บทที่ 2065 มิใช่ว่าเจ้าอยากมอบให้ข้าหรอกหรือ?
เธอคุ้นเคยกับขวดยาใบนั้นของตนจนไม่อาจคุ้นเคยไปมากกว่านี้ได้แล้ว เมื่อครู่นี้ทันทีที่เข้าสู่มือเธอก็สัมผัสได้ว่าไม่ถูกต้อง รู้ว่าไอ้เด็กตูดหมึกนี่หลอกเธออีกแล้ว…
ไอ้เด็กตูดหมึกคนนี้ช่างแสบเหลือเกิน! เอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น!
หากว่าเป็นคนอื่นที่ทำเช่นนี้ คงถูกกู้ซีจิ่วซัดกระเด็นไปถึงชมพูทวีปแล้ว
แต่อีกฝ่ายคือเขา เธอจึงคร้านจะลงมือ
เธอในตอนนี้ทำอะไรเขาไม่ได้เลย…
เธอเจ็บปวดอย่างรุนแรง แต่ยาที่สมควรกินก็กินไปหมดแล้ว ไม่สามารถกินได้อีก ถ้ากินอีกจะเกิดผลข้างเคียงเอาได้! ดังนั้นเธอจึงหลับตานั่งสมาธิเสียเลย
ตี้ฝูอีไม่กล้ายุแหย่นางอีกแล้ว นั่งมองดูนางอยู่ตรงข้ามนาง
เขารู้สึกอยู่เสมอว่าสถานการณ์ค่อนข้างคุ้นตา ทว่านึกไม่ออกว่าเคยประสบพบพานในยามไหน เขาจึงค่อนข้างใจลอยไปชั่วขณะ
เมื่อกู้ซีจิ่วโคจรพลังวิญญาณภายในร่างไปรอบหนึ่งแล้ว ในที่สุดก็สะกดความเจ็บปวดนั้นลงไปได้
เธอยื่นมือไปหาเขา
“เอามา!”
โอสถล้ำค่าของเธอยังอยู่ที่เขา ในเมื่อเขาไม่เห็นค่า เธอย่อมไม่อยากมอบให้เขา มิเช่นนั้นไม่รู้ว่าจะถูกเขาปาลงถังขยะที่ไหนอีก
ตี้ฝูอีมองมือน้อยๆ ที่ยื่นมาเบื้องหน้าตน ข่มกลั้นความปรารถนาที่ต้องการจะจับเอาไว้
“อะไร?”
สติของเขายังไม่กลับมา
“คืนยาของข้ามาให้ข้า!”
“มิใช่ว่าเจ้าอยากมอบให้ข้าหรอกหรือ?”
“ในเมื่อเจ้าไม่อยากกินของร่วมกับผู้ใด ก็ไม่ต้องเอาแล้ว!”
แววตาตี้ฝูอีวูบไหวเล็กน้อย วางขวดยานั้นลงบนฝ่ามือนาง กระแอมเบาๆ คราหนึ่ง
“หากเจ้าอยากมอบให้ข้าจริงๆ ก็หลอมใหม่อีกชุดสิ”
กู้ซีจิ่วเก็บขวดยานั้นไว้อย่างดี เอ่ยอย่างเยือกเย็น
“เจ้าตัดใจซะเถอะ วัตถุดิบของโอสถนี้หายากนัก เหนือฟ้าใต้พสุธามีเพียงชุดนี้ชุดเดียว!”
หลายปีมานี้เธอเข้าสู่แดนเพลิงพุทธะแห่งนั้นไม่รู้สักกี่ครั้งแล้ว คิดจะตามหาเห็ดมรรคาม่วงเหล่านั้นอีก ล้วนคว้าน้ำเหลวทั้งสิ้น
ต่อมาหยกนภาบอกกับเธอว่า เห็นมรรคาม่วงนี้หายากเหลือคณา ผ่านไปกี่หมื่นปีก็ยังไม่แน่ว่าจะปรากฏขึ้นมาสักครั้ง เธอไม่จำเป็นต้องทำเรื่องไร้ประโยชน์เช่นนี้ เธอถึงได้ละทิ้งความคิดที่ว่าอยากหลอมออกมาอีกสักชุด
เธอหลับตาลงปรับลมหายใจอีกครั้ง ครั้งนี้จวบจนถึงตำหนักนภาลัยเธอก็ไม่ลืมตาขึ้นเลย แน่นอนว่าไม่ได้สนทนากับตี้ฝูอีเลยสักประโยคด้วย
….
ความจริงแล้วกู้ซีจิ่วไม่เคยเห็นแดนพ้นโศกแห่งนี้เป็นบ้านของตนเลย ดังนั้นยามที่อยู่ที่นี่จึงรอนแรมไปทั่ว ทุกที่ล้วนเป็นบ้าน
เดิมทีรู้สึกว่าเช่นนี้ก็ดียิ่งนักแล้ว คิดจะไปไหนก็ไปได้ทันที ฟ้าคือมุ้งดินคือเตียง หิวก็ไปภัตตาคารง่วงก็ไปโรงเตี๊ยม มีอิสระเสรี ราชาสวรรค์ก็ไม่อาจบงการได้
แต่ตอนนี้เธอเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตนควรมีบ้านที่ดินแดนนี้สักหลัง มิเช่นนั้นยามที่ได้รับบาดเจ็บแล้วต้องพักฟื้นก็ต้องไปรบกวนผู้อื่น
อย่างเช่นหลายวันก่อนเธอรักษาตัวอยู่ที่จวนของหลงซือเย่ แต่ไม่กี่วันมานี้กลับมารักษาตัวอยู่ที่ตำหนักนภาลัยอีกแล้ว
เธอคิดเห็นเป็นการส่วนตัวว่า การอาศัยชายคาผู้อื่นอยู่เสมอไม่ดีเลย!
ยามที่รักษาตัวอยู่ในจวนของหลงซือเย่ สายตาที่พวกสาวใช้ในจวนของเขาเหล่านั้นมองเธอค่อนข้างมีเลศนัยอยู่เสมอ เสมือนเธอเป็นชู้กับท่านแม่ทัพของพวกนาง มีความสัมพันธ์คลุมเครืออันใดอยู่
ยามที่เธออยู่ในจวนของเขาก็ได้ยินคำนินทาอยู่บ้างประโยคสองประโยค แน่นอนว่าคำนินทาเหล่านั้นไม่มีเจตนาร้ายอันใด เป็นเพียงการคาดเดาซุบซิบส่วนหนึ่งเท่านั้น
อย่างเช่นกล่าวกันว่าแม่ทัพหลงของพวกนางมีสหายมากมาย ในบรรดานั้นมีเซียนหญิงอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง มีความสัมพันธ์อันดีกับเขา แต่เขาไม่เคยให้เซียนหญิงเหล่านั้นค้างคืนเลย ต่อให้เดินทางไกลเพื่อมาพบเขาก็ไม่ได้ค้าง
ทักษะการแพทย์ในปัจจุบันของหลงซือเย่ก็เป็นที่เลื่องลือในแดนพ้นโศกเช่นกัน บรรดาเทพเซียนในแดนเซียนเหล่านั้นหากว่าได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ ถ้ามาขอร้องต่อหน้าเขา เขาก็จะรักษาให้ แต่ไม่เคยให้ผู้ใดรั้งอยู่รักษาที่จวนเลย บาดเจ็บสาหัสปานใดก็ได้แต่พำนักอยู่ด้านนอก
แต่แม่นางกู้ผู้นี้กลับเข้ามาอาศัยอยู่อย่างสง่าผ่าเผย
————————————————————————————-
บทที่ 2066 มีคู่เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ที่อายุห่างกันมากขนาดนี้ด้วยเหรอ?
แต่แม่นางกู้ผู้นี้กลับเข้ามาอาศัยอยู่อย่างสง่าผ่าเผย ซ้ำยังพำนักอยู่ในเรือนกระเรียนเซียนที่ท่านแม่ทัพชอบที่สุดอีกด้วย ทุกวันเมื่อแม่ทัพหลงกลับมาเรื่องแรกที่ถามถึงก็คือนาง และอยู่เป็นเพื่อนนางเสมอ…
และไม่แปลกเลยที่ในวงสนทนาของสาวใช้เหล่านั้น จะคิดว่าเธอเป็นนางในดวงใจของหลงซือเย่ ถึงขั้นมีบางคนคาดเดาไปว่าเธอกับหลงซือเย่ใกล้จะมีเรื่องมงคลแล้ว…
ตอนนี้เธอถูกบังคับให้มาพำนักอยู่ในตำหนักนภาลัยของตี้ฝูอี เดิมทีภายในตำหนักนภาลัยไม่มีสาวใช้มาก่อน มีเพียงสัตว์วิเศษแปดตัว คอยดูแลจัดการทุกอย่างในตำหนัก
แต่หลังจากเธอเข้ามาพัก ไป๋เจ๋อคงเกรงว่าเธอจะไม่สะดวก จึงรับตัวเซียนบุปผาสี่นางมาเป็นสาวใช้ของเธอโดยเฉพาะ คอยปรนนิบัติกิจวัตรประจำวันให้เธอ
เซียนบุปผาน้อยทั้งสี่นางรู้ความและสดใสมีชีวิตชีวายิ่งนัก ปรนนิบัติรับใช้เธออย่างใส่ใจยิ่ง เพียงแต่บางครั้งก็มีคุยซุบซิบบ้างเช่นกัน
หัวข้อซุบซิบก็ไม่ต่างไปจากหัวข้อซุบซิบในจวนหลงซือเย่สักเท่าไหร่ เพียงแต่ตัวละครชายเปลี่ยนเป็นตี้ฝูอีแทน…
ยังมีสัตว์วิเศษอีกแปดตัวด้วย นอกจากไป๋เจ๋อแล้ว อีกเจ็ดตัวที่เหลือต่างสนใจใคร่รู้ในตัวเธอนัก มักจะหาข้ออ้างอย่างนี้อย่างนั้นมาร่อนอยู่ตรงหน้าเธอบ่อยๆ ชมเชยนายน้อยของพวกมันว่าฉลาดเฉลียวและทรงปัญญามากมายปานใดอย่างตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้าง…
ชัดเจนยิ่งนัก พวกมันต้องการจะจับคู่ให้เธอกับตี้ฝูอี…
เรื่องนี้ทำให้กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกอยู่บ้าง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ไป๋เจ๋อเคยพูดเรื่องนี้ขึ้นมาต่อหน้าเธออย่างคล้ายว่าเจตนาและมิเจตนา กู้ซีจิ่วจึงเอ่ยถามมันไปตรงๆ ว่า
“แม่ทัพไป๋ ท่านน่าจะรู้ว่าอายุของข้าและเขาห่างกันมากนัก เทพเซียนที่ด้านนอกเหล่านั้นล้วนเรียกข้าว่า ‘นางมารเฒ่า’ บอกว่าข้าเป็นโคแก่เคี้ยวหญ้าอ่อน ท่านไม่ใส่ใจเรื่องนี้เลยหรือ?”
ไป๋เจ๋อพ่นลมออกจมูก มองพิจารณาเธอขึ้นๆ ลงๆ อยู่ไม่กี่ครา
“แม่นางกู้ นับเต็มที่แล้วอายุท่านก็เพิ่งสองร้อยกว่าปีนะ อายุเท่านี้ในแดนพ้นโศกยังเป็นแม่นางน้อยวัยยี่สิบแปดอยู่เลย แก่ที่ไหนกัน?! ส่วนช่องว่างระหว่างวัยของท่านกับนายน้อยของพวกเรา ก็ไม่นับว่ามากมาย ในตอนนั้นมหาเทพอายุมากกว่าจอมมารตั้งหลายหมื่นปีเชียวนะ! มิใช่ว่ายังคงเป็นคู่รักที่รักกันหวานชื่นหรอกหรือ? สุขสันต์กันยิ่งนัก ไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยเพียงใดที่อิจฉาตาร้อน…”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย…
ไป๋เจ๋อมองเธออย่างจริงจังอีกครั้ง
“แม่นางกู้ ท่านกับนายน้อยของพวกเราอยู่ด้วยกันแล้วก็คือเหมยเขียวม้าไม้ไผ่นั่นแหละ กลมเกลียวไร้กังขา เป็นคู่สวรรค์สรรสร้าง”
กู้ซีจิ่วยังคงเงียบงัน
เธอยอมแล้วจริงๆ! มีคู่เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ที่อายุห่างกันมากขนาดนี้ด้วยเหรอ?
แปดสัตว์วิเศษของตำหนักนภาลัยแห่งนี้ช่างแปลกประหลาดเหมือนเจ้านายของพวกมันโดยแท้! ตรรกะความคิดแตกต่างจากโลกภายนอก เปิดกว้างยิ่งนัก นำกระแสยิ่งนัก
กู้ซีจิ่วปลาบปลื้มแทนตี้ฝูอียิ่ง มีข้ารับใช้เช่นนี้ ชั่วชีวิตนี้ย่อมไร้โศก
เพียงแต่เธออาศัยอยู่ที่นี่แล้วมีแรงกดดันมากเหลือเกิน!
ตอนนี้เธอไม่คิดจะครองคู่กับฝ่าบาทน้อยผู้นี้ เธอแค่อยากทำภารกิจของตนให้เสร็จสิ้นเท่านั้น…
บัดซบ เธออยากมีบ้านเป็นของตัวเองเหลือเกิน!
หลังจากอาการบาดเจ็บครั้งนี้หายดีแล้ว จะต้องออกไปเสาะหาสถานที่ทำเลงามสร้างเรือนสักหลัง จะได้ไม่ต้องฟังถ้อยคำนินทาพวกนี้อีก
….
ทัศนียภาพในตำหนักนภาลัยงดงามเหนือธรรมดา
ระเบียงทางเดินคดเคี้ยว ศาลาพลับพลางาม เมฆหมอกลอยล่องเรี่ยปลายเท้า สายธารไหลรินกระเซ็นต้องกรวดกลมเกลี้ยงเสียงติงตัง
ภายในตำหนักมีทะเลสาบขนาดใหญ่ บนผิวทะเลสาบคล้ายจะมีไอเมฆาเจ็ดสีจางๆ แผ่คลุมอยู่ชั้นหนึ่ง ดั่งภาพฝันมายา
เมื่อก่อนถึงแม้กู้ซีจิ่วจะเคยมาเยือนตำหนักนภาลัยแห่งนี้อยู่สองสามครั้ง แต่ก็เป็นการไปมาอย่างเร่งรีบทั้งสิ้น ไม่มีเวลามาชื่นชมมากนัก แต่ครั้งนี้ได้เข้ามาพำนักแล้ว
จึงสามารถชมดูที่นี่ดีๆ ได้
ไป๋เจ๋อต้อนรับขับสู้ยิ่ง ให้เธอเดินเล่นได้ตามอัธยาศัย ไม่ต้องเกรงใจ ซ้ำยังบอกให้เธอถือเสียว่าที่นี่คือบ้าน
แต่กู้ซีจิ่วไม่ได้เดินเตร่ไปไหนมากนัก ไม่กี่วันมานี้ส่วนใหญ่เธอจะนั่งสมาธิฟื้นฟูอยู่ในพลับพลาที่ไป๋เจ๋อจัดให้เธอ