บทที่ 2160 นี่เป็นธรรมเนียมของดินแดนเบื้องบนหรือ?
ตี้ฝูอีปัดอุ้งมือของนางออกไป น้ำเสียงเฉยเมย
“ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะว่ายังไง”
ชุนเฉาชะงักไป
ตี้ฝูอีปัดเสื้อคลุมเบาๆ มองนางอีกแวบหนึ่ง
“เด็กสาวไม่ควรชิดเชื้อกับบุรุษของสหายสนิท!”
ชุนเฉามีสีหน้างุนงง นี่เป็นธรรมเนียมของดินแดนเบื้องบนหรือ?
นางพยักหน้ารับตามสัญชาตญาณ
“เอ่อ ได้สิ”
ตี้ฝูอีไม่พูดอะไรอีก เพียงมองนางอย่างเฉยชา ราวกับจะพูดว่า ทำไมยังไม่ไปอีก?
ชุนเฉาถูกเขามองจนหนังหัวตึงไปหมดแล้ว ลูบจมูกเล็กน้อย หันหลังแล้วรีบวิ่งไปทันที ไปหากู้ซีจิ่วเสียเลย
คุณชายคนนี้สิ่งใดล้วนดีหมด อย่างเดียวที่ไม่ดีคือไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์ ชัดเจนว่าไม่เห็นพวกเขาเป็นคนกันเอง ไม่รู้ว่าต่อไปพี่สือโทวอยู่กับเขาแล้วเสียเปรียบหรือไม่…
คนอื่นๆ ที่อยากจะเข้าไปสนทนาปราศรัยกับตี้ฝูอี พอเห็นชุนเฉาถูจมูกจากมาอย่างเก้อๆ ก็ไม่กล้าเข้าใกล้แล้ว
ตี้ฝูอีหลับตาลงอีกครั้ง ปรับลมหายใจอยู่เงียบๆ
ภายใต้การปรับลมหายใจครั้งนี้ หัวใจหนักอึ้งเล็กน้อย
หนึ่งวันมานี้เขาสิ้นเปลืองพลังวิญญาณไปมหาศาล เดิมทีขอเพียงปรับลมหายใจครู่หนึ่งก็สัมผัสถึงการไหลเวียนที่เพิ่มขึ้นของพลังวิญญาณในร่างได้แล้ว แต่ตอนนี้พลังวิญญาณในร่างเสมือนใช้ไปส่วนหนึ่งก็ลดน้อยลงไปส่วนหนึ่ง ไม่ฟื้นฟูคืนมาอีกเลย…
ตอนนี้พลังวิญญาณในร่างน้อยนิดเสียจนน่าเวทนา และไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นฟูกลับมาเลย เมื่อครู่เขาคิดจะเปิดช่องมิติหยิบกล่องโจ๊กเปล่ากับเครื่องเคียงออกมา แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะเปิดแง้มช่องมิตินั้นได้เพียงเล็กน้อย…
เขาไม่สามารถหยิบกล่องที่อยู่ด้านในสุดออกมาได้ ทำได้เพียงหยิบถุงผลไม้ที่อยู่ด้านนอกสุดของมิติเก็บของออกมา…
แน่นอน หากว่าเขาโคจรพลังวิญญาณฝืนเปิดมิติเก็บของ ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่เขาไม่อยากให้พลังวิญญาณที่เหลืออยู่ในร่างเพียงน้อยนิดนี้สูญสิ้นไปกับเรื่องนี้…
ตอนนี้เป็นช่วงพลบค่ำแล้ว บนไหล่เขาสายลมกระจ่างจันทราสดใส ในอากาศคล้ายจะอบอวลด้วยกลิ่นพืชไม้ใบหญ้า เป็นคนละเรื่องกับสภาพอากาศภายในหุบเขาที่มีหมอกควันอวลอยู่ตลอดเวลา แต่มีจุดหนึ่งที่เหมือนกันคือ ในอากาศไม่มีการคงอยู่ของพลังวิญญาณ!
ตี้ฝูอีเคยไปเยือนยมโลกที่ร่ำลือกันว่ามีสภาพแวดล้อมเลวร้ายที่สุดแล้ว ที่นั่นขึ้นชื่อลือชาเรื่องขาดแคลนพลังวิญญาณ แต่ตอนที่เขาฝึกฝนอยู่ที่นั่น ใช้เคล็ดบำเพ็ญพิเศษก็ยังพอรีดเร้นพลังวิญญาณมาได้เรื่อยๆ ฟื้นฟูร่างกายได้…
แต่ที่นี่ เขาสัมผัสถึงพลังวิญญาณไม่ได้เลยสักนิด…
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว พืชพรรณล้วนมีจิตวิญญาณ มีจิตวิญญาณก็จะมีไอวิญญาณ นี่เป็นเรื่องที่เทพเซียนหน้าไหนก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
ภายในหุบเขามีสภาพแวดล้อมเช่นนี้ แล้วเหตุใดด้านนอกหุบเขาถึงเป็นเช่นนี้ด้วย?
หรือว่าโลกนี้รูปแบบเฉพาะในการดูดซับพลังวิญญาณ ปัญหาอยู่ที่วิธีเข้าฌานของเขาหรือ?
เขามองไปที่หัวหน้าเผ่า ไม่น่าเชื่อว่าหัวหน้าเผ่าก็นั่งหลับตาปรับลมหายใจอยู่บนโขดหินก้อนหนึ่งเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าท่วงท่าการปรับลมหายใจของเขาแตกต่างกับตี้ฝูอี นิ้วหนึ่งชี้ขึ้นฟ้า นิ้วหนึ่งชี้ลงดิน ไม่ได้นั่งขัดสมาธิ แต่เป็นการใช้สองเท้าประกบกันไว้…
หลังจากหัวหน้าเผ่าปรับลมหายใจอยู่ครู่หนึ่งนิ้วมือก็สั่นระริกเล็กน้อย ท้ายที่สุดก็ลืมตาขึ้น พอลืมตาขึ้นก็สะดุ้งโหยง คุณชายฝูอีผู้นั้นกำลังนั่งมองเขาอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่งซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเขา…
“คุณชายตี้”
หัวหน้าเผ่าคิดจะลุกขึ้นตามสัญชาตญาณ
“ดูดซับไอวิญญาณได้ไหม?”
ตี้ฝูอีไม่อ้อมค้อม ถามเข้าประเด็นเลย
ร่างหัวหน้าเผ่าแข็งทื่อไปเล็กน้อย ส่ายหน้าช้าๆ
“ที่นี่ไม่มีพลังวิญญาณเลย…”
สีหน้าเขาค่อนข้างเคร่งขรึม
“ค่อนข้างผิดปกติ…”
“เมื่อก่อนด้านนอกมีไอวิญญาณหรือ?”
“ขอรับ ในปีนั้นผู้เฒ่าก็เคยหยุดพักบนไหล่เขาแห่งนี้ ยามนั้นมีพลังวิญญาณมากมาย กลับนึกไม่ถึงเลยว่ายามนี้…หรือว่าที่นี่อยู่ใกล้กับพื้นที่ต้องห้ามเกินไป ดังนั้นไอวิญญาณในละแวกนี้จึงถูกหมอกแดงดูดกลืนเข้าไปหมดแล้ว?”
หัวหน้าเผ่าพยายามคาดเดา
————————————————————————————-
บทที่ 2161 ยอมคุยกับข้าแล้วหรือ?
“ในปีนั้นก่อนที่คณะของเจ้าจะถูกคุมขังไว้ในหุบเขามีฐานะเช่นใด?”
จู่ๆ ตี้ฝูอีก็ซักถาม
หัวหน้าเผ่าผงะไปครู่หนึ่ง ราวกับนึกไม่ถึงว่าเขาจะถามคำถามเช่นนี้
“หา?”
ตี้ฝูอีมองเขาเงียบๆ ไม่พูดอะไร
หัวหน้าเผ่าถูกเขามองจนหนังหัวชาหนึบแล้ว ยิ้มขื่นๆ แล้วทอดถอนใจ
“เหตุใดคุณชายตี้ถึงถามเช่นนี้?”
“ข้าต้องการทราบความจริงทั้งหมด”
ถึงอย่างไรเขาก็เข้าใจโลกใบนี้น้อยเกินไป ดังนั้นจำเป็นต้องหาความรู้เพิ่มเติมสักหน่อย
หัวหน้าเผ่าคนนี้คือคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ในบรรดาคนที่ถูกกักขังเอาไว้ในปีนั้น ถึงแม้เขาจะดูไม่ต่างไปจากคนอื่นๆ แต่ด้วยสายตาอันเฉียบคมของตี้ฝูอี ยังคงมองออกว่าเขาแตกต่างจากคนอื่นๆ
ยกตัวอย่างเช่นคนอื่นๆ ของที่นี่เนื่องจากร่ำเรียนมาน้อยหรือไม่ก็ไม่เคยร่ำเรียนเลย กริยาวาจาล้วนเรียบง่ายตรงไปตรงมายิ่ง กล่าวได้ว่าค่อนข้างหยาบกระด้างเลยด้วยซ้ำ
แต่คำพูดคำจาของหัวหน้าเผ่าคนนี้กลับสุภาพอยู่บ้าง กริยาท่าทางก็แฝงบุคลิกของลูกหลานตระกูลผู้ลากมากดีอย่างหนึ่งอยู่รางๆ เห็นได้ชัดว่าเคยได้รับการสั่งสอนอบรมมาอย่างดี…
เห็นได้ชัดว่าคำถามของตี้ฝูอีฉุดดึงความทรงจำของหัวหน้าเผ่าขึ้นมา เขาถอนหายใจเบาๆ
“อันที่จริง ฐานะของผู้เฒ่าก็ไม่อะไรที่ต้องซ่อนเร้น ในอดีตผู้เฒ่าเคยเป็นบุตรชายของเจ้าเมืองแห่งเมืองลั่วฮวา ปีนั้นมาล่าสัตว์ที่นี่กับสหายสนิทไม่กี่คนและได้พาข้ารับใช้ในจวนส่วนหนึ่งมาด้วย นึกไม่ถึงเลยว่า…”
นึกไม่ถึงเลยว่าจะถูกขังไว้ที่นี่ ถูกบังคับให้ตั้งรกรากอยู่ที่นี่
โชคดีที่ปีนั้นตอนที่พวกเขามาล่าสัตว์ได้พาแม่บ้านและสาวใช้มาด้วยไม่น้อยเลย หลังจากถูกขังไว้ พวกเขาหลายคนก็แต่งงานสร้างครอบครัวกับเหล่าสาวใช้ ค่อยๆ พัฒนาจนกลายเป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่ง…
เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่อัตคัดขัดสนเกินไป ประกอบกับสาวใช้ที่พามาล้วนมีระดับการศึกษาที่ไม่สูงนัก มีมากมายหลากหลาย ส่วนใหญ่ล้วนไม่รู้หนังสือเลย ดังนั้นต่อให้ผู้คนที่นี่กำเนิดทายาทรุ่นหลังแล้วก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะสั่งสอนให้ลูกหลานอ่านเขียนได้ รับผิดชอบได้เพียงฝึกฝนหมัดมวยสอนให้ล่าสัตว์ ดำเนินมากว่าหนึ่งร้อยปี ชนรุ่นหลังเหล่านี้จึงใช้ชีวิตเหมือนชนเผ่าดึกดำบรรพ์…
ตี้ฝูอีเพ่งพิศเขาจากบนจรดล่างคราหนึ่ง
“ปีนั้นเจ้าฝึกฝนพลังวิญญาณจนบรรลุขั้นใดแล้ว?”
“พลังวิญญาณขั้นหก”
หัวหน้าเผ่าถอนหายใจ ปีนั้นเขาก็นับว่าเป็นยอดฝีมือเช่นกัน มิเช่นนั้นคงไม่อยู่รอดมาจนถึงตอนนี้
“ตอนนี้บนร่างเจ้ามีพลังวิญญาณอยู่เท่าใด?”
“สักเศษเสี้ยวก็ไม่มีเลย”
“ตอนนั้นชนชั้นสูงในเมืองลั่วฮวามาล่าสตัว์ที่หุบเขานี้เสมอหรือ?”
“ใช่แล้ว ปีนั้นที่นี่อุดมด้วยสัตว์วิญญาณ ทุกคนต่างมาล่าสัตว์วิญญาณแล้วเลี้ยงดูไว้ใช้งานเอง ภูเขาแห่งนี้เป็นพื้นที่ล่าสัตว์ของลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ และไม่เคยเกิดเหตุเหนือความคาดหมายอันใดขึ้นเลย…”
มิเช่นนั้นตอนที่พวกเขาออกมาล่าสัตว์ในปีนั้นคงไม่พาสตรีมาด้วย บอกว่ามาล่าสัตว์ แต่ความจริงเหมือนการมาทัศนาจรเสียมากกว่า…
ตี้ฝูอีวนสำรวจละแวกนั้นรอบหนึ่ง หัวหน้าเผ่ามองเขาอย่างงุนงง ไม่รู้ว่าเขากำลังตรวจสอบอะไรอยู่
เดิมทีกู้ซีจิ่วก็สำรวจภูมิประเทศในละแวกนี้อยู่เช่นกัน กันไม่ให้มีสัตว์ร้ายอันใดโผล่ออกมาทำร้ายคนอย่างกะทันหัน มองเห็นตี้ฝูอีเดินวนเวียนไปทั่ว เธอชะงักไปเล็กน้อย เดินเข้าไป
“เจ้าหาอะไรอยู่? ทำไมไม่พักผ่อนให้มากหน่อยล่ะ?”
ตี้ฝูอีมองนางเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง
“ยอมคุยกับข้าแล้วหรือ?”
ไม่หมางเมินเขาต่อแล้วหรือ?
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน เนื่องจากการตายของแปดผู้เฒ่า ในใจเธอจึงรู้สึกผิดยิ่งนักเสมอมา โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงว่าบางทีผู้เฒ่าทั้งแปดอาจจะได้ยิน ‘ข้อเสนอ’ ของตี้ฝูเข้าถึงได้ใฝ่หาความตายด้วยตัวเอง ในใจเธอก็ยิ่งทรมานกว่าเดิม ถึงแม้สมองในส่วนความมีเหตุมีผลจะรู้ว่าไม่ควรโทษตี้ฝูอี แต่ในด้านความรู้สึกกลับมีความขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย จึงไม่อยากคุยกับเขา
ประกอบกับเธอรู้ว่าตี้ฝูอีสิ้นเปลืองพลังวิญญาณไปมากมาย จะต้องนั่งสมาธิปรับลมหายใจ ดังนั้นเธอจึงแยกตัวออกไปจัดการเรื่องอื่นๆ ไม่สนใจเขาเลย
————————————–