เรียกได้ว่าตระกูลมู่เป็นอาณาจักรธุรกิจอันดับหนึ่งของตี้ตู
แต่เนื่องจากเป็นตระกูลขุนศึก ถึงแม้จะหันมาทำธุรกิจแล้วก็ยังคงทรงอิทธิพลในด้านอื่นๆ กอปรกับมู่เฮ่อชิงเคยได้รับเกียรติมากมาย ผลงานสูงส่งเป็นบุคคลที่ได้รับการปกป้องของประเทศ จึงยิ่งเป็นที่น่าเกรงขามมาก
จุดนี้ตระกูลเนี่ยหรือตระกูลซิวก็สู้ตระกูลมู่ไม่ได้
ด้วยเหตุนี้มู่เฉินโจวถึงคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ
มู่เฮ่อชิงต้องการเกษียณตัวเอง การเลือกผู้สืบทอดในตระกูลมู่ยังจะมีใครคู่ควรให้เข้ามาชี้แนะเรื่องของตระกูลมู่ได้
เกรงว่าต่อให้เป็นผู้เฒ่าเนี่ยก็ไม่มีสิทธิ์
พอเห็นท่าทีตอบสนองของมู่เฉินโจว มู่เหวยเฟิงก็ครุ่นคิดเล็กน้อย “นายไม่รู้เหรอ”
“ไม่รู้” มู่เฉินโจวคิดว่ามู่เหวยเฟิงหยั่งเชิงเขา น้ำเสียงจึงเย็นชาลงนิดหน่อย
“นายเองก็บอกว่าคุณมู่เฉิงมาไปแล้ว แถมฉันก็ไม่ได้พยากรณ์ล่วงหน้าเป็นเสียหน่อย”
คุณนายมู่ก็เตือนมาหลายครั้งว่าคนที่เขาต้องระวังให้มากที่สุดในบรรดาผู้เข้าร่วมคัดเลือกผู้สืบทอดก็คือมู่เหวยเฟิง มู่เหวยเฟิงเด็กกว่าเขาสองปี ปีนี้อายุยี่สิบ ทั้งยังเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยตี้ตู
มหาวิทยาลัยตี้ตูเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศจีน มีชื่อเสียงมากในวงการวิชาการระดับนานาชาติ มหาวิทยาลัยตี้ตูรับนักศึกษาจะดูแค่ความสามารถเท่านั้น ม่สนว่าจะเป็นลูกเต้าจากตระกูลไหน
จุดเดียวที่แย่คือ พ่อแม่ของมู่เหวยเฟิงเสียชีวิตเร็ว ไม่มีใครช่วยสนับสนุน อีกทั้งมีหมอยังฟันธงว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินอายุสามสิบ
คนอายุสั้นไม่เหมาะสืบทอดตระกูลมู่
“คนที่มีบุญคุณช่วยชีวิตคุณปู่ไว้” มู่เหวยเฟิงไอเล็กน้อย “เป็นหมอเทวดา”
หยุดแล้วพูดต่อ “คุณมู่เฉิงบอกว่า ถ้าไม่มีคุณหมอเทวดาท่านนี้ คุณปู่อาจเสียไปตั้งแต่เมื่อต้นปีแล้ว”
“คุณปู่นับถือคุณหมอเทวดาท่านนี้มาก ทั้งยังเคยมีความคิดอยากยกตระกูลมู่ให้ เพียงแต่คุณหมอเทวดาไม่สนใจ”
ฟังถึงตรงนี้คิ้วที่ขมวดแน่นของมู่เฉินโจวก็คลายออก “ฉันรู้แล้วว่าใคร”
เรื่องที่ตระกูลเมิ่งรักษาให้มู่เฮ่อชิงไม่ใช่ความลับอะไร แม้แต่คุณนายมู่ก็รู้
แต่คุณนายมู่ก็รู้แค่ว่าเป็นคุณหมอเทวดาที่ฝีมือดีมากจากตระกูลเมิ่ง ไม่รู้ว่าเป็นคนไหน
ตอนที่มู่เฉินโจวพูดคุยกับเมิ่งจิ่งอวี้โชคดีได้รู้ชื่อของหมอเทวดาคนนี้เป็นสมาชิกสายตรงของตระกูลเมิ่ง อายุยังน้อย แต่ฝีมือขั้นเทพไม่ด้อยไปกว่าผู้อาวุโสคนอื่น มู่เฮ่อชิงนับถือในตัวหมอเทวดาคนนี้มาก ทั้งยังได้ให้ความสนิทสนมอย่างไม่ถือตัว
ถ้าเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตมู่เฮ่อชิงไว้ ถ้าอย่างนั้นจะเข้ามายุ่งการคัดเลือกผู้สืบทอดของตระกูลมู่ก็ไม่แปลกแล้ว มู่เหวยเฟิงไม่แน่ใจ แต่กลับไม่ได้ถามแต่ไม่กี่นาทีต่อมามู่เฉิงที่ออกไปก่อนหน้านี้ก็กลับมาอีกครั้ง
มู่เฉินโจวไม่รู้ว่าตัวเองคิดมากไปหรือเปล่า ดูเหมือนมู่เฉิงจะเหลือบมองเขาบ่อยครั้ง
“บททดสอบแรกจะเริ่มในปลายเดือนนี้ครับ” มู่เฉิงยื่นเอกสารในมือให้พ่อบ้านที่อยู่ข้างๆ
“คุณชายกับคุณหนูทุกคนช่วยมาให้ตรงเวลาด้วยนะครับ เนื้อหาที่ทดสอบอยู่ในนี้แล้ว พอถึงเวลาผมจะไม่อธิบายมากอีก”
พ่อบ้านแจกเอกสารออกไป แต่ละคนได้เอกสารคนละหนึ่งฉบับ หลังจากที่ทุกคนเห็นเนื้อหาสีหน้าก็เคร่งเครียด
“คุณมู่เฉิงครับ” ทันใดนั้นมู่เฉินโจวก็พูดขึ้น “พวกเรายังคงเจอคุณปู่ไม่ได้เหรอครับ”
“ผ่านการทดสอบครั้งแรกพวกคุณก็จะได้เจอแล้วครับ นี่เป็นกฎของตระกูลมู่ครับ” มู่เฉิงตอบ
“คุณท่านก็ผ่านมาแบบนี้ครับ”
ในศตวรรษก่อนรวมถึงตั้งแต่สมัยยังมีฮ่องเต้ การทดสอบหาผู้สืบทอดของตระกูลมู่ก็มีระบบแบบนี้มาตลอด ทั้งนี้ก็เพื่อรับประกันว่าภายในตระกูลมู่จะไม่เกิดการเสื่อมถอย ต่อให้มีคนรุ่นหลังทำตัวออกนอกลู่นอกทาง แต่ทั้งตระกูลก็จะไม่มีทางล้ม
มู่เฉินโจวเม้มริมฝีปากนั่งลงไป เดิมทีเขาคิดว่ามู่เฮ่อชิงจะออกมาบอกพวกเขาด้วยตัวเอง
ก่อนมู่เฉิงจะไปยังได้หยุดลงตรงหน้ามู่เหวยเฟิง “คุณชายเหวยเฟิงครับ คุณชายสุขภาพไม่ค่อยดี ผมแนะนำให้ไปรักษาหน่อยนะครับ จะได้ไม่เกิดปัญหาระหว่างการทดสอบ”
มู่เหวยเฟิงยิ้มให้เล็กน้อย “ขอบคุณคุณมู่เฉิงที่เตือนครับ ถ้ามีโอกาสผมจะไปรักษาแน่นอน”
มู่เฉิงพยักหน้าแล้วเดินออกไป
…
ณ เมืองฮู่เฉิง เวลาห้าทุ่ม
ถึงแม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่เมืองใหญ่ระดับสากลเมืองนี้ก็ยังคงเต็มไปด้วยแสงไฟ รถราเต็มท้องถนน ผู้คนขวักไขว่
ทว่าไม่รวมถึงคฤหาสน์ร้างแห่งหนึ่งตรงแถบชานเมืองทิศเหนือ บริเวณโดยรอบคฤหาสน์แห่งนี้ดูเหมือนเงียบสงบ แต่ในความเป็นจริงมีคนหลบซ่อนอยู่จำนวนมาก เพียงแต่พวกเขาต่างใส่ชุดหนังรัดรูปสีดำ กลมกลืนไปกับบรรยากาศตอนกลางคืน คนพวกนี้ล้วนเป็นยอดฝีมือที่ตระกูลเบวินฝึกฝนมา
ประเทศจีนมีจอมยุทธ์ ยุโรปก็มีรูปแบบศิลปะป้องกันตัวที่เฉพาะตัวเช่นกัน
ฝีมือของพวกทหารรับจ้างไม่ได้ด้อยไปกว่าจอมยุทธ์ โดยเฉพาะตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเบวิน ยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อดึงดูดนักล่าติดชาร์ตให้เข้ามา
ภายในคฤหาสน์ห้องโถงชั้นหนึ่ง
ริต้านั่งบนโซฟาขมวดคิ้ว สีหน้าเริ่มหมดความอดทน
แต่ไหนแต่ไรมาเธอเอาแต่ใจตามแบบฉบับของคุณหนู ไม่ชอบรอใคร
“คุณหนูครับ” ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาจากด้านนอกแล้วพูดอย่างนอบน้อม “วางใจได้ครับ เตรียมการไว้พร้อมหมดแล้ว รอแค่นักปรุงยาพิษอันดับหนึ่งมา”
ริต้าส่ายมือเพื่อบอกว่ารู้แล้ว จากนั้นเธอก็หันหน้าไปเริ่มแนะนำสองคนข้างกายให้อิ๋งจื่อจินรู้จัก
“คนนี้คือคุณแร็งส์ อีเดน นักสะกดจิตอันดับที่สี่สิบสาม”
“คนนี้คือคุณเบสซี่ เซียแมน นักฆ่าอันดับที่สามสิบสาม”
นี่เป็นนักล่าอันดับสูงที่สุดที่ตระกูลเบวินรับเข้ามาได้สำเร็จ อย่างไรเสียนักล่าส่วนใหญ่ก็ทะนงตน โดยเฉพาะคนที่มีอันดับสูงๆ ไม่ได้ร้อนเงินหรือขาดแคลนอำนาจ
ริต้าพานักสะกดจิตอันดับที่สี่สิบสามกับนักฆ่าอันดับที่สามสิบสามมาด้วยได้ก็เป็นเพราะตระกูลเบวินแข็งแกร่งมากพอ
นอกจากตระกูลลอเรนท์ที่ยิ่งใหญ่คับฟ้า ตระกูลเบวินก็เป็นหนึ่งในสามตระกูลมหาเศรษฐีแห่งยุโรป มีอิทธิพลมากเช่นกัน
สายตาของอิ๋งจื่อจินหยุดที่แร็งส์ อีเดน ครึ่งวินาที เธอพยักหน้า “สวัสดีค่ะ”
จนถึงตอนนี้นักสะกดจิตอันดับสูงสุดที่เธอเคยเจอมาก็คือ อวี้เสวี่ยเซิง
นักสะกดจิตอันดับสองของชาร์ตคนนี้แข็งแกร่งถึงขั้นที่ว่าแค่สบตากับคนที่เดินผ่านมาก็สามารถทำให้อีกฝ่ายเข้าสู่ห้วงสะกดจิตได้
ไม่รู้แม้กระทั่งว่าถูกสะกดจิตได้อย่างไร
นักสะกดจิตส่วนใหญ่ก็เป็นนักจิตวิทยาด้วยเช่นกัน เพราะพวกเขาสามารถควบคุมจิตใจของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดีรู้ช่องโหว่ของทุกคน
เมื่อเป็นแบบนี้ก็จะสามารถทลายกำแพงของอีกฝ่ายได้ในชั่วพริบตา และทำการสะกดจิต
วิชาสะกดจิตของเธอเรียนมาจากคนอื่นตอนที่มาอยู่โลกมนุษย์ครั้งล่าสุด เคยใช้อยู่ไม่กี่ครั้ง ฝีมือห่างชั้นมาก เมื่อวานตอนที่รับมือกับจอมยุทธ์ห้าคนที่เมิ่งจิ่งอวี้ส่งมา เธอสามารถสะกดจิตพวกเขาได้อย่างราบรื่นเป็นเพราะต่อสู้ไปก่อนหนึ่งรอบ
ทำให้พวกเขาสติแตก หวาดกลัว การสะกดจิตก็จะง่ายขึ้น ดังนั้นความน่ากลัวของนักสะกดจิตเป็นรองก็แค่นักปรุงยาพิษ นักสะกดจิตที่เลวร้ายจะถึงขั้นสะกดจิตคนที่เดินผ่านไปมาเพื่อยั่วยุให้คนเหล่านั้นฆ่าตัวตาย
แต่นักสะกดจิตก็พอจะข่มการมีตัวตนของนักปรุงยาพิษได้อยู่บ้าง
ถึงแม้นักล่าติดชาร์ตทั้งสองคนจะไม่รู้ว่าเด็กสาวตรงหน้าคือใคร แต่ก็รู้ว่าคนที่สามารถทำให้ริต้ายำเกรงได้ขนาดนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นนักล่าที่อันดับสูงกว่าพวกเขา
ทั้งสองคนทักทายอย่างสุภาพแล้วไปยืนเฝ้าริต้า
“ยังเหลือเวลาอีกสามชั่วโมง”
ริต้ากวักมือเรียกชายวัยกลางคน ชายวัยกลางคนเข้าใจ ไปย้ายโต๊ะสี่เหลี่ยมจัตุรัสมา จากนั้นไม่รู้ว่าริต้าไปลากกล่องมาจากไหนยกมาวางบนโต๊ะ
เธอเสนอด้วยความตื่นเต้น “มีสี่คนพอดี พวกเรามาเล่นไพ่นกกระจอกกันเถอะ”
“…”
…
ในเวลาเดียวกันคฤหาสน์บ้านตระกูลอิ๋ง
เนื่องจากจงมั่นหวามีอาการหลงเหลือทางประสาทมาตลอด จึงมักมีอาการอ่อนล้า ด้วยเหตุนี้เธอจึงเข้านอนเร็ว
ส่วนภายในห้องนอนอีกห้องหนึ่งไฟยังสว่างอยู่
อิ๋งเย่ว์เซวียนนั่งอยู่ที่โต๊ะ ไม่ได้อ่านหนังสือ แต่เปิดคอมพิวเตอร์ ในหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างแป้นคีย์บอร์ดแสดงจอสนทนาระหว่างอิ๋งเย่ว์เซวียนกับรุ่นพี่ที่โรงเรียนเอลานคนนั้น
[โค้ดดอทด๊อก]
[นี่โค้ดที่เธออยากได้ สามารถแฮกเข้าคอมพิวเตอร์ของคนอื่นได้ในเวลาอันสั้นเก็บไว้ให้ดี แต่เธอจะเอามันไปทำอะไร]
อิ๋งเย่ว์เซวียนเม้มริมฝีปากพลางตอบ
[แอคเคาท์คิวคิวของฉันถูกขโมยไป ในนั้นมีข้อมูลสำคัญมากเลยอยากเอาคืนมาค่ะ]
[ที่แท้ก็แบบนี้อย่างไรซะเนื่องจากโค้ดนี้แฮกเข้าได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังจะทำลายไฟร์วอลของคอมพิวเตอร์ ไม่ปลอดภัยมากนักใช้ได้แค่ครั้งเดียว ถ้าเธอเอาแอคเคาท์คิวคิวกลับมาไม่ได้ก็มาขอใหม่นะ]
หลังจากอิ๋งเย่ว์เซวียนบอกขอบคุณเสร็จก็เปิดไฟล์เวิร์ดเอาโค้ดในนั้นใส่ไปในคอมพิวเตอร์
พอกดเอ็นเตอร์โปรแกรมก็เริ่มประมวลผล ไม่กี่วินาทีต่อมาก็มีหน้าต่างใหม่เด้งขึ้น
[เชื่อมต่อกับ เดสก์ทอปเอสอีสามบีทีเอ็นเค เป็นที่เรียบร้อย]
อิ๋งเย่ว์เซวียนรู้ว่านี่เป็นรหัสประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ของอิ๋งจื่อจิน
เธอย่อมไม่เคยเพิ่มช่องทางติดต่อใดๆ กับอิ๋งจื่อจิน แต่ก็มีกลุ่มที่อยู่ร่วมกัน
ใช้โปรแกรมนี้ก็จะสามารถสร้างการเชื่อมต่อในระยะไกลได้ถึงแม้เธอจะไม่ได้มีความเข้าใจในโปรแกรมนี้ทั้งหมด แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการใช้ เดิมทีคิดว่าการแฮกเข้าคอมพิวเตอร์ของอิ๋งจื่อจินจะต้องใช้เวลาสักพัก ปรากฏว่ายังไม่ถึงหนึ่งวินาทีด้วยซ้ำ
นี่ก็แสดงว่าคอมพิวเตอร์ของอิ๋งจื่อจินมีไฟร์วอลที่ห่วยมากเป็นแบบทั่วไปที่วางขายตามท้องตลาด