรียนเอลานก็อยู่เหนือกว่าโรงเรียนมัธยมชิงจื้อกับอีกสองโรงเรียนมัธยมปลายที่อยู่ตี้ตูในด้านการศึกษาอยู่แล้ว
ถ้าเกิดต้องเจอทั้งสองโรงเรียนในงานแข่งของไอเอสซี ก็เรียกได้ว่าชิงจื้อไม่มีทางสู้ได้แม้แต่น้อย
โรงเรียนเอลานก็เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่แต่ละปีส่งนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัยนอร์ตันมากที่สุด มีชื่อเสียงโด่งดังมากในระดับนานาชาติ
ที่เธอไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่โรงเรียนเอลานไม่ใช่เพียงเพื่อหลีกทางให้อิ๋งจื่อจิน
ยังเป็นเพราะเดิมทีโรงเรียนเอลานสามารถทำให้เธอพัฒนาตัวเองได้มากยิ่งขึ้น
แต่ตอนนี้ ชิงจื้อ…ไม่สิ ประเทศจีน มีคนที่ทำคะแนนอยู่เหนือนักเรียนโรงเรียนเอลานได้!
อิ๋งเย่ว์เซวียนเริ่มรู้สึกคอแห้ง
“เห็นแล้วใช่ไหม” อาจารย์ฝ่ายวิชาการเห็นเธอเหมือนอึ้งไปจึงชี้ที่บรรทัดแรกแล้วพูด “ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้โอกาสเธอ แต่ความแตกต่างมันมากเหลือเกิน”
เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ควรตอกย้ำแบบนี้ จึงพูดให้กำลังใจ “แต่ว่านะนักเรียนอิ๋งเย่ว์เซวียน เธอเองก็ยอดเยี่ยมมากเหมือนกัน เธอเอาเวลาเตรียมตัวแข่งไอเอสซี ไปเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีกว่า ไม่แน่ปีหน้าโรงเรียนของเราอาจได้อันดับหนึ่งถึงสองคน”
อันดับหนึ่งสองคน อีกคนไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร
“ขอโทษค่ะอาจารย์” อิ๋งเย่ว์เซวียนเม้มริมฝีปากเล็กน้อย หลุบตาลง “หนูไม่รู้จริงๆ หนูไม่คัดค้านที่จะยกโควตานี้ให้น้องสาวหนูแล้วค่ะ”
“แต่เธอ…” อาจารย์ฝ่ายวิชาการชะงัก เปลี่ยนใช้คำพูดที่เหมาะสม “ยังเอาพวกเอกสารการเรียนจากเมืองนอกไปให้อิ๋งจื่อจินที่ห้องสิบเก้าด้วยไม่ใช่เหรอ”
อีกทั้งเขายังเห็นพวกเด็กเพี้ยนห้องคลาสทดลองวิทยาศาสตร์กำลังซื้อรูปถ่ายของอิ๋งจื่อจิน เห็นบอกว่าจะเอาไปติดบูชาที่กำแพง
ในโรงเรียนแทบจะไม่มีใครไม่รู้เรื่องที่อิ๋งจื่อจินเป็นเทพการเรียน
เป็นครั้งแรกที่อิ๋งเย่ว์เซวียนฝืนยิ้ม พูดเสียงเบามาก “ขอโทษค่ะอาจารย์ หนูไม่เคยสนใจเลย”
ตอนนี้ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนคนอื่นๆ ในคลาสเด็กอัจฉริยะถึงมีท่าทีอึกอักเหมือนอยากพูดอะไรอยู่บ่อยๆ
อาจารย์ฝ่ายวิชาการไม่พูดอะไร เขาพยักหน้า “ถ้าเธออยากลงแข่งไอเอสซีจริง เริ่มจากรอบคัดเลือกได้นะ เริ่มรับสมัครแล้ว”
“ประเด็นคือทางโรงเรียนได้โควตามาคนเดียว ถ้าเยอะกว่านี้คงให้เธอไปแล้ว”
อิ๋งเย่ว์เซวียนไม่พูดอะไร
คนที่ผ่านรอบคัดเลือกไม่มีทางเทียบได้กับคนที่ได้โควตาลงแข่งระดับนานาชาติทันที
อิ๋งเย่ว์เซวียนไม่รู้ว่าตัวเองเลิกเรียนแล้วกลับบ้านมาอย่างไร
พอกลับถึงบ้านเธอยังคงไม่เห็นอิ๋งเทียนลี่ว์
อิ๋งเย่ว์เซวียนนั่งเหม่ออยู่ที่โซฟา
เธอรู้สึกว่าพอเธอกลับมาอะไรๆ ก็เปลี่ยนไปหมด
ไม่ว่าจะที่บ้าน หรือที่โรงเรียน สายตาของคนอื่นไม่ได้ให้ความสนใจเธอเท่าไรแล้ว
เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของผู้เฒ่าจงกับอิ๋งเทียนลี่ว์
พวกเขาทำดีกับอิ๋งจื่อจินมากขึ้น กลับดูหลบหน้าเธอเสียด้วยซ้ำ
เพราะเธอไม่ใช่ลูกแท้ๆ อย่างนั้นเหรอ
อิ๋งเย่ว์เซวียนบอกไม่ถูกว่ามันเป็นความรู้สึกแบบไหน
ทันใดนั้นเธอก็ลุกขึ้น กลับเข้าห้องแล้วเริ่มเก็บข้าวของ
ตอนที่ลากกระเป๋าเดินทางออกจากบ้านก็เจอจงมั่นหวาที่เพิ่งกลับมาจากช็อปปิ้งพอดี
รอยยิ้มบนใบหน้าจงมั่นหวาหายไป ทั้งยังดูกระวนกระวายมาก
เธอไม่มีเวลาสนใจถุงช็อปปิ้งที่ถืออยู่ รีบแย่งกระเป๋าเดินทางมาจากมือของอิ๋งเย่ว์เซวียน “เสี่ยวเซวียน ทำอะไรน่ะลูก พี่ใหญ่ของลูกดื้อออกจากบ้านไปคนแล้ว ลูกยังจะทำแม่เสียใจอีกเหรอ”
อิ๋งเย่ว์เซวียนตัวเกร็ง “เปล่านะคะแม่ หนูก็แค่อยากนอนที่โรงเรียน เพราะหนูจะลงสมัครแข่งงานวิชาการนานาชาติ อยู่โรงเรียนสะดวกกว่า”
จงมั่นหวาถึงได้โล่งอก “นอนโรงเรียนอะไรกัน มันจะสบายเท่าบ้านเหรอ มีคนขับรถไปส่งลูกทุกวัน อย่านอนโรงเรียนเลยนะ”
ขณะพูดจงมั่นหวาก็เอากระเป๋าเดินทางให้พ่อบ้าน จากนั้นก็กวักมือเรียก “แม่ซื้อชุดใหม่มาให้ลูก รีบมาลองเร็วเข้า”
อิ๋งเย่ว์เซวียนเดินเข้าไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ค่อยๆ พูดขึ้น “ค่ะ ขอบคุณค่ะแม่”
…
อีกด้านหนึ่ง
หลังจากที่อาจารย์ฝ่ายวิชาการส่งชื่ออิ๋งจื่อจินเสร็จก็ส่งเอกสารของไอเอสซีให้เธอ
เอกสารเป็นไฟล์พีดีเอฟ ไฟล์ใหญ่ถึง 100MB
อิ๋งจื่อจินเปิดอ่านหนึ่งรอบ
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่ารับปากผู้อำนวยการเร็วเกินไป
งานแข่งขันครั้งนี้ค่อนข้างยุ่งยากมากทีเดียว
เมื่อนับรวมรอบคัดเลือก รอบสอง รอบรองชนะเลิศและรอบชิงชนะเลิศระดับนานาชาติ จัดทั้งหมดนี้ใช้เวลาถึงแปดเดือน
รอบชิงชนะเลิศระดับนานาชาติแบ่งย่อยเป็นอีกสามรอบ ระยะเวลาก็เพิ่มไปอีกหนึ่งเดือน แถมยังไม่ได้จัดในประเทศจีนอีก
อิ๋งจื่อจินครุ่นคิดแล้วก็รู้สึกว่าผมบนหัวผู้อำนวยการเหลืออยู่ไม่เท่าไรแล้ว สงสารแกหน่อยแล้วกัน อย่าไปทำแกเสียใจเลย
การแข่งขันรอบสุดท้ายจัดเป็นทีมละหกคน แต่ละคนรับผิดชอบแยกกันไปเป็นหมวดๆ ตรงนี้เธอยังพอแอบอู้ได้
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือที่อยู่ข้างเมาส์ก็ดังขึ้น
อิ๋งจื่อจินกดรับ “ฮัลโหล สวัสดีค่ะ”
คนที่โทรมาเป็นศาสตราจารย์สาขาฟิสิกส์มหาวิทยาลัยตี้ตูที่เคยมาชิงจื้อด้วยตัวเอง ชื่อจั่วหลี
“นักเรียนอิ๋ง รู้เรื่องไอเอสซีไหม”
“ค่ะ เพิ่งอ่านรายละเอียดเสร็จ”
“อาจารย์รู้อยู่แล้วว่าคนที่ชิงจื้อส่งไปจะต้องเป็นเธอแน่นอน” จั่วหลี่ดีใจ “แต่ต่อให้ไม่ส่งเธอ ด้วยความสามารถระดับเธอก็เข้ารอบชิงชนะเลิศได้สบายๆ อยู่แล้ว”
“ก็ไม่แน่หรอกค่ะ” อิ๋งจื่อจินไร้เยื่อใย “ระยะเวลาการแข่งยาวนานเกินไป เหนื่อยค่ะ”
“…”
จั่วหลีจุก เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า
“เธอรู้ไหมว่าทำไมถึงมีไอเอสซี” เขาทำเสียงน่าตื่นเต้น “เป็นเพราะบุคคลในประวัติศาสตร์คนหนึ่ง เธอน่าจะเคยได้ยินชื่อไซมอน แบรนด์ใช่ไหม”
“เคยค่ะ” อิ๋งจื่อจินเปิดเอกสารต่อ “นักวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังมากคนหนึ่ง”
“ใช่ เขาคือปาฏิหาริย์ของวงการวิทยาศาสตร์! อัจฉริยะ!” จั่วหลีตื่นเต้น “เขาเก่งทุกอย่างในด้านวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์เคมีก็ได้หมด”
“อีกทั้งเขายังเป็นนักดาราศาสตร์ด้วย เป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่พูดถึงแนวคิดยานอวกาศ คนรุ่นหลังค้นพบแบบยานอวกาศที่เขาวาดขึ้นในสมุดบันทึกของเขา”
“แนวคิดของเขาล้ำหน้ามาก ความคิดบางอย่างสอดคล้องกับนักวิทยาศาสตร์ยุคหลังๆ อย่างบังเอิญ ถึงขนาดที่ยังได้บันทึกที่มาของบิกแบงกับเทคโนโลยีกระโดดในอวกาศ ในสมัยนั้นยังไม่มีการบัญญัติคำพวกนี้เลยด้วยซ้ำ”
อิ๋งจื่อจินครุ่นคิด “สรุปว่าไอเอสซีถูกจัดขึ้นเพราะเขาเหรอคะ”
“แน่นอน มีสาเหตุมาจากเขา แต่ก็ยังมีอีกสาเหตุที่สำคัญที่สุด” จั่วหลียิ่งพูดก็ยิ่งสนุก “ในสมุดบันทึกของเขายังได้บันทึกชื่อของนักเรียนคนหนึ่งของเขาเอาไว้ด้วย ชื่อเกว็น บราวน์”
มือของอิ๋งจื่อจินชะงัก
“เขาบอกว่าอีกหน่อยนักเรียนของเขาคนนี้จะต้องประสบความสำเร็จยิ่งกว่าเขาแน่นอน ทฤษฎีมากมายล้วนมาจากการสืบค้นวิเคราะห์ร่วมกันของพวกลูกศิษย์” จั่วหลีเล่าต่อ “เพียงแต่เกว็น บราวน์ คนนี้ไม่มีใจอยากอยู่ในวงการวิชาการแล้ว ต่อมาเธอก็ซ่อนตัว ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเท่าไร”
“ดังนั้นพวกเราเลยคิดว่า ขนาดไม่กี่ศตวรรษก่อนยังมีอัจฉริยะแบบนี้ มนุษย์เรามีพัฒนาการ ยุคนี้ก็ต้องมีได้แน่นอน ไอเอสซีมีไว้ก็เพื่อค้นหาอัจฉริยะเหล่านี้แล้วมอบทรัพยากรที่ดีที่สุดให้พวกเขา”
อิ๋งจื่อจินจับศีรษะ ไม่พูดอะไร
“เอ๊ะ นักเรียนอิ๋ง ทำไมไม่พูดล่ะ” จั่วหลีตกใจ “เธอเองก็กำลังคิดใช่ไหมว่าลูกศิษย์กับอาจารย์คู่นี้เก่งมาก”
“ไม่ใช่ค่ะ” อิ๋งจื่อจินมีสีหน้าเรียบเฉย “หนูกำลังคิดว่า ถ้าหนูย้อนเวลาได้ หนูจะไปเผาสมุดบันทึกของไซมอนแน่นอน”
ไหนตกลงกันแล้วว่าจะไม่เขียนชื่อของเธอ
ตาแก่พูดจาไม่น่าเชื่อถือ
จั่วหลี “?”
สุดท้ายก็จบการสนทนาทั้งที่เขายังงงอยู่
อิ๋งจื่อจินลุกไปรินน้ำ
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นในเวลานี้
ปังๆๆ!
ถ้าจะให้เรียกว่าเคาะ ไม่สู้เรียกทุบ
ป่าเถื่อนรุนแรงมาก
ภายในเวลาสองวินาทีก็มีเสียงดังตึง ประตูกันขโมยที่หนักมากล้มลง
อิ๋งจื่อจินหันไป
จากนั้นเธอก็ถอดยางรัดผมจากข้อมือมา เริ่มรวบผม