บทที่ 1363 มีนายแห่งอาชูร่าคอยคุ้มหัว
สิ้นเสียงของจี้ซิวหร่าน ผู้หญิงชุดแดงกับพนักงานไนต์คลับสองคนนั้นก็ทำหน้าสิ้นหวัง
พวกเธอสามคนไม่เคยคาดคิดว่าผู้หญิงชั้นต่ำที่พวกเธอเรียก แท้จริงแล้วกลับเป็นถึงแบดเจอร์…หัวหน้าพันธมิตรอู๋เว่ยแห่งรัฐอิสระ…
“หัวหน้า หัวหน้าไป๋…ฉันผิดไปแล้ว…ฉันไม่ได้ตั้งใจ ปล่อยฉันไปเถอะค่ะ ฉันไม่กล้าทำอีกแล้ว!”
หนึ่งในพนักงานไนต์คลับที่แต่งหน้าจัดคุกเข่าต่อหน้าเยี่ยหวันหวั่นแล้วร้องอ้อนวอนอย่างบ้าคลั่ง
ทันใดนั้น ชิวสุ่ยลุกขึ้นแล้วเหวี่ยงแข้งออกมาในแนวขวาง ปลายรองเท้าส้นสูงแหลมๆ กระแทกหน้าผากผู้หญิงคนนั้น ทำให้ร่างผู้หญิงคนนั้นกระเด็นออกไปหลายเมตร
“พวกชั้นต่ำ ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ” ชิวสุ่ยเหลือบมองผู้หญิงคนนั้นด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็กลับไปนั่งที่เดิม
“จิ๊ๆ คนน่าสงสารก็ต้องทำตัวให้น่าสงสารสิ ถึงจะเป็นคนธรรมดาก็เถอะ แต่คนอื่นเขาก็ไม่ได้ทำอะไรเธอซักหน่อย แค่เพราะสูงกว่าเธอ หน้าอกใหญ่กว่าเธอ แล้วก็สวยกว่าเธอ เธอก็อยากให้คนอื่นเขาตายแล้วเหรอ? เป็นผู้หญิงชั้นต่ำจริงๆ” เป่ยโต่วมองพวกผู้หญิงชุดแดง แล้วพูดอย่างเหยียดหยัน
“ไปเถอะ”
จี้ซิวหร่านอมยิ้มมุมปาก แล้วโบกมือเบาๆ
คูกู่พยักหน้า แล้วสั่งให้คนล็อคตัวเยี่ยนสยงกับผู้หญิงสามคนที่สภาพเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้วออกจากห้องไป
“ละ…ลุงสี่…ลุงสี่ช่วยผมด้วย…นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด…ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ…” เยี่ยนสยงตั้งสติได้ก็อดหันไปขอร้องลุงสี่จากตระกูลเยี่ยนไม่ได้
“หุบปาก!” ลุงสี่จากตระกูลเยี่ยนถมึงตาจ้องเยี่ยนสยง “แกมันโง่เง่าไม่ได้เรื่อง…แกรนหาที่ตายเอง ไม่มีใครช่วยแกได้ อย่ามาทำให้ฉันเดือดร้อนไปด้วย!”
“ไม่นะ…ลุงสี่…ตระกูลเยี่ยนของเรา ตระกูลเยี่ยนของเรามีนายแห่งอาชูร่าคุ้มหัวอยู่ไม่ใช่เหรอ…แต่ละเดือนยังส่งส่วยให้เขาอีกด้วย…นายแห่งอาชูร่าก็อยู่ไม่ใช่เหรอ…ลุงสี่ เร็ว…เร็วเข้า บอกให้นายแห่งอาชูร่าช่วยออกหน้า…เร็วเข้าสิ!” เยี่ยนสยงละล่ำละลัก
แต่ลุงสี่จากตระกูลเยี่ยนกลับยิ้มหยัน นายแห่งอาชูร่าเป็นคนยังไง มีเหรอจะมายุ่งเรื่องไร้สาระพวกนี้…
ยิ่งไปกว่านั้น ส่วยที่ตระกูลเยี่ยนส่งให้อาชูร่าทุกเดือนก็เป็นกฎ เพราะสาขาใหญ่ของตระกูลเยี่ยนตั้งอยู่ในถิ่นของอาชูร่า หากจ่ายส่วย ไม่ได้แปลว่าอาชูร่าจะคอยคุ้มหัวพวกเขา เพราะนั่นไม่ถือเป็นการจ่ายค่าคุ้มครอง…
ยิ่งกว่านั้น ถึงอาชูร่าจะคุ้มครองใคร ก็ต้องเป็นผู้นำตระกูลเยี่ยน ไม่เกี่ยวอะไรกับคนตัวเล็กๆ อย่างพวกเขา…
ไม่นาน เสียงร้องขอความช่วยเหลือของเยี่ยนสยงก็ห่างออกไปเรื่อยๆ กระทั่งเงียบไปในที่สุด
ในห้อง จี้ซิวหร่านมองลุงสี่จากตระกูลเยี่ยน แล้วคลี่ยิ้มตามมารยาท กล่าวว่า “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ก็เชิญกลับไปเถอะ”
“ครับๆๆ…จี้หวง…หัวหน้าไป๋ วันนี้พวกเราเป็นฝ่ายผิด วันหน้า…จะหาโอกาสต้องขอโทษอย่างเป็นทางการแน่นอน…วันนี้ผมขอตัวก่อน” ลุงสี่จากตระกูลเยี่ยนปาดเหงื่อบนหน้าผาก จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไป
“ตาเฒ่า พูดจาน่าฟังเชียว” เป่ยโต่วยิ้มเยาะ “ลุงสี่จากตระกูลเยี่ยนคนนี้ เป็นนักการทูตประจำตระกูลเยี่ยน หน้าซื่อใจคดมาก ก่อนหัวหน้าจะกลับมา เขายังเคยหมายหัวพันธมิตรอู๋เว่ยของเราอยู่เลย…”
“เสียบรรยากาศหมด” ชิวสุ่ยแค่นเสียง “เสี่ยวเฟิ่ง พวกเรากลับกันเถอะ”
“อืม” เยี่ยหวันหวั่นพยักหน้า เธอไม่ชอบสถานที่อย่างนี้เป็นทุนเดิม ยิ่งกลับเร็วก็ยิ่งดีกับเธออยู่แล้ว
ไม่นาน ทุกคนก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป
แต่ในตอนที่พวกเขาเพิ่งเดินออกจากห้อง ชายชุดดำกลุ่มหนึ่งเดินลงจากชั้นบน เหมือนกำลังคุ้มกันคนใหญ่คนโตออกจากที่นี่
“ใครกันโอเวอร์ขนาดนี้” เป่ยโต่วยืนพิงประตูห้อง แล้วชะเง้อมองไปด้วยความสงสัย
เยี่ยหวันหวั่นมองตามสายตาของเป่ยโต่ว หันมองไปทางใจกลางกลุ่มวงล้อมของชายชุดดำ แต่พอหันไปมอง เยี่ยหวันหวั่นกลับชะงักงันไป
————————————————————————————-
บทที่ 1364 ถ้าเป็นซือเยี่ยหานจริง
ชายที่กำลังเดินอยู่กลางวงล้อม แม้จะเห็นแค่แผ่นหลัง แต่แผ่นหลังนั้น…กลับคุ้นเคยเหลือเกิน…
ชั่วพริบตา ภาพของซือเยี่ยหานผุดขึ้นมาในสมองของเยี่ยหวันหวั่น
ถึงจะไม่มีทางยืนยันได้ แต่แผ่นหลังนั่นเหมือนมากจริงๆ…
เพียงแต่ ถ้าหากเป็นซือเยี่ยหานจริง เขาจะมาหาความสำราญใจจากสถานที่อย่างนี้ได้ยังไง…
เยี่ยหวันหวั่นไม่นึกเลย เมื่อกี้เธอยังสมมติว่าถ้าหากซือเยี่ยหานมาที่แบบนี้เธอจะรู้สึกยังไง แต่ปรากฏว่าพอเดินออกจากห้องมาก็เห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยของเขาจริงๆ
“ซือเยี่ยหาน!”
แทบจะโดยสัญชาตญาณ เยี่ยหวันหวั่นตะโกนเรียกเจ้าของแผ่นหลังนั้น
……
ท่ามกลางวงล้อม ชายหนุ่มเดินขึ้นรถเบนซ์สีดำคันหนึ่ง แต่เพิ่งจะปิดประตู กลับได้ยินเสียงของคนที่เขาเป็นห่วงมาหลายวัน…แถมเสียงนั้นก็เหมือนกำลังเรียกชื่อเขาอยู่ด้วย
“พี่เก้า เป็นอะไรไป?” หลินเชวียนั่งข้างชายหนุ่ม เห็นสีหน้าเขาผิดปกติจึงถาม
“เปล่า” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเย็นชา
“พี่เก้า เป็นอะไรแน่?” หลินเชวียเห็นชายหนุ่มเหมือนมีเรื่องในใจ จึงถามอย่างไม่ยอมแพ้
ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวว่า “นายได้ยินไหม”
“ได้ยิน?” หลินเชวียนชะงักไปเล็กน้อย “ได้ยินอะไร…ไม่ได้ยินอะไรเลยนะ…”
“เสียงของหวันหวั่น…” ชายหนุ่มกล่าว
“หา? เยี่ยหวันหวั่น?” หลินเชวียขำพรืด “พี่เก้า นี่พี่คิดถึงเธอจนป่วยแล้วมั้ง…จะเป็นเยี่ยหวันหวั่นได้ยังไง…ที่นี่รัฐอิสระนะ เยี่ยหวันหวั่นอยู่ประเทศจีนโน่น ไม่ได้อยู่ห่างกันแค่พันไมล์ด้วยซ้ำ พี่เก้าคิดมากไปแล้ว”
“อาจใช่” ชายหนุ่มมองไปทางไนต์คลับผ่านหน้าต่างรถ
แต่ทว่าหน้าไนต์คลับ กลับไม่มีเงาร่างที่เขาคุ้นเคยยืนอยู่
“ออกรถ” หลินเชวียกล่าว
สิ้นเสียงของหลินเชวียน ขบวนรถก็เคลื่อนตัวออกไป
“พี่เก้า พวกเรากลับมาครั้งนี้…ได้ตัดขาดกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ประเทศจีนแล้ว…พี่เป็นคนพูดเองนะ พี่ทิ้งทุกอย่างได้จริงๆ เหรอ?” หลินเชวียมองชายหนุ่ม
เพียงแต่ชายหนุ่มกลับเงียบงัน ไม่พูดอะไรซักคำ
“พี่เก้า…ผมรู้ว่าที่พี่ทำอย่างนี้เพราะไม่มีทางเลือก เพื่อปกป้องเธอ พี่พาเธอกลับประเทศจีน ถึงขั้นลบความจำเธอด้วยซ้ำ…มาถึงตอนนี้ก็ยังต้องตัดใจจากเธอมา…แต่แบบนี้ก็ดีแล้ว มีเพียงต้องอยู่ประเทศจีน เธอถึงจะปลอดภัย เริ่มต้นชีวิตใหม่ และลืมรัฐอิสระที่ทำให้เธอกลัวไปตลอดกาล” หลินเชวียถอนหายใจ
ผ่านไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาลึกล้ำของชายหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ท้องฟ้ายามราตรีมืดมิด ละอองฝนเม็ดเล็กๆ ค่อยๆ โปรยปรายลงสู่พื้น
……
ข้างในไนต์คลับ เป่ยโต่วจ้องเยี่ยหวันหวั่นที่จู่ๆ ก็มีท่าทางเหมือนตะลึงพรึงเพริด แล้วขมวดคิ้วถามว่า “พี่เฟิ่ง เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”
เยี่ยหวันหวั่นรีบเก็บงำสีหน้า บอกว่า “เปล่า”
เธอคงอยากจะตามหาเขาจนเป็นบ้าไปแล้ว ถึงขนาดเห็นแผ่นหลังใครก็ไม่รู้เป็นซือเยี่ยหาน…
“ล้อเล่นรึเปล่า ผมรู้จักพี่ดีที่สุดแล้ว พี่ต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ…ใช่สิ เมื่อกี้พี่เรียกใครข้างนอกนั่นว่าซือ…ซืออะไรแล้วนะ อ๋อ ซือเยี่ยหาน มันเรื่องอะไรกัน…ซือเยี่ยหานเป็นใคร…คงไม่ใช่แฟนหนุ่มที่หาได้ตอนหายตัวออกไปอยู่ข้างนอกหลายปีที่ผ่านมานี้หรอกนะ…” เป่ยโต่วมองเยี่ยหวันหวั่นอย่างแปลกใจ
“ซือเยี่ยหาน…”
ด้านหนึ่ง จี้ซิวหร่านพึมพำชื่อนี้เบาๆ แววตาไหวระริกเล็กน้อย
“ก็บอกแล้วว่าไม่มีอะไร นายตาบอดรึไง” เยี่ยหวันหวั่นเหลือบมองเป่ยโต่วด้วยหางตา
“เกี่ยวอะไรกับตาบอด ต้องบอกว่าหูหนวกไม่ใช่เหรอ?” เป่ยโต่วทำหน้างง