บทที่ 1229 ไปเอาจดหมายรัก
เยี่ยมู่ฝานมองเยี่ยหวันหวั่น จู่ๆ ก็ยิ้มแล้วบอกว่า “น้องรัก ถึงตอนเด็กฉันจะเป็นฝ่ายแกล้งแกตลอด…แต่โตมาฉันรักและทนุถนอมแกจะตาย ตอนที่แกขึ้นมอต้น แกชอบเพื่อนในห้องที่ชื่ออะไรแล้วนะ…อ้อ หลี่อ้ายหลุน แกเขียนจดหมายให้เขาแล้วฉันไปเห็นเข้า…ฉันก็ไม่ได้เอาไปฟ้องพ่อแม่ ถ้าตอนนั้นฉันฟ้องพ่อกับแม่ แกรู้ใช่มั๊ยว่าจะโดนอะไรบ้าง”
คำพูดของเยี่ยมู่ฝานก่อให้เกิดคลื่นลมแรงในใจเยี่ยหวันหวั่น ในส่วนลึกของสมองเธอ แทบไม่มีความจำพวกนี้อยู่เลย…
“แกไม่ให้ฉันบอกใคร ฉันไม่ได้บอกใครเลยนะ สาบานได้!” เยี่ยมู่ฝานกล่าวคำสาบาน
“งั้นเหรอ…” เยี่ยหวันหวั่นพยายามปกปิดอาการแตกตื่นในใจ
“ก็ใช่น่ะสิ ตอนนั้นแกเอาแต่พร่ำเพ้อถึงพี่อ้ายหลุนอย่างนั้น พี่อ้ายหลุนอย่างนี้ เรียกซะสนิทสนมยิ่งกว่าฉันที่เป็นพี่ชายแท้ๆ ของแกซะอีก…ตอนนั้นฉันยึดจดหมายรักฉบับนั้นเอาไว้ ฉันยังเก็บมันไว้ในห้องจนถึงทุกวันนี้อยู่เลย” เยี่ยมู่ฝานยิ้มล้อเลียน
“จดหมายรักอยู่ไหน” เยี่ยหวันหวั่นโพล่งขึ้น
“ก็บอกแล้วไงว่าอยู่บ้านตระกูลเยี่ย ในห้องฉัน” เยี่ยมู่ฝานเอ่ย
“โอเค” เยี่ยหวันหวั่นพยักหน้าแล้วลุกยืน “กลับบ้านกัน”
“อ้าว เดี๋ยวก่อน กลับไปทำอะไร ที่บริษัทยังมีงานต้องทำนะ” เยี่ยมู่ฝานคัดค้าน
“ไปเอาจดหมายรัก” เยี่ยหวันหวั่นไม่เปิดช่องให้เยี่ยมู่ฝาน เธอรีบดึงแขนเยี่ยมู่ฝานออกเดินทันที
ผ่านไปครู่หนึ่ง เยี่ยหวันหวั่นกับเยี่ยมู่ฝานก็ขับรถกลับมาที่บ้านตระกูลเยี่ย
ถึงเยี่ยมู่ฝานจะประหลาดใจกับท่าทีแปลกๆ ของเยี่ยหวันหวั่นในวันนี้ แต่กลับไม่ได้เอะใจอะไรเป็นเรื่องเป็นราว ผู้หญิงอ่ะเนอะ มักเป็นอย่างงี้แหละ ชอบตัวผิดปกติ…
ในห้องเยี่ยมู่ฝาน เยี่ยหวันหวั่นยืนมองเยี่ยมู่ฝานควานหาของไปทั่วห้อง แล้วถามว่า “หาเจอรึยัง…”
“รอเดี๋ยว…แปลกจัง ฉันจำได้ว่าน่าจะวางไว้ตรงนี้นี่นา…” เยี่ยมู่ฝานพึมพำ
จนสุดท้ายครึ่งชั่วโมงต่อมา เยี่ยมู่ฝานก็เจอจดหมายที่ดูเก่าเก็บอยู่ใต้เตียง
ซองจดหมายเป็นสีฟ้าล้วน ด้านหน้ามีรูปวาดของผีเสื้ออยู่สองตัว บ่งบอกถึงยุคสมัยได้ดีทีเดียว เพียงแต่ซองจดหมายเต็มไปด้วยคราบฝุ่นหนาๆ
เยี่ยมู่ฝานปัดคราบฝุ่นบนซองจดหมายออก หันมองเยี่ยหวันหวั่นแล้วโบกจดหมายไปมาตรงหน้าเธอ พูดหยอกล้อว่า “น้องรัก แกว่า…ถ้าฉันเอาสิ่งนี้ให้แฟนแกคนปัจจุบันล่ะก็…”
แต่ทว่าคำพูดที่เหลือ กลับถูกกลืนลงคอไปเพราะสายตาพิฆาตของเยี่ยหวันหวั่น
เยี่ยหวันหวั่นคว้าจดหมายที่เยี่ยมู่ฝานยื่นมาให้ แล้วรีบเปิดอ่านอย่างไม่รีรอ
เนื้อหาในจดหมาย ดูแปลกตา…และไม่มีหลงเหลืออยู่ในความทรงจำเลยแม้แต่น้อย…
และเพื่อนนักเรียนที่ชื่อหลี่อ้ายหลุนคนนั้น เยี่ยหวันหวั่นก็จำเขาไม่ได้เลยแม่แต่น้อย ถ้าหากเป็นรักข้างเดียวสมัยวัยใสจริงๆ คนทั่วไปอาจจำได้ตลอดชีวิต…แต่ว่าเธอ…
ราวกับว่าเธอไม่เคยมีความทรงจำส่วนนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว
ถ้าหากเธอไม่ใช่เยี่ยหวันหวั่นจริงๆ แต่เป็นแค่คนที่ถูกถ่ายโอนความทรงจำของเยี่ยหวันหวั่นโดยใช้การสะกดจิตขั้นสูง ทั้งหมดก็ลงล็อคพอดี
ซือเยี่ยหานไม่มีทางรู้ทุกเรื่องของเยี่ยหวันหวั่น โดยเฉพาะเรื่องจดหมายรักฉบับนี้ ที่ไม่ได้ส่งถึงผู้รับ แต่ถูกเยี่ยมู่ฝานเจอเข้าก่อน รักข้างเดียวสมัยวัยรุ่นจึงจบลงแต่เพียงเท่านี้ เรื่องนี้มีแค่เยี่ยมู่ฝานกับเยี่ยหวันหวั่นเท่านั้นที่รู้ ถึงแม้ซือเยี่ยหานจะมีความสามารถล้นฟ้าก็ไม่มีทางรู้เรื่องนี้เด็ดขาด ในเมื่อไม่รู้ ความทรงจำส่วนนี้จึงไม่ได้ถูกถ่ายโอนใส่สมองเธอ…
……
หลังจากที่อ่านจดหมายรักวัยใสที่ “อายุสั้น” ฉบับนี้จบ เยี่ยหวันหวั่นก็พยายามสงบสติอารมณ์
จดหมายฉบับนี้ เยี่ยหวันหวั่นรับประกันได้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนเขียน ทุกตัวหนังสือ หรือแม้กระทั่งเครื่องหมายเว้นวรรค ไม่ได้บ่งบอกถึงความเป็นตัวเธอเลยแม้แต่น้อย
————————————————————————————-
บทที่ 1230 กลายเป็นคนละคน
ชั่วขณะนั้น สมองของเยี่ยหวันหวั่นฉายภาพเรื่องราวในวิดิโอที่เจอในห้องหนังสือของบ้านตระกูลซืออีกครั้ง
หรือว่าเรื่องราวในวิดิโอนั่นจะเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงทดลองก็คือเธอ ความทำเดิมของเธอถูกลบทิ้ง และเธอก็ไม่ใช่เยี่ยหวันหวั่น…
เยี่ยหวันหวั่นตายในเหตุการณ์จลาจลในต่างประเทศเมื่อหลายปีก่อนแล้ว ส่วนสาเหตุที่เธอกลายเป็นเยี่ยหวันหวั่น เพราะถูกซือเยี่ยหานยัดความจำพวกนี้ใส่สมองของเธอ
แต่ถ้าหากเธอไม่ใช่เยี่ยหวันหวั่น แล้วเธอเป็นใครกันล่ะ?
ทำไมซือเยี่ยหานต้องลความจำเดิมของเธอทิ้ง แล้วเอาความจำของเยี่ยหวันหวั่นมาใส่ให้เธอ…
เมื่อก่อนเธอเป็นอะไรกับซือเยี่ยหาน…เป็นศัตรูเหรอ…หรือว่าทุกอย่างเป็นแผนร้ายของซือเยี่ยหาน ทำไมเขาต้องทำอย่างนี้กับเธอ ซือเยี่ยหานทำไปเพื่ออะไรกันแน่?!
ชั่วขณะหนึ่ง เยี่ยหวันหวั่นปวดหัวแทบระเบิด เธอไม่อยากจะเชื่อ แล้วก็ทำใจเชื่อไม่ลงด้วยว่าซือเยี่ยหานถึงขนาดลบความจำของเธอ แล้วทำให้เธอกลายเป็นคนอื่นอย่างงี้…
“หวันหวั่น?”
มาถึงตอนนี้ เยี่ยมู่ฝานเห็นเยี่ยหวันหวั่นสีหน้าผิดปกติ จึงขมวดคิ้วแล้วถามเสียงเบา
เยี่ยหวันหวั่นไม่ได้พูดอะไร เยี่ยมู่ฝานเดินเข้ามาหาเยี่ยหวันหวั่น วางมือบนไหล่ซ้ายเยี่ยหวันหวั่นเบาๆ
แต่เยี่ยมู่ฝานยังไม่ทันแตะตัวเธอ เยี่ยหวันหวั่นก็คว้ามือเขาด้วยความหวาดระแวงโดยสัญชาตญาณ
“เจ็บๆๆๆ จะหักแล้ว!” เยี่ยมู่ฝานกรีดร้อง
เยี่ยหวันหวั่นได้สติรีบปล่อยมือทันที
“น้องรัก ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย…ถ้าหากตอนนั้นไม่ได้ฉันจัดการจดหมายรักบ้าๆ นี่ของแก ตอนนี้แกจะได้แฟนหล่อๆ อย่างนี้เหรอ ไม่ขอบคุณพี่ชาย แล้วยังจะแค้นฝังใจใช้กำลังทำร้ายกันอีก…ไม่มีคุณธรรมเอาซะเลย…” เยี่ยมู่ฝานใช้มือขวานวดมือซ้าย ปากก็พล่ามไม่หยุด
เยี่ยหวันหวั่นยังไม่ทันพูดอะไร เยี่ยมู่ฝานก็พูดต่อว่า “แต่แกจะมากเกินไปแล้วนะ แกกลายเป็นคนชอบใช้ความรุนแรงอย่างงี้ตั้งแต่เมื่อไหร่…”
เยี่ยมู่ฝานจ้องเยี่ยหวันหวั่น ชอบใช้ความรุนแรงยังไม่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวคือเยี่ยหวันหวั่นมีพละกำลังมากพอที่จะเป็นคนชอบใช้ความรุนแรงนี่สิ…
“น้องรัก มันไม่เห็นจะเข้าท่าเลย แกเรียนมวยแค่ช่วงเดียวก็เก่งขนาดนี้เลยเหรอ? ยิ่งพอเมาเหล้า ฉันว่าพวกปรมาจารย์พวกนั้นยังสู้แกไม่ได้เลย” เยี่ยมู่ฝานเอ่ย
ประโยคนี้ของเยี่ยมู่ฝานกลับทำให้เยี่ยหวันหวั่นฉุกคิดอะไรได้ “เวลาฉันเมาฉันเป็นยังไง?”
เยี่ยมู่ฝานหัวเราะขึ้นจมูก “ก่อนเมา แกคือน้องสาวฉัน”
“เวลาเมาล่ะ?” เยี่ยหวันหวั่นถาม
“เวลาเมา?” เยี่ยมู่ฝานเม้มปาก “เวลาเมา แกเป็นบรรพบุรุษฉัน”
เยี่ยหวันหวั่นพูดไม่ออก
“เวลาแกเมา แค่กำปั้นก็ทำให้แผ่นเหล็กบุบได้ เห็นผู้ชายหน้าตาดีก็จะเต๊าะให้ได้ เหมือนกลายเป็นคนละคนยังไงยังงั่น” เยี่ยมู่ฝานจนใจ
“กลายเป็นคนละคนงั้นเหรอ…” เยี่ยหวันหวั่นทวนคำด้วยสีหน้าครุ่นคิด
เดิมทีเยี่ยหวันหวั่นนึกว่าตัวเองแค่มีพรสวรรค์ด้านศิลปะการต่อสู้เท่านั้น แต่ดูจากตอนนี้แล้วกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด…
เธอเคยเรียนมวยอยู่แค่ไม่นานเท่านั้น ตามหลักแล้วไม่มีทางเก่งศิลปะการต่อสู้ได้ขนาดนี้ เหมือนที่เยี่ยมู่ฝานบอก แม้แต่ปรจารย์มวยพวกนั้นก็อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอด้วยซ้ำ…