บทที่ 2288 ราชันย์มาร 2
กู้ซีจิ่วลอบทำมุทราอยู่ในแขนเสื้อ ร่ายวิชาสืบรอยแล้ว
หากว่าคนในรถคือตี้ฝูอี วิชาสืบรอยของเธอจะตอบสนองทันที! ด้วยระยะห่างเพียงเท่านี้ ไม่มีทางที่เธอจะจับสัมผัสไม่ได้!
ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็ต้องสิ้นหวัง!
เธอยังคงสัมผัสถึงกลิ่นอายของตี้ฝูอีไม่ได้เช่นเดิม…
ดูเหมือนราชันย์มารที่อยู่ในรถม้าจะไม่ใช่เขา…
ความรู้สึกผิดหวังถาโถมอยู่ในทรวง เธอท้อแท้หมดหวัง ขณะที่กำลังจะกลับเข้าไปในเหลาสุรา พลันได้ยินเสียงกู่ร้องแว่วขึ้นในอากาศ เสียงกู่ร้องกังวาน แว่วไปทั่วบริเวณ
“องค์หญิงน้อยมาแล้ว!”
“ใช่องค์หญิงน้อยจริงๆ ด้วย…”
กู้ซีจิ่วมองขึ้นไปในอากาศเห็นกระเรียนเซียนตัวหนึ่งกระพือปีกบินมา กระเรียนเซียนตัวนี้ตัวใหญ่กว่ากระเรียนเซียนทั่วไปถึงสามเท่า บนหลังกระเรียนมีดรุณีชุดขาวนางนั้นยืนสง่าอยู่ เรือนร่างเพรียวบาง คล้ายปลิวไปกับสายลมร่อนลงมาจากนภาพร้อมด้วยกระเรียนเซียน
กู้ซีจิ่วพลันใจเต้นแรง!
ใบหน้าของดรุณีชุดขาวนางนี้ยังคงคลุมแพรโปร่งเอาไว้ เผยให้เห็นเพียงดวงตาใสกระจ่างดั่งวารีคู่หนึ่ง
ม่านหมอกสลัวสายธารเย็นฉ่ำจันทราส่องกระทบทราย[1] การเร้นโฉมเช่นนี้ของนางทำให้คนใจสั่นด้วยความงดงามลึกลับ
สายตากู้ซีจิ่วเฉียบไว มองแวบเดียวก็จำได้แล้วว่าดรุณีนางนี้คือสตรีชุดขาวที่ปรากฏตัวขึ้นในร้านอาหารของเมืองซุ่ยเย่ แล้วมอบกุญแจหยกอายุยืนให้เด็กน้อยในวันนั้น
ที่แท้นางก็เป็นองค์หญิงน้อยของอาณาจักรมาร…
หรือว่าราชันย์มารที่อยู่ในรถม้าก็คือพี่ใหญ่ผู้ลึกลับที่ใช้วิชาเชิดหุ่นสั่งสอนคน ระบายแค้นให้นางในวันนั้น?
กระเรียนเซียนยังไม่ทันหุบปีกหยุดนิ่งดี องค์หญิงน้อยก็กระโดดลงมาจากหลังกระเรียนเซียนแล้ว ยืนชดช้อยอยู่หน้ารถม้า
“พี่ใหญ่ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”
รถม้าหยุดลง มือข้างหนึ่งมุดออกมาจากริมม่านรถ แหวกม่านให้เปิดออก
ด้วยเหตุนี้ ในที่สุดฝูงชนก็ได้เห็นคนในรถม้าแล้ว…
ภายในรถม้าตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม ส่วนข้าวของต่อให้วิจิตรเลิศล้ำสักเพียงใดเมื่อเทียบกับคนในรถม้าแล้ว ก็หม่นหมองไร้สีสันไปเลย
คนผู้หนึ่งนั่งเอกเขนกอยู่ในรถม้า สวมชุดแดงโชติช่วงดุจเพลิงลุกโหม อาภรณ์ชุดนี้งามเลิศล้ำยิ่ง ทำให้ตัวเขาราวกับถูกห่อหุ้มไว้ในเมฆาชาดกลุ่มหนึ่ง เกศาดำดุจน้ำหมึก คลี่สยายปานม่านน้ำตก กลางกระหม่อมสวมกวานหยกชาดไว้ ขับเน้นให้เรือนผมเขายิ่งดูดกดำ ผิวพรรณขาวกระจ่างยิ่งขึ้น
เป็นอย่างที่ร่ำลือกัน เขาสวมหน้ากากทรงผีเสื้ออันหนึ่งไว้บนหน้า เผยให้เห็นเพียงดวงตาพราวระยับและริมฝีปากที่งดงามได้รูปยิ่งนัก
เขาใช้มือข้างหนึ่งเลิกม่านขึ้น เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าท่วงท่าดูเอื่อยเฉื่อยยิ่ง ทว่าทรงเสน่ห์ถึงขั้นเอาชีวิตคนได้ รัศมีรอบกายหนาวยะเยือกจนคนแทบสิ้นชีพ! ยามที่กวาดตามองผ่านมาแวบหนึ่ง ราวกับจะแช่แข็งคนที่อยู่ไกลออกไปพันลี้ได้
เมื่อเห็นองค์หญิงน้อย เขาก็หยักยิ้มบางๆ
“ย่วนย่วน คาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะกลับมาเร็วกว่าข้าเสียอีก”
องค์หญิงน้อยยิ้มหวาน
“แน่นอน ย่วนย่วนยังอยากให้พี่ใหญ่ฉลองวันเกิดให้ข้าอยู่นะ พี่ใหญ่เตรียมของขวัญไว้ให้ย่วนย่วนหรือยัง?”
“ย่อมเตรียมแล้ว พรุ่งนี้เจ้าจะได้เห็น”
ราชันย์มารผู้นั้นหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงเขาไพเราะยิ่ง ดังธารน้ำพุไหลชะโขดหิน
“พี่ใหญ่ยังช่างหลอกล่อผู้อื่นเหมือนเดิม รู้อยู่ชัดๆ ว่าย่วนย่วนเป็นคนใจร้อน…”
องค์หญิงน้อยกระเง้ากระงอด
ราชันย์มารกลับเอนร่างพิงพนักรถม้าด้านหลังเสีย ยิ้มอย่างเฉื่อยชา
“เช่นนั้นก็ร้อนใจไปเถอะ”
องค์หญิงน้อยกระทืบเท้าคราหนึ่ง
“พี่ใหญ่ ท่านแกล้งข้าอีกแล้ว!”
ราชันย์มารหยักยิ้มบางๆ คล้ายยิ้มทว่ามิเชิงยิ้ม เบี่ยงหัวข้อไปเสียดื้อๆ
“ย่วนย่วน ของที่เปิ่นจวิน[2]ให้เจ้าไปเอามาจัดการอย่างไรเสียเล่า?”
“ทำลายแล้ว”
องค์หญิงน้อยตอบ
“เก่งมาก จัดการได้ดี!”
“เช่นนั้นพี่ใหญ่ต้องให้รางวัลย่วนย่วนแล้วกระมัง? มอบของขวัญให้ย่วนย่วนดูล่วงหน้าเป็นอย่างไร?”
ราชันย์มารแย้มยิ้ม ยิ้มนี้ของเขา ประหนึ่งมีบุปผาเบ่งบานทั่วนภา
เขาปล่อยมือ ม่านรถลู่ลง มีเสียงแว่วออกมาอีกครั้ง
“เอาล่ะ อย่าวุ่นวาย รอไปก่อนเถิด ของขวัญชิ้นนั้นเจ้าจะได้ยลในวันพรุ่ง”
————————————————————————————-
บทที่ 2289 ราชันย์มาร 3
องค์หญิงน้อยก็เป็นคนรู้ความผู้หนึ่ง ไม่เซ้าซี้ต่อแล้ว
“ก็ได้ เช่นนั้นย่วนย่วนจะตั้งตารอ”
พลันเหินร่าง ร่อนลงบนหลังกระเรียนเซียนตัวนั้นอีกครั้ง กระเรียนเซียนกู่ร้องอีกหน กางปีกโผบิน
ราชรถเคลื่อนที่อีกครั้ง ผืนธงโบกสะบัด เคลื่อนไปด้านหน้า
ชาวอาณาจักรมารตะโกนแซ่ซ้องอยู่สองฝั่งถนน คึกคักปานราดน้ำมันลงบนกองเพลิง
จวบจนราชรถจากไปไกลแล้ว ประชาชนถึงทยอยแยกย้ายกันไป ต่างคนต่างไปทำงานของตัวเอง แต่ฉากคึกครื้นนี้ก็เพียงพอจะให้พวกเขาตื่นเต้นกันได้อีกนาน
กู้ซีจิ่วก็กลับเข้าไปในเหลาสุราพร้อมกับหลัวเจิ้งและฝูงชน
ได้ชมเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นเช่นนี้ เมื่อกลับเข้าไปในเหลาสุราฝูงชนจึงพูดคุยกันยกใหญ่ แน่นอนว่ามีการเอ่ยถึงราชันย์มารผู้นั้นด้วย
พูดถึงวิธีการอันสะท้านสะเทือนที่เขาใช้ในการรวมอาณาจักรมารให้เป็นหนึ่ง พูดถึงการปกครองอย่างมีเมตตาธรรมของเขา จากนั้นก็พูดถึงองค์หญิงน้อยผู้นั้นอีก ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดที่เอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า
“ทุกท่านอย่าได้เข้าใจผิดนะ องค์หญิงน้อยหาใช่พระขนิษฐาแท้ๆ ขององค์ราชันย์ไม่ แต่เป็นพระขนิษฐาบุญรรม”
“ฮ่าๆ รู้แล้วๆ ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน องค์ราชันย์ของพวกเราดีต่อนางถึงเพียงนี้ ไม่แน่นะวันหน้าองค์หญิงน้อยอาจจะกลายเป็นองค์ราชินีก็ได้”
“นี่ก็ใช่ ใต้หล้านี้คงจะมีเพียงอัจฉริยะอย่างองค์หญิงน้อย ถึงจะคู่ควรกับองค์ราชันย์ของพวกเรา”
“พวกเจ้าว่า งานวันเกิดครั้งนี้ขององค์หญิงน้อย ท่านราชันย์มารของพวกเราจะถือโอกาสขอองค์หญิงน้อยอภิเษกหรือไม่?”
“เรื่องนี้พูดยากนะ ถึงอย่างไรชายก็ยังมิแต่งงาน หญิงก็ยังมิออกเรือน ซ้ำความสัมพันธ์ของพวกเขายังสนิทสนมกันถึงเพียงนี้…”
….
ฝูงชนพากันพูดคุยไปเรื่อย
“ซวี่เยวี่ย ซวี่เยวี่ย…”
หลัวเจิ้งมองกู้ซีจิ่วอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง
หลังจากกลับมาจากถนน นางก็ใจลอย กินอาหารอย่างไร้กะจิตกะใจ ตะเกียบทิ่มลงบนอาหารเหล่านั้น กุ้งตัวหนึ่งถูกนางทิ่มจนเละแล้ว นางก็ยังคล้ายว่าไม่รู้สึกตัว
หมาป่าน้อยกระตุกชายกระโปรงของเธออย่างเป็นกังวล ในที่สุดก็ทำให้สติที่ล่องลอยของเธอกลับเข้าร่างแล้ว
“หือ?”
เธอเลิกคิ้ว
“ซวี่เยวี่ย เจ้าใจลอยอยู่ตลอดเลย…เป็นอะไรไป?”
หลัวเจิ้งถามด้วยความเป็นห่วง
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า เอ่ยบ่ายเบี่ยง
“ตกตะลึงในตัวท่านราชันย์มารน่ะ”
หลัวเจิ้งถอนหายใจอย่างโล่งอก เอ่ยยิ้มๆ
“คนที่ได้เห็นท่านราชันย์มาร ล้วนตกตะลึงในตัวเขากันทั้งนั้น เล่ากันว่าสตรีครึ่งอาณาจักรมารล้วนแอบชอบเขา เพียงแต่เขาแข็งแกร่งจริงๆ วรยุทธ์สูงส่ง ความสามารถเลิศล้ำ รูปโฉมหล่อเหลา…”
เมื่อเขาเอ่ยถึงราชันย์มารขึ้นมาหลัวเจิ้งก็พูดเป็นต่อยหอยเลย สุดท้ายเขาก็ทอดถอนใจคราหนึ่ง
“หากว่าอาณาจักรมนุษย์ของพวกเรามีราชาเช่นนี้บ้าง ไหนเลยจะถึงขั้นที่…”
จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็ปลดเข่งสะพายหลังออกมาวางไว้บนร่างของหลัวเจิ้ง
“ฝากท่านดูลูกข้าที”
หลัวเจิ้งทึ่มทื่อไปครู่หนึ่ง
“หา?”
“ข้าจะออกไปจัดการธุระนิดหน่อย เดี๋ยวจะกลับมา ช่วยดูพวกเขาให้ข้าที”
กู้ซีจิ่วหันหลังวิ่งออกไปแล้ว
“หะ?”
หลัวเจิ้งอุ้มเข่งสะพายหลังใบนั้นไว้ตามสัญชาตญาณ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เงาร่างของกู้ซีจิ่วก็หายไปจากห้องโถงแล้ว
หลัวเจิ้งมองหนูน้อยในเข่ง จากนั้นก็มองหมาป่าเงินที่กำลังเลียจานอยู่ด้านข้าง ส่ายหน้านิดๆ
เอาเถอะ บางทีนางอาจจะปวดท้องอยากเข้าสุขาก็ได้…
เช่นนั้นเขาจะรอแล้วกัน
ที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ แม่นางน้อยผู้นั้นปานนางแอ่นทะยานไม่ย้อนหวน เขารออยู่ที่นี่ครึ่งชั่วยามเต็มแล้ว ยังคงไม่เห็นนางกลับมา…
นี่ ถ่ายท้องนานสุดๆ เช่นใดก็คงไม่ยืดเยื้อนานปานนี้กระมัง?!
หรือแม่นางผู้นั้นจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น?
ถึงแม้ครึ่งปีมานี้อาณาจักรมารจะค่อนข้างสงบสุข แต่ถึงอย่างไรก็มีเหล่ามารอยู่มากมาย นางเป็นสตรีออกไปข้างนอกเพียงลำพังจะเสียท่าได้ง่ายๆ…
เขารออยู่อีกครู่หนึ่ง เป็นกังวลจริงๆ จึงสะพายเข่งขึ้นหลังจูงหมาป่าน้อยไปที่ห้องสุขาด้านนอก
เขาย่อมไม่กล้าเข้าไปในสุขาสตรี จึงไหว้วานสตรีนางหนึ่งที่กำลังจะไปเข้าห้องคนหนึ่งช่วยดูให้ด้วยใบหน้าแดงก่ำ ซ้ำยังบอกรูปพรรณสัณฐานของกู้ซีจิ่วด้วย
————————————————————————————-
[1] เป็นท่อนหนึ่งจากบทกวีชื่นชมทิวทัศน์ความงาม ประพันธ์โดย พัวฉินไหว หนึ่งในยอดกวียุคถัง
[2] เปิ่นจวิน เป็นคำที่เชื้อพระวงศ์ฝ่ายชายใช้เรียกแทนตัว