บทที่ 2218 ฝ่าบาทเนี่ยนโม่เป็นใครอีกล่ะเนี่ย?!
เขาก้าวเข้าไปหมายจะจูงมือกู้ซีจิ่ว ทว่ากู้ซีจิ่วกลับถอยหลบอย่าเงียบเชียบ
ตอนนี้เธอแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายมาจากดินแดนเบื้องบน แต่สรุปแล้วเขาเป็นใครล่ะ?
มารดามันเถอะ ดีร้ายอย่างไรเจ้าก็รายงานตัวมาก่อนสิโว้ย!
“ซีจิ่ว คงมิใช่ว่าเจ้าจำข้าไม่ได้กระมัง?!”
คนผู้นั้นก็เฉียบแหลมเช่นกัน ในที่สุดก็สังเกตเห็นความผิดปกติของกู้ซีจิ่วแล้ว แววตาพิศวง
อันที่จริงกู้ซีจิ่วอยากแสร้งทำเป็นรู้จักเขายิ่งนักจริงๆ แต่ดูทรงแล้วคงไม่รอด…
เธอกระแอมเบาๆ คราหนึ่ง
“ข้าเห็นว่าท่านผู้สูงศักดิ์ดูคุ้นตายิ่ง ทว่านึกไม่ออกชั่วขณะ”
การเป็นคนความจำเสื่อมช่างเป็นเรื่องที่ทำให้คนปวดประสาทยิ่งนักโดยแท้
คนผู้นั้นมองเธออีกครา ทอดถอนใจอย่างอดไว้ไม่อยู่
“แม้แต่ข้าก็ลืมเลือนได้ ซีจิ่ว เจ้าคงมิได้ความจำเสื่อมกระมัง?”
กู้ซีจิ่วหันหลังเดินหนี
รีบแจกแจงรายงานตัวก็พอไหว น่าโมโหนัก ยังมาพูดจาเหลวไหลจี้ใจเธอมากมายปานนี้อีก…
“ซีจิ่ว ข้าคืออวิ๋นเยียนหลี เป็นสหายที่เจ้าสนิทด้วยที่สุดตอนอยู่ดินแดนเบื้องบน วิถีกระบี่ชุดนี้ของข้าก็เป็นเจ้าที่สอนให้”
กู้ซีจิ่วนิ่งไปแล้ว
เธอก็รู้สึกคุ้นเคยกับนามอยู่รางๆ เช่นกัน
ที่แท้เขาก็ไม่ใช่ศิษย์น้องของเธอ…
เธอยกมือนวดหว่างคิ้ว ถอนหายใจ
“ที่แท้ก็เป็นเจ้า..ยามที่ข้าร่วงหล่นลงมาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย สูญเสียความทรงจำบางส่วนไป”
“เจ้าบอดเจ็บหรือ? ร้ายแรงหรือไม่?”
อวิ๋นเยียนหลีปรี่เข้ามา คิดจะจับชีพจรให้เธอ
กู้ซีจิ่วถอยหลบทันที
“ไม่เป็นไร แค่สูญเสียความทรงจำไปเล็กน้อยเท่านั้น อย่างอื่นไม่เป็นไร”
อวิ๋นเยียนหลีออดไม่ได้ทอดถอนใจอีกครั้ง
“ซีจิ่ว วรยุทธ์ของเจ้าก็ลดลงไปมากยิ่ง เมื่อก่อนเจ้าเป็นซ่างเซียนที่ใกล้บรรลุขั้นซ่างเสินแล้ว ยามนี้กลับ…”
กู้ซีจิ่วทราบว่าพลังยุท์ของตนถดถอยลงไปมากนัก แต่ไม่นึกเลยว่าจะมากมายขนาดนี้!
ตี้ฝูอีเคยเล่าเรื่องราวของดินแดนเบื้องบนให้เธอฟัง จึงได้รู้ว่าที่ดินแดนเบื้องบนมีซ่างเซียนอยู่ไม่มากนัก ที่เกือบบรรลุถึงขั้นซ่างเสินแล้วยิ่งมีน้อยกว่าขนหงส์เขากิเลนเสียอีก ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อก่อนตนจะร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียว?!
เนื่องจากตี้ฝูอีเคยบอกว่า ตามปกติแล้วผู้ที่บรรลุถึงขั้นซ่างเซียนล้วนมีอายุหลายพันปีทั้งสิ้น แต่เธออายุแค่สองสามร้อยปี ดังนั้นในใจของกู้ซีจิ่วแล้ว ตนอยูที่ดินแดนเบื้องบนมากสุดก็คงเป็นเพียงจินเซียน เช่นเดียวกับตี้ฝูอี กลับคาดไม่ถึงเลยว่า…
วรยุทธ์ของตนเลิศล้ำกว่าตี้ฝูอีมากปานนี้ อายุก็น่าจะไม่น้อยแล้วสิ เป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่กับตี้ฝูอีไม่ได้กระมัง?!
เช่นนั้น…ตี้ฝูอีโป้ปดจริงๆ น่ะหรือ?
หัวใจกู้ซีจิ่วคล้ายจะหยุดเต้นไปสองจังหวะ!
เพียงแต่ เธอยังพะวงถึงเรื่องหนึ่งอยู่
“อวิ๋นเยียนหลีใช่ไหม? เจ้าเป็นเคล็ดหทัยวิญญาณหรือไม่?”
อวิ๋นเยียนหลีผงะไปแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า
“ขออภัย ข้าไม่เคยได้ยินชื่อวิชานี้เลย”
กู้ซีจิ่วถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง เห็นทีว่าทักษะนี้จะเป็นทักษะเฉพาะของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นั้น และถ่ายทอดให้เพียงเธอด้วย…
น่าเสียดายที่เธอนึกไม่ออกชั่วขณะ
คล้ายว่าอวิ๋นเยียนหลีจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“ใช่แล้ว ซีจิ่ว เจ้าบอกว่าฝ่าบาทเนี่ยนโม่ก็อยู่ที่นี่ใช่ไหม? เจ้าตามหาเขาอยู่หรือ?”
กู้ซีจิ่วงุนงง ฝ่าบาทเนี่ยนโม่เป็นใครอีกล่ะเนี่ย?!
อวิ๋นเยียนหลีปราดเปรื่องอย่างยิ่ง เห็นท่าทีของนางก็คล้ายจะตระหนักอันใดได้แล้ว
“ซีจิ่ว เมื่อกี้ข้าได้ยินเจ้าเรียกข้าผิดเป็นตี้ฝูอี เจ้าคงตามหาเขาอยู่ใช่ไหม?”
กู้ซีจิ่วพยักหน้า
“ใช่…”
คล้ายว่าเธอจะเข้าใจอะไรแล้ว
“ตี้ฝูอีคือฝ่าบาทเนี่ยนโหรือ?”
อวิ๋นเยียนหลีถอนหายอีกครั้งอย่างอดไว้ไม่อยู่
“ตี้ฝูอีเป็นนามแฝงยามที่ออกท่องโลกภายนอกของฝ่าบาทเนี่ยนโม่ ซีจิ่ว คงมิใช่ว่าแม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ลืมไปแล้วกระมัง?”
กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะนวดหว่างคิ้ว เรื่องนี้ตี้ฝูอีก็ไม่เคยบอกเธอเหมือนกัน…
ที่แท้ตี้ฝูอีปิดบังเธอไว้กี่เรื่องกันแน่?!
แน่นอน หลายวันมานี้เธอก็โง่เง่าเองที่ไม่ได้ต้อนถามถึงประวัติความเป็นมาของเขา ถึงขั้นที่ไม่ได้ถามถึงอดีตของตนให้ละเอียดนักด้วย
ที่สำคัญคือเธอมีโอกาสพูดคุยกับเขาอย่างจริงจังน้อยมาก ต่างคนต่างยุ่งอยู่ตลอด…
————————————————————————————-
บทที่ 2219 คนที่เจ้าอยากตามหาน่ะหาเจอหรือยัง?
ในใจกู้ซีจิ่วยังคงมีคำถามอีกเป็นกระบุงที่ต้องการถาม แต่สุดท้ายเธอก็ยังคงตระหนักถึงความปลอดภัยของตี้ฝูอีอยู่ ในเมื่อพบพานคนรู้จักเก่า เธอจึงถามออกไป
“เจ้ามีวิชาที่สามารถหาตัวคนได้โดยเร็วหรือไม่?”
อวิ๋นเยียนหลีพลังวิญญาณบรรลุขั้นเก้าแล้ว น่าจะเป็นวิชาจำพวกนี้กระมัง?
มีวิชาตามหาคนเหมือนตี้ฝูอี หาผู้ใดก็พบผู้นั้น…
อวิ๋นเยียนหลีเป็นคนฉลาดจึงเอ่ยถามไป
“เจ้าอยากตามหาฝ่าบาทเนี่ยนโม่ใช่ไหม? เขาก็ออกมาล่าสัตว์หรือ?”
“ใช่”
อวิ๋นเยียนหลีพยักหน้านิดๆ
“มีวิชาแขนงหนึ่งที่สามารถแกะรอยได้ เพียงแต่แกะรอยตำแหน่งของอีกฝ่ายได้เพียงคร่าวๆ เท่านั้น ระบุตำแหน่งแน่ชัดไม่ได้”
กู้ซีจิ่วใจชื้นขึ้นมา
“คร่าวๆ ก็พอแล้ว! ต้องการให้ข้าทำอะไรไหม?”
อวิ๋นเยียนหลีถอนหายใจ
“ซีจิ่ว ให้ข้าพักหายใจก่อน”
“…โอ้ ได้!”
อวิ๋นเยียนหลีกรำศึกอยู่เนิ่นนานปานนี้ ยามนี้ร่างยังชุ่มเหงื่ออยู่เลย สีหน้าก็ซีดเซียวอย่างยิ่ง ต้องการพักผ่อนสักหน่อยจริงๆ
คงเป็นเพราะสถานที่แห่งนี้เพิ่งมีสัตว์ร้ายร่างยักษ์อย่างจูผอหลงออกมา จึงไม่มีสัตว์ร้ายอื่นใดกล้าย่างกรายเข้ามาชั่วคราว
ทั้งสองนั่งแกร่วอยู่บนศิลาเขียว
อวิ๋นเยียนหลีกินอะไรเล็กน้อย จากนั้นก็ถามเธอ
“ซีจิ่ว เจ้าคงมีเรื่องอยากถามข้ามากมายเลยกระมัง?”
กู้ซีจิ่วหลุบตาลงเล็กน้อย แล้วส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวยิ่ง
“ไม่มี เจ้ารีบนั่งสมาธิฟื้นฟูเถิด”
อวิ๋นเยียนหลีจึงเงียบไป
เขาไม่ได้พูดจาเป็นอื่นอีก นั่งสมาธิฟื้นฟูแล้ว
ในใจกู้ซีจิ่วมีคำถามมากมายวนเวียนอยู่จริงๆ อยากจะถามเขา แต่ว่า…
แล้วไปเถอะ! ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถามเรื่องจุกจิกพวกนั้น ตามหาคนสำคัญกว่า อย่างอื่นล้วนปล่อยไปก่อน หาคนพบแล้วค่อยว่ากัน!
เธอมองอาภรณ์ม่วงบนร่างอวิ๋นเยียนหลีอีกครั้ง ยกมือนวดหว่างคิ้วอย่างอดใจไม่อยู่
พักนี้สีม่วงเช่นนี้เป็นที่นิยมหรือ? มีคนสวมใส่สีม่วงมากขนาดนี้…
เย่หลิงสวมชุดม่วง อวิ๋นเยียนหลีที่เพิ่งพบหน้าก็สวมชุดม่วงเช่นกัน ถึงแม้รูปลักษณ์ของสองคนนี้ก็นับว่าเป็นหงส์มังกรในหมู่มนุษย์ แต่กู้ซีจิ่วรู้สึกอยู่เสมอว่าพวกเขาไม่เหมาะกับสีนี้ มีเพียงตี้ฝูอีที่เหมาะสมกับอาภรณ์สีม่วงที่สุด
ราวกับมีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถสวมใส่อาภรณ์ม่วงออกมาได้อย่างน่าดื่มด่ำและสง่างามเช่นนั้น…
แน่นอน นี่เป็นเพียงความคิดเห็นของเธอ เธอย่อมไม่ฝืนยัดเยียดให้ผู้อื่น…
จะว่าไป ตี้ฝูอีไปอยู่ที่ไหนกันแน่?!
“ซีจิ่ว คนที่เจ้าอยากตามหาน่ะหาเจอหรือยัง?”
กู้ซีจิ่วค่อนข้างใจลอยอยู่บ้าง คำถามที่ถามออกมากะทันหันนี้เข้ามาขัดความคิดของเธอ
“หา? คนที่ข้าอยากตามหาหรือ?”
“ก็เทพศักดิ์สิทธิ์หวงถูที่เจ้าขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนเพื่อตามหาคนนั้นไง ข้ายังตามหาคนผู้นั้นเป็นเพื่อนเจ้าอยู่ตั้งนาน”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน เธอจำไม่ได้จริงๆ!
อวิ๋นเยียนหลีคล้ายจะนึกอะไรได้ ตบศีรษะทีหนึ่ง
“ข้าลืมอีกแล้ว เจ้าจำเรื่องพวกนั้นไม่ได้นี่นา…”
กู้ซีจิ่วเม้มปากแน่น หัวเสมือนถูกสิ่งใดบีบแน่น เธอสูดหายใจนิดๆ
“ข้าจำไม่ได้จริงๆ เพียงแต่เจ้าสามารถเตือนข้าได้ ไม่แน่ข้าอาจจะนึกออกก็ได้!”
การหลบหนีไม่ช่วยแก้ปัญหา ในเมื่อทราบเรื่องบางส่วนแล้ว ฉุกใจสงสัยแล้ว ถ้าไม่สอบถาม เธอคิดวุ่นวายไปสารพัดกว่าเดิม
ดวงตาของอวิ๋นเยียนหลีที่ทอดมองเธอมีความสงสารวาบผ่าน
“ซีจิ่ว เรื่องราวของเจ้าข้าก็รู้ไม่มากนัก แต่เจ้าเพิ่งขึ้นมายังดินแดนเบื้องบนเมื่อหลายปีก่อน ตามหาคนผู้หนึ่งมาโดยตลอด บอกว่าเขาเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์องค์ก่อนที่โลกนั้นของเจ้า ดับขันธ์ที่โลกนั้นของเจ้า ยามที่เขาดับขันธ์น่าเกิดเหตุบางอย่างขึ้น ทำให้เจ้าจดจำรูปลักษณ์ของเขาไม่ได้อีก แต่ยังจำได้ว่าต้องตามหาเขา ต้องการตามหาจนแทบเป็นความหมกมุ่นแล้ว ข้าไปพบซ่างเซียนที่มาจากโลกเบื้องล่างเป็นเพื่อนเจ้ามากมายนัก แต่ล้วนมิใช่คนที่เจ้าตามหา…”
————————————–