คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 249 ช่างบังเอิญ คุณอิ๋งรับผิดชอบการทดสอบ

อิ๋งจื่อจินสวมหมวกเบสบอล สวมเสื้อแขนสั้นสีขาว กางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม

สองขาเรียวยาว ผิวขาวเหมือนหยก มีออร่าเปล่งปลั่ง

เป็นการแต่งตัวที่สุดแสนจะธรรมดามากตามท้องถนน แต่เธอก็ยังคงสามารถดึงดูดความสนใจได้ในแรกเห็น

อิ๋งจื่อจินไม่ได้สวมแว่นดำอีกทั้งกำลังเดินมาทางนี้ มู่เฉินโจวย่อมเห็นได้ชัด

ใบหน้าที่งดงามจนต้องตะลึง

มู่เฉินโจวขมวดคิ้ว

ทำไมพอเขากลับมาตี้ตู อิ๋งจื่อจินก็มาตี้ตูเหมือนกันล่ะ

อิ๋งจื่อจินไม่ได้มีญาติอยู่ทางตี้ตูเสียหน่อย แล้วเธอมาทำอะไร

คุณนายมู่สังเกตเห็นว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนไป จึงหันไปมองตามสายตาของเขา “มีอะไรเหรอ”

เธอเองก็เห็นอิ๋งจื่อจินแล้ว แต่คุณนายมู่ลืมไปนานแล้วว่าอิ๋งจื่อจินเป็นใคร

แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่จำคนที่ไม่สำคัญ

“เจอคนรู้จักครับ” มู่เฉินโจวตอบ “เดี๋ยวผมขอไปทักทายหน่อยนะครับแม่”

พูดจบเขาก็เดินขึ้นหน้า ท่าทีสุภาพ เกรงใจรักษาระยะห่าง

“คุณอิ๋ง เจอกันอีกแล้วนะครับคุณมาตี้ตูมีธุระอะไรเหรอครับ”

ทว่าอิ๋งจื่อจินไม่ตอบ เธอไม่แม้แต่จะมองมู่เฉินโจว ราวกับไม่รู้จักเขา และก็ทำเหมือนไม่ได้ยินคำถามของเขา เดินผ่านไปทันที มือของมู่เฉินโจวค้างกลางอากาศจะเอาลงก็ไม่ใช่ จะยกขึ้นก็ไม่เชิง สีหน้าก็กระอักกระอ่วน

“ใครน่ะ” สีหน้าของคุณนายมู่ขรึมลง “ลูกทักทายแล้ว ทำไมเธอถึงไม่สนใจลูกล่ะ”

ต่อให้เป็นคุณหนูของตระกูลเนี่ยกับตระกูลซิวก็ไม่เคยหักหน้ามู่เฉินโจวแบบนี้

“อิ๋งจื่อจินครับ” มู่เฉินโจวถอนหายใจ รู้สึกจนปัญญา

“น่าจะยังโกรธเรื่องงานประมูลวันนั้นอยู่”

เขาช่วยเตือนเธอจริงๆ

ถ้าเขาไม่พูดขึ้น ตระกูลเมิ่งจะยิ่งลงมือโหดเหี้ยม

อิ๋งจื่อจินจะสู้ยังไง

แต่น่าเสียดายที่เธอคิดว่ามีฟู่อวิ๋นเซินอยู่ก็เลยมั่นใจมาก

คุณนายมู่นึกอยู่หลายวินาทีถึงนึกออก “ที่แท้ก็เด็กคนนั้น”

เธอหยุดเล็กน้อย น้ำเสียงเย็นชาลง

“คนสวยๆ มีเยอะแยะ เรื่องสำคัญที่สุดของลูกในตอนนี้คือผ่านการทดสอบ รอลูกเป็นผู้สืบทอดตระกูลมู่ที่แท้จริงเมื่อไร ต่อให้เป็นตระกูลของเมืองนอกก็จะต้องมาขอเกี่ยวดองแน่นอน ไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับคนที่เป็นแค่ลูกเลี้ยงแบบนี้”

ทว่าใบหน้าอย่างอิ๋งจื่อจินก็มีเสน่ห์กับผู้ชายจริงๆ อย่าว่าแต่ผู้ชายเลย แม้แต่ผู้หญิงด้วยกันก็ยังหวั่นไหว คุณนายมู่จำต้องเตือนมู่เฉินโจวกลัวว่าเขาจะถลำลึก

ส่วนอิ๋งจื่อจินมาทำอะไรที่ตี้ตูก็ไม่เกี่ยวกับพวกเขาเลยสักนิด

“เธอไม่ได้รับผิดชอบการทดสอบของพวกลูกเสียหน่อย” คุณนายมู่พูดต่อ “อีกเดี๋ยวพวกเรายังต้องไปที่ตระกูลเมิ่งอีก”

คฤหาสน์ตระกูลฟู่

หลังจากที่ผู้เฒ่าฟู่กินข้าวเย็นเสร็จก็ออกจากบ้าน

พอร่างกายเขาแข็งแรง เขาก็มักจะออกไปเดินเล่นข้างนอก

แต่เรื่องที่เขาชอบที่สุดก็ยังคงเป็นการไปเดินหมากกับผู้เฒ่าจง ต่อให้ผู้เฒ่าจงชอบไล่เขาไม่ให้เข้าบ้าน แต่เขาก็ยังคงมีความสุขที่จะไป คนรุ่นพวกเขาเหลือกันอยู่ไม่เท่าไรแล้ว

ตอนที่ผู้เฒ่าอิ๋งกับผู้เฒ่าเจียงยังอยู่ พวกเขายังรวมตัวเล่นไพ่นกกระจอกได้

ตอนนี้คงได้แต่เดินหมากแล้ว

หลังจากที่จงจือหว่านไปเมืองนอก บ้านตระกูลจงก็เงียบเหงาไปมาก ผู้เฒ่าฟู่ก็เลยถือโอกาสค้างที่นี่สองสามวัน

ผู้เฒ่าจงวางกระดานเดินหมากไว้เรียบร้อยก่อนแล้ว พอเห็นเขามาก็กวักมือเรียก

“ตาแก่ฟู่ มานั่ง คอยดูนะฉันจะเอาให้แกแพ้หมดสภาพ”

ผู้เฒ่าฟู่เอามือไพล่หลังอยู่ ค่อยๆ นั่งลง “ใครแพ้ใครชนะมันก็ไม่แน่หรอกนะ”

หมากที่ทั้งสองคนเล่นเป็นหมากล้อม

ผู้เฒ่าฟู่เลือกหมากสีดำ หลังจากที่เขาหยิบหมากเม็ดแรกขึ้นมากลับลังเลอยู่นาน

ผ่านไปสักพักก็พูดขึ้น “ตาแก่จง นี่มันตั้งกี่เดือนมาแล้วฉันยังไม่กล้าเชื่อเลยนะว่าฉันจะแข็งแรงมานั่งเดินหมากกับแกอยู่ที่นี่ได้”

อันที่จริงผู้เฒ่าฟู่รู้มาตลอดว่าเขาไม่ได้ป่วยธรรมดาแต่ถูกพิษ พิษชนิดนี้ไม่มีทางเอาชีวิตของเขาทันที แต่จะกัดกร่อนร่างกายของเขาลงไปทุกวันบั่นทอนอายุขัยของเขา

แม้แต่ตัวเขาเองยังนึกไม่ถึงว่าจะทนมาได้ตั้งยี่สิบปี

ผู้เฒ่าฟู่เงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็ยิ้ม “ก็ไม่รู้ว่ายังจะมีชีวิตอยู่ไปได้อีกนานเท่าไร”

“พอเลยๆ” ผู้เฒ่าจงไม่อยากฟัง “มืดค่ำป่านนี้แล้วอย่าพูดเรื่องไม่ดี แกเพิ่งจะแค่แปดสิบห้า อย่างน้อยก็อยู่ได้อีกยี่สิบปี”

“ฉันพูดจริงนะ” ผู้เฒ่าฟู่วางตัวหมากพลางพูด “แกแข็งแรงต้องอายุยืนกว่าฉันแน่นอน พอถึงเวลาถ้าฉันไม่อยู่แล้ว ฝากดูแลอวิ๋นเซินด้วยนะ”

“ใครเขาอยากดูแลไอ้หลานหน้าเหม็นของแกกัน” ผู้เฒ่าจงทำเสียงฮึดฮัด ขณะที่กำลังจะพูดต่อ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น

พอเขาเหลือบมองก็ดีใจ

“เอ้อ จื่อจินวิดีโอคอลมา ตาแก่ฟู่แกก็มาเข้ากล้องด้วยสิ”

พอได้ยินชื่อนี้หูของผู้เฒ่าฟู่ก็ผึ่ง

เขาแสร้งทำท่าทางเหมือนถูกเชิญมานั่งลงข้างผู้เฒ่าจง

เสียงของอิ๋งจื่อจินเย็นชา “คุณตา”

เธอหยุดเล็กน้อย “ปู่ฟู่ก็อยู่ด้วยเหรอคะ”

ผู้เฒ่าฟู่นั่งตัวตรงขึ้นมาทันที “อ้อ ใช่ จื่อจิน ปู่มาเดินหมากกับคุณตาของหนูน่ะ”

“ถอยไป ฉันให้แกดูอย่างเดียว” ผู้เฒ่าจงเลื่อนโทรศัพท์มาอย่างไม่พอใจ “จื่อจิน ตี้ตูเป็นไงบ้าง”

เขาถามไปเยอะมาก อิ๋งจื่อจินก็ตอบทุกคำถาม

“หลานสาวของฉันสุดยอดเลยใช่ไหมล่ะ” ผู้เฒ่าจงวิดีโอคอลพลางพูดอวด

“หลานฉันไปเข้าร่วมงานแข่งขันระดับนานาชาติที่ชื่อไอเอสซีแล้ว ทั่วทั้งประเทศได้ไปแค่หกคน”

ผู้เฒ่าฟู่พยักหน้าต่อเนื่อง “ใช่ๆ ตาแก่จง หลานสาวแกเก่งจริงๆ”

แต่สิ่งที่เขาคิดในใจคือ…

พูดมากหลานสะใภ้ที่ฉันเล็งไว้ไม่เก่งได้เหรอ

ผู้เฒ่าจงก็ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าฟู่แอบมีแผนในใจ พอถูกยอก็มีความสุข “ฉันไอคิวไม่สูง แต่หลานฉันไอคิวสูง ตาแก่ฟู่ แกอิจฉามากใช่ไหม”

ผู้เฒ่าฟู่พยักหน้าอีกครั้ง “อิจฉาๆ”

แต่เขาคิดในใจว่า…

ไม่อิจฉาเลยสักนิด อย่างไรซะก็ต้องมาเป็นหลานสะใภ้ของฉันในไม่ช้าก็เร็ว

“แต่ไอ้หลานชายหน้าเหม็นของแกน่ะไม่ไหวหรอก” ผู้เฒ่าจงภูมิใจ “แกดูเอาละกัน หมอนั่นไม่มีทางได้เข้าร่วมแข่งขันอะไรหรอก”

ผู้เฒ่าฟู่พยักหน้าอีกครั้ง “ใช่ๆ”

เขายังคงคิดในใจว่า…

แล้วไงล่ะ พาหลานสะใภ้กลับบ้านมาให้ฉันได้ก็พอแล้ว

ในขณะที่ผู้เฒ่าจงกำลังจะเยาะเย้ยผู้เฒ่าฟู่ต่อ ทันใดนั้นก็มีเสียงทุ้มต่ำของผู้ชายดังมาจากในโทรศัพท์มือถือ น้ำเสียงกึ่งหัวเราะ “ปู่จง นินทาคนอื่นไม่แมนเลยนะครับ”

เมื่อสายตากลับไปที่หน้าจออีกครั้ง หัวใจของผู้เฒ่าจงก็แทบจะอุดตันขึ้นมาอีกครั้ง เขาเอามือจับตรงหัวใจ “ไอ้เด็กหน้าเหม็น ทำไมแกก็อยู่ด้วย!”

เคราะห์ซ้ำกรรมซวยอะไรกัน

จริงๆ เลย!

ฟู่อวิ๋นเซินพูดเสียงเนือย “บอดี้การ์ดครับ”

ผู้เฒ่าจง “…”

เขากดตัดสายทันที คว่ำหน้าโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ

ผู้เฒ่าฟู่เม้มปากพยายามกลั้นหัวเราะ

จากนั้นเขาก็อ้างไปเข้าห้องน้ำ หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วไล่กดไลก์ในหน้าไทม์ไลน์ของฟู่อวิ๋นเซินรัวๆ พร้อมทิ้งข้อความ

[เจ้าเจ็ด ทำดีมาก!]

ทางด้านตี้ตู

อิ๋งจื่อจินเลิกคิ้ว ดึงโทรศัพท์มือถือของตัวเองกลับมา “ฉันบอกแล้วว่าคุณปู่โมโหคุณมาก”

“พี่ชายอธิบายได้” มือของฟู่อวิ๋นเซินที่จับพวงมาลัยรถอยู่เริ่มขยับ “พี่ชายไม่ได้คิดจะแทนที่ตำแหน่งของปู่จง”

อิ๋งจื่อจินหาว “วันนี้เช้าคุณยังให้ฉันดื่มชาพุทราแดงผสมเมล็ดเก๋ากี้อยู่เลยนะ พฤติกรรมคนแก่”

ฟู่อวิ๋นเซินก็เลิกคิ้ว “เมื่อไม่กี่วันก่อนพี่ชายยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลยนะ ตอนนี้กลายเป็นคนแก่แล้วเหรอ”

“จิตใจเป็นเด็กน้อย แต่การใช้ชีวิตเป็นคนแก่”

“…”

คำพูดนี้ฟังแล้วหมดทางคัดค้าน

“ที่นี่เป็นค่ายติว” ฟู่อวิ๋นเซินหยุดรถ “พี่ชายไม่เข้าไปแล้วกัน ถ้ามีอะไรก็โทรมาได้”

หยุดเล็กน้อยแล้วถามต่อ “นัดคนไข้ไว้วันไหน”

“สุดสัปดาห์นี้” อิ๋งจื่อจินปลดเข็มขัดนิรภัย “ไว้ค่อยดูสถานการณ์อีกที”

เธอลงจากรถ ไม่มีกระเป๋าเดินทาง มีเพียงกระเป๋าเป้ใบเดียว

พวกของใช้ประจำวันกับเสื้อผ้ามาซื้อเอาที่นี่ได้

อิ๋งจื่อจินเอายาขวดหนึ่งให้ฟู่อวิ๋นเซินแล้วถึงเดินเข้าไปในค่ายติว

ค่ายติวครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ตัวแทนหกคนที่จะเข้าสู่รอบตัดสิน ยังมีนักเรียนอีกหกคนที่มีความโดดเด่น ก็ถูกเชิญมาเช่นกัน

เดิมทีโรงเรียนมัธยมชิงจื้อเอาโควตาค่ายติวให้อิ๋งเย่ว์เซวียน แต่ถูกอิ๋งเย่ว์เซวียนปฏิเสธ ครั้นแล้วจึงตกไปอยู่กับคนที่ได้อันดับหนึ่งของคลาสเด็กอัจฉริยะชั้นมอห้า

สิบสองคนแบ่งเป็นสี่กลุ่ม

กลุ่มละสามคนต่อศาสตราจารย์หนึ่งคน พอถึงเวลาจะมีการแข่งขันต่างๆ

ค่ายติวครั้งนี้กินเวลาไม่นาน แค่หนึ่งเดือน

เนื่องจากโรงเรียนมัธยมในสังกัดมหาวิทยาลัยตี้ตูกับโรงเรียนมัธยมชิงจื้อต่างมีศักยภาพที่แข็งแกร่งที่สุด อิ๋งจื่อจินกับนักเรียนอีกสองคนจึงถูกจัดอยู่กลุ่มเดียวกัน

นักเรียนอีกสองคนเคยเห็นผลการเรียนของอิ๋งจื่อจิน ถึงแม้จะเป็นแค่การติว แต่ก็เกี่ยวพันถึงศักดิ์ศรี ให้พวกเขาอยู่กลุ่มเดียวกับคนที่ผลการเรียนไม่แน่นอน พวกเขาไม่ยอม

นักเรียนสองคนนี้พอมาถึงค่ายติวก็ไปยังหอพักที่พวกศาสตราจารย์อยู่

จั่วหลีเป็นหนึ่งในสี่ศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยตี้ตูส่งมาครั้งนี้ คืนนี้เขาอยู่เวร

หนึ่งในนักเรียนลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็เอ่ยขึ้น “ศาสตราจารย์จั่วครับ ย้ายกลุ่มให้พวกเราได้ไหมครับ หรือไม่ก็เปลี่ยนอิ๋งจื่อจินออกไป”

พอได้ยินแบบนี้จั่วหลีก็วางปากกาลง มองทั้งสองคน

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

Status: Ongoing
อ่านนิยาย คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ‘จื่อจิน ถึงเธอจะเป็นลูกสาวของพวกเรา แต่พวกเราเลี้ยงเสี่ยวเซวียนมาสิบห้าปี ผูกพันกับเสี่ยวเซวียนมาก เสี่ยวเซวียนถูกเลี้ยงมาอย่างคุณหนู ไม่เหมือนเธอที่ทนความลำบากที่บ้านนอกมาตลอด ดังนั้นคุณหนูใหญ่ของตระกูลอิ๋งก็ยังคงเป็นเสี่ยวเซวียน’ ‘เธอคงจะน้อยใจ แต่เธอจิตใจดีขนาดนี้ แม่รู้ว่าเธอไม่มีทางถือสาแน่นอน วางใจนะ อะไรที่เธอควรได้ก็จะไม่มีทางน้อยหน้า’ ‘อะไรนะ เธอเองก็อยากไปด้วยล้อเล่นหรือเปล่า ทางนั้นเขาต้องการคุณหนูไฮโซ เธอน่ะ แม้แต่เล่นเปียโนสักเพลงก็ยังไม่เป็น จะไปเล่าอะไรให้เขาฟังมีแต่จะทำขายหน้า’ ภายในความฝันเป็นเงาคนเต็มไปหมดกับคำพูดที่ตีกันยุ่งเหยิง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset