บทที่ 107 ใจสื่อถึงกัน ร่างกายไร้ซึ่งปีก
พวกเจียงวั่งดื่มสุราไปยกใหญ่ จงใจควบคุมรากพลังเต๋าไว้ให้ตนเองดื่มจนเมามาย หลังจากเสวนาเรื่อยเปื่อยไปพักหนึ่ง ก็ยังไม่ได้แก้ไขปัญหาในทางปฏิบัติอะไรเลย
กระทั่งวันต่อมาก็จำไม่ค่อยได้ว่าตนเองพูดอะไรไปบ้าง จำได้รางๆ เพียงว่าก่นด่าตู้เหยี่ยหู่ด้วยกัน แต่ในใจของทุกคนรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว
สิ่งที่บังเอิญก็คือ เมื่อคืนเพิ่งจะด่าตู้เหยี่ยหู่ไป วันต่อมาคนส่งจดหมายของเขาก็มาที่เมืองเฟิงหลิน
ลักษณะเหมือนใจสื่อถึงกันอยู่บ้าง
คนส่งจดหมายเป็นทหารที่ดูบื้อๆ คนหนึ่ง เขาไปหาหลิงเหอที่สำนักเต๋าก่อน
ตอนแรกหลิงเหอเห็นแต่ตัวไม่เห็นจดหมาย ใจก็หายวาบ แทบจะร้องไห้ออกมาตรงนั้น ต่อมาถึงรู้ว่าสิ่งที่พลทหารนำมาคือจดหมายปากเปล่า ไม่ใช่การมอบเงินบำรุงขวัญอะไรแบบนั้น
แต่อีกฝ่ายบอกว่า จดหมายปากเปล่านี้ต้องอยู่พร้อมกันทั้งสามคนจึงจะพูดได้
หลิงเหอจำใจพาพลทหารเดินสารวิ่งเสียรอบหนึ่ง ลากสหายที่กำลังเมาค้างสองคนขึ้นมา จากนั้นจึงไปรวมตัวกันที่บ้านของเจียงวั่ง
“ได้หรือยัง ว่ามาเลย จดหมายปากเปล่าอะไรกัน ทำเสียยุ่งยากเกินเหตุ!” เจ้าหรู่เฉิงหาวหวอด ถามออกมาเป็นชุดเหมือนประทัดอย่างหมดความอดทน
เขาเป็นพวกโมโหง่ายหลังตื่นนอน เวลานี้ความขุ่นเคืองต่อตู้เหยี่ยหู่จึงเต็มเปี่ยม
เจียงอันอันได้ถังตุนไปส่งเข้าเรียนแล้ว เจียงวั่งกำลังใช้น้ำจากลำธารสายเล็กมาล้างหน้าแปรงฟันอย่างเชื่องช้า
พลทหารมองเขา เอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว “ท่านตู้บอกว่าต้องให้พวกท่านสามคนนั่งฟังกันอย่างตั้งใจ”
“หน้าใหญ่เสียเหลือเกิน ข้าไม่ฟังแล้ว!” เจ้าหรู่เฉิงโกรธจัด หันหลังจะเดินกลับ
หลิงเหอคว้าตัวเขาไว้ ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย “ลองฟังดูก่อนว่าปากสุนัขจะพ่นงาช้างอะไรออกมา[1] แล้วค่อยกลับไปก็ยังไม่สาย”
“พรวด แค่กๆๆ!” เจียงวั่งสำลักน้ำ
ขนาดหลิงเหอที่เป็นคนจริงใจยังทนไม่ไหวพ่นคำแบบนี้ออกมา เห็นได้เลยว่าพฤติกรรมของตู้เหยี่ยหู่น่าตีขนาดไหน
เขาเกิดความอยากรู้ขึ้นมา จึงไม่แปรงฟันแล้ว แต่ลากเก้าอี้สามตัวมาวางไว้กลางลานบ้านแล้วนั่งลงไป
หลิงเหอดึงตัวเจ้าหรู่เฉิงมานั่งด้วยกัน
“เอาละ พวกเรานั่งกันเรียบร้อยแล้ว พูดมาเถิด”
เจ้าหรู่เฉิงยังคงไม่ยอม “เขาอยากพูดอะไรทำไมไม่เขียนจดหมายมาเล่า ต้องส่งคนวิ่งมาโดยเฉพาะอย่างนี้ด้วยหรือ เลื่อนขั้นแล้ว? หรือว่าคันคอ?”
นายทหารตอบอย่างสั่นกลัว “ท่านตู้บอกว่าเขียนจดหมายแล้วไม่ถึงใจ ความรู้สึกบางอย่างตัวอักษรสื่อออกมาได้ไม่ดีพอ ต้องให้ข้าน้อยวิ่งมา บอกว่าต้องถ่ายทอดน้ำเสียงของเขาออกมาให้เหมือนด้วย”
“ไม่รู้หนังสือก็ไม่รู้หนังสือสิ! จะคุยโวทำ…”
“เอาละๆๆ เจ้าว่ามาเถอะ” เจียงวั่งรีบตัดบทเจ้าหรู่เฉิง ให้พลทหารเอ่ยต่อ
พลทหารกระแอมสองครั้ง จากนั้นจึงเลียนแบบเสียงของตู้เหยี่ยหู่ เสียงแหบห้าวดังขึ้น “ฟังพี่เสือให้ดี! พี่เสือเดินผ่านเส้นทางทะลวงชีพจรเลือดลมแล้ว ตอนนี้วงจรจักรวาลเล็กเสร็จสมบูรณ์! หน่วยเกราะดำเก้าสินธุไม่มีอัจฉริยะอย่างข้ามายี่สิบปีแล้ว! พี่เสือเป็นนายกองแล้วเรียบร้อย ตำแหน่งด้อยกว่าเจ้าหลางคนนั้นอยู่แค่ครึ่งขั้น แต่หน่วยเกราะดำเก้าสินธุก็แข็งแกร่งกว่าทหารประจำเมืองเฟิงหลินหลายเท่า พวกเจ้าคิดเอาเองแล้วกัน!”
พูดถึงจุดนี้ พลทหารก็ยื่นมือแตะศีรษะของเจ้าหรู่เฉิงอย่างหยั่งเชิง
ไม่รอให้เจ้าหรู่เฉิงทันทำอะไร เขารีบร้อนอธิบายว่า “ท่านเสือบอกข้าว่าตอนที่พูดถึงตรงนี้ ให้ตบศีรษะของท่าน”
แน่นอน เขาไม่กล้าพูดคำเดิมของตู้เหยี่ยหู่ที่ว่า ‘ตบกบาลเจ้าหน้าขาวนั่นให้ข้าสักทีด้วย’
“หรู่เฉิงเอ๋ย สองคนนั้นข้าไม่กังวล มีแต่ตัวขี้เกียจอย่างเจ้านี่ละ ห่างชั้นจากพี่เสือมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว จะทำอย่างไรดี” พลทหารพูดเลียนแบบต่อ “เอาละ พูดมากไปเจ้าก็จำไม่ได้ เท่านี้แล้วกัน จริงด้วย น้องอันอันของข้าต้องคิดถึงข้ามากแน่ เจ้าบอกนางด้วยว่าไม่ต้องคิดถึงมากนัก ช่วงสิ้นปีพี่เสือจะกลับบ้านสักรอบหนึ่ง! แล้วจะเอาของขวัญไปฝากนาง! เท่านี้แหละ!”
พลทหารท่องจบ ก็ถอนหายใจยาวเหมือนยกภูเขาออกจากอก ทำสีหน้าประมาณว่า ‘ข้าพูดไม่ตกไม่ขาดเลยสักคำ พวกท่านรีบชมข้าเร็ว’
พวกเจียงวั่งประสานสายตากัน ต่างเห็นคำว่า ‘ซื่อบื้อ’ จากดวงตาของอีกฝ่าย
เจ้าหรู่เฉิงกระแอมเบาๆ ถามพลทหารว่า “เจ้าชื่ออะไร”
พลทหารตอบเสียงก้อง “ข้าชื่อเจ้าเอ้อร์ทิง! เป็นพลทหารใต้บังคับบัญชาของท่านตู้! พอดีกลับมาเยี่ยมบ้าน ท่านตู้จึงให้ข้านำจดหมายปากเปล่านี้มาส่ง!”
“ท่านตู้ของพวกเจ้ามีพลทหารสังกัดอยู่กี่คน”
“สาม…” เจ้าเอ้อร์ทิงสะดุ้งตกใจ “ท่านตู้ไม่ให้บอก!”
“น่าจะมีแค่สามคนสินะ” เจ้าหรู่เฉิงลูบคาง “เอาละ เจ้าทำได้ดีมาก เป็นสุนัขรับใช้ที่ได้มาตรฐาน ขากลับก็ระวังตัวเองด้วย”
หลิงเหอใจกว้าง ยังเตรียมจะให้เขาอยู่กินข้าวกันก่อน แต่เจ้าเอ้อร์ทิงคิดว่าตนเองจะหลุดปากพูดอะไรอีก จึงรีบหนีกลับไปก่อน
ไม่ว่าอย่างไร ดูท่าเจ้าเสือตู้จะใช้ชีวิตอยู่ที่เจียงจิ่วได้ไม่เลวเลย แม้ว่าวิธีการส่ง ‘จดหมาย’ จะน่าโมโหไปหน่อย ทว่าสุดท้ายก็ยังทำให้ทุกคนโล่งอกได้
หลิงเหอลุกขึ้นกลับไปฝึกบำเพ็ญที่สำนักเต๋า รากฐานของเขาเสร็จสมบูรณ์แล้ว ตอนนี้กำลังลองสร้างวงจรจักรวาลเล็กของตนเอง
ส่วนเจ้าหรู่เฉิงหาวพลางเดินไปในห้องนอน “พี่สาม ข้าขอไปงีบบนเตียงท่านหน่อยนะ”
……
ในถ้ำมืดทึมแห่งหนึ่ง สถานการณ์น่าสลดอย่างยิ่ง
ซากศพกองทับกันระเกะระกะ กลิ่นคาวเลือดฉุนเสียดจมูก
กลิ่นนั้นแทงลึกเข้าไปในก้นบึ้งจิตใจทีละเล็กทีละน้อย ทำให้คนขนลุกชัน หนังศีรษะชาวาบ
ฟางเฮ่อหลิงคุกเข่าบนพื้น เอ่ยขอร้องเสียงดัง “ไว้ชีวิตข้าเถอะ ข้ายังมีประโยชน์กับพวกท่าน มีประโยชน์มากด้วย!”
ครั้งนี้เขาติดตามเหล่าศิษย์พี่น้องในสำนักเต๋ามาสังหารมารนอกรีตสองคนที่สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน ตอนแรกทุกอย่างราบรื่นดี แต่ตอนไล่ล่ามาถึงช่วงหลัง กลับพบว่านี่เป็นกับดัก
พวกเขาถูกล้อมโจมตี
เหล่าศิษย์ในสำนักที่มาด้วยกันแทบจะถูกสังหารตายหมดเมื่อประจันหน้า เขาสบโอกาสได้รวดเร็ว รีบคุกเข่าลงอ้อนวอน จึงต่อลมหายใจมาได้อีกหน่อย
ร่างคนรางเลือนล้อมอยู่ทั้งสี่ทิศ ไม่มีใครพูดอะไร ล้วนมองเขาอย่างเย็นชา
ฟางเฮ่อหลิงตัวสั่นเทิ้ม โยนข้อต่อรองออกมาไม่หยุด “ไม่ว่าพวกท่านจะเป็นใคร อยากทำอะไร ข้าล้วนช่วยเหลือได้! ข้าเป็นทายาทสายตรงของตระกูลฟางแห่งเมืองเฟิงหลิน ทั้งตระกูลฟางล้วนทำตามที่บิดาข้าสั่ง!”
“อ้อ?”
หลังจากเสียงนี้ ฟางเฮ่อหลิงถึงเห็นว่าบนก้อนหินข้างหน้ามีร่างคนคนหนึ่งนั่งหันหลังให้เขาอยู่
อีกฝ่ายหันมา ใบหน้าสวมหน้ากากกระดูกกะโหลกขาว มีแสงขาวซีดเปล่งออกมารางๆ ในถ้ำหินมืดทึมแห่งนี้ ดวงตาที่เผยให้เห็นแต่ประกายคมกริบคู่นั้นน่าสะพรึงกลัวเป็นพิเศษ
“เจ้ายังมีประโยชน์อะไรอีก” คนที่สวมหน้ากากกระดูกถามขึ้น
“ข้า ข้า ข้ามีความสัมพันธ์อันดีกับอัจฉริยะหลายคนในสำนักเต๋า จางหลินชวน! จางหลินชวนเป็นศิษย์พี่ของข้า! เขาเป็นคนจากสามตระกูลใหญ่เช่นกัน พวกเรามีมิตรภาพที่ดีต่อกัน!” ฟางเฮ่อหลิงขบคิดอย่างหนัก ค้นหาแต้มต่อให้ตัวเองอย่างรวดเร็ว
เขาเหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะของคนสวมหน้ากาก แต่ก็ไม่แน่ใจนัก
“แล้วอะไรอีก”
“ยังมีเสิ่นหนานชี! อันดับห้าบนกระดานแต้มเต๋าเมืองเฟิงหลิน เขาพาข้าไปทำภารกิจอยู่ตลอด!”
“เจ้าสนิทกับจู้เหวยหว่อหรือไม่”
“เคยพบ เคยพบ!” ฟางเฮ่อหลิงไม่โง่ เขารู้ว่าถ้าพูดเรื่องโกหกที่ถูกจับได้ง่ายๆ ตอนนี้ จะต้องเสียโอกาสรอดชีวิตสุดท้ายนี้ไปเป็นแน่
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยว่า “เพียงแค่เคยพบเท่านั้น แต่คนอย่างศิษย์พี่จู้ควบคุมไม่ได้ ข้าเชื่อฟัง ข้าให้ความร่วมมือ! ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไปซินอันแล้วด้วย!”
ชายสวมหน้ากากกระดูกไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ต่อมาก็ถามขึ้นกะทันหันว่า “เจ้าตัดสินใจในตระกูลฟางได้หรือไม่”
ฟางเฮ่อหลิงตะลึงไปอึดใจหนึ่ง ก่อนตอบกลับทันที “ได้! ได้! ได้แน่นอน! พ่อข้ามีข้าเป็นลูกชายคนเดียว!”
“ดีมาก” ชายสวมหน้ากากกล่าว
จากนั้นก็มีคนคนหนึ่งเดินเข้ามา ยัดสิ่งของสีขาวก้อนหนึ่งเข้าไปในปากของฟางเฮ่อหลิง
ฟางเฮ่อหลิงไม่กล้าลังเล กลืนลงไปทันใด
“มีธุระแล้วข้าจะติดต่อเจ้าไป” ชายสวมหน้ากากกระดูกขาวพูดพลางยืนขึ้น แล้วจึงเดินออกไปจากถ้ำภูเขา
จนกระทั่งพวกที่อยู่ข้างๆ มาตลอดเหล่านั้นหายไปจนหมด ฟางเฮ่อหลิงจึงจะแน่ใจได้ว่าเขารอดชีวิตแล้ว!
หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน เขาเดินออกจากถ้ำที่มืดทึมนี้คนเดียว ออกมาพบแสงตะวันอีกครั้ง
เขายันหัวเข่าที่อ่อนแรงเอาไว้ สูดลมหายใจลึกๆ ไปสองที
จากนั้นจึงเดินตรงไปทางเมืองเฟิงหลิน
……………………………………….
[1]ปากสุนัขพ่นงาช้างออกมาไม่ได้ ความหมายคือ คนเลวมักพูดอะไรดีๆ ออกมาไม่ได้