ศพ – ตอนที่ 462 โดนล้อม

ตอน 462 โดนล้อม

ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นอย่างกระทันหันเกินไป ก่อนจะเกิดเรื่องผมและอาจารย์ ไม่มีใครระแคะระคายเลยสักนิด

หรือแม้แต่ไม่รู้ด้วยซ้ําว่า รอบๆพวกเรามีพวกปีศาจมาซุ่มรออยู่หลายสิบตนนานแล้ว

พวกมันมาได้ยังไง ? มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ? พวกเราไม่รู้อะไรเลยสักนิด

หลังเสียงตะโกนของคุณหวงดังขึ้น ปีศาจที่ซุ่มอยู่รอบๆ ก็ออกมาปรากฏตัวทันที

เพียงแค่ชั่วพริบตา เจ้าพวกนั้นก็ล้อมผมกับอาจารย์ไว้แล้ว

เมื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าผมก็เปลี่ยนไปทันที เผยสีหน้าแปลกใจและตกใจออกมา

ผมมองรอบตัว คนที่เข้ามาล้อมพวกเรา เป็นพวกที่กําลังกลายร่างเป็นปีศาจทั้งนั้น

เป็นเหมือนคุณหวง ครึ่งคนครึ่งสัตว์ สัตว์ประหลาดที่ไม่ใช่ทั้งคนและสัตว์ สาวกของสํานักสื่อเย่เฉินนั่น

ต้องเป็นเพราะบางอย่าง เจ้าพวกนี้จึงตามมาแบบเงียบๆ และล้อมพวกเราเอาไว้ตั้งแต่ต้น

และพอคิดย้อมดูแล้ว คุณหวงน่าจะเห็นสาวกพวกนี้ตั้งนานแล้ว

แต่เขาไม่แสดงพิรุธ จนกระทั่งเจ้าพวกนั้นล้อมเราแล้ว และอาจารย์แสดงท่าที่จะฆ่าเขา คุณหวงถึงได้เปลี่ยนท่าที่และสีหน้าจากตอนแรก ทําให้พวกที่ล้อมเราเอาไว้ออกมาแสดงตัว

“อาจารย์ เหมือนพวกเราจะโดนซุ่มโจมตีแล้ว !” ผมพูดอย่างเย็นชา

อาจารย์เค้นเสียงดึง “ในเมื่อมาแล้วก็จงอยู่อย่างมีความสุข ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับน้ํามาใช้ดินต้าน”

(ทหารมาใช้ขุนพลตนรับ น้ํามาใช้ดินต้าน คือไม่ว่าจะมาด้วยวิธีไหนก็สามารถรับมือได้ )

เสียงของอาจารย์เพิ่งเงียบลง คุณหวงที่ถอยไปอีกด้านหนึ่ง กลับหัวเราะออกมา แล้วพูดกับผมและอาจารย์ว่า “นักพรตทั้งสอง คิดไม่ถึงละซิ ?”

หลังจากพูดจบ คุณหวงก็หยิบโทรศัพท์ที่เอวออกมาให้พวกเราดูหน้าจอของเขา

หลังเห็นหน้าจอนั้นแล้ว ผมก็ขมวดคิ้ว แล้วแอบพูดสั้นๆ “สมควรตาย”

ที่แท้ทั้งหมดนี้ เป็นแผนของคุณหวงตั้งแต่แรกแล้ว

เจ้าหมอนี่กดเปิดแชร์ตําแหน่งตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และบนนั้นยังมีค่าพูดสั้นๆ ผู้บุกรุกมาช่วยฉัน

ค่าพูดเพียงหกคํากลับเรียกสาวกสํานักชั่วมาได้ถึงขนาดนี้

เมื่ออาจารย์เห็นภาพนี้ เขาก็อดทําสีหน้ามืดมนไม่ได้ “ที่แท้แกก็จําพวกเราได้ตั้งแต่แรกแล้ว”

มุมปากของคุณหวงยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ถ้าฉันไม่แกล้งทําเป็นไม่รู้ ไม่แกลังสลบฉันจะยังรอดจนถึงตอนนี้เหรอฮะ ?”

จู่ๆก็ได้ยินคุณหวงพูดด้วยน้ําเสียงผ่อนคลาย หรือแม้แต่ฟังดูเป็นน้ําเสียงของคนมีชัยหน่อยๆ

ผมก็เริ่มรู้สึกขยะแขยงขึ้นมาเล็กน้อย “ ถ้าอย่างงั้น แกก็คิดจะเล่นงานพวกเราตั้งแต่แรกแล้วซินะ ?

เรื่องที่แกเล่าก็เป็นเรื่องโกหกทั้งหมดซินะ ?”

ในช่วงเวลานี้ ผมรู้สึกเหมือนโดนปั่นหัว

ด้วยเหตุนั้นผมและอาจารย์รู้สึกอยากปกป้องเจ้าหมอนี่ ความตั้งใจเดิมของเราคืออยากช่วยเขา

อาจารย์ยังพูดออกมาว่า จะช่วยหาวิธีขับพลังปีศาจออกมาจากร่างเขา ทําให้เขาได้กลับมาเป็นคนปกติอีกครั้ง ทําให้เขาได้หลุดพ้นจากสํานักชั่วนั่น

และเดิมทีผมกับอาจารย์ก็ไม่ได้คิดจะฆ่าเขา แถมยังรู้สึกซาบซึ้งในเรื่องราวของเขา กําลังจะให้โอกาสกลับมาเป็นคนใหม่กับเขา

แต่ใครจะคาดคิด ว่าเจ้าหมอนจะหลอกพวกเรา ตั้งแต่แรก ตั้งแต่ตอนที่เห็นพวกเราแล้ว

เขาจําได้ว่าพวกเราเป็นผู้บุกรุกในคืนนี้ตั้งนานแล้ว แต่กลับแกล้งทําเป็นไม่รู้

ใช้การแสดงหลอกตาพวกเรา และยังแกล้งสลบ บางที่ตอนอยู่บนรถ เขาก็แอบแชร์ตําแหน่งและเรียกพวกพ้องมาแล้ว

และหลังมาอยู่ที่นี่แล้วตอนที่เขาปิดปากเงียบ

ก็คงเป็นเพราะต้องการถ่วงเวลา เพื่อให้พวกพ้องมาถึงที่นี่ เลยพยายามช่วงชิงเวลาให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทําได้

ตอนนี้พอลองมาคิดดูแล้วรู้สึกเพียงเจ้าหมอนี่คงลําบากน่าดู ยิ่งอยู่ในเมือง ก็ต้องใช้ความอดทนเยอะ

คนที่โดนถามอย่างคุณหวงกลับกลายเป็นคนดุร้ายขึ้นมา “ยังจําประโยคนี้ที่ฉันเคยพูดไปก่อน หน้านี้ได้ไหม ? ไม่ละทิ้งความเชื่อตลอดไป”

“เมื่อเข้าไปในสํานักเฉินแล้ว ฉันก็ไม่คิดจะถอยตัวอีก ฆ่าคนแล้วยังไง ? ขอแค่ฉันอยู่ต่อได้ฆ่าคนอื่นแล้วยังไง ? ฉันมีชีวิตอยู่ ครอบครัวฉันยังอยู่ ฉันตายแล้ว ครอบครัวฉันก็ต้องจบ พวกแกเข้าใจไหมฮะ ?”

“และเรื่องที่ฉันเล่าให้พวกแกฟัง เป็นเรื่องจริงทั้งหมด เพียงสังคมนี้ทําร้ายฉันเกินไป มีเพียงความศรัทธาต่อสื่อเย่ ทํางานเพื่อสํานักเฉิน ถึงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสําหรับฉัน พวกแกเข้าใจไหมฮะ ?”

พอพูดถึงประโยคสุดท้าย คุณหวงแทบจะกัดฟันพูดด้วยซ้ํา เห็นได้ชัดว่าจิตใจของเจ้าหมอนเปลี่ยนไปแล้ว ความหวังในการมีชีวิต ขึ้นอยู่บนความตายของคนอื่น

พอผมและอาจารย์ได้ยินถึงตรงนี้ เราก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว

เจ้าหมอน ยอมต่ำทราม ยินดีเป็นสาวกของสํานักชั่วเอง

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดกับคุณหวงตรงหน้าว่า “ในเมื่อแกเลือกแล้ว งั้นก็อย่าโทษว่าพวกเราไม่ไว้ชีวิตแกเลย !”

“ฮ่าๆๆ ชีวิต ? แกทําอะไรได้ฮะ ? สนใจตัวเองก่อนเถอะ !” หลังจากพูดจบ คุณหวงก็ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว

ในวินาทีที่เขาถอยออกไป ปีศาจที่อยู่รอบๆก็ครามออกมาทันที

“ฆ่า !”

“กัดพวกมันให้ตาย !”

“ดูดเลือดพวกมัน……”

ขณะพูด สาวกสํานักชั่วพวกนี้ ก็พุ่งเข้ามาหาพวกเราแล้ว

สาวกสํานักชั่วพวกนี้ เป็นเหมือนกับสัตว์ป่า รูปแบบการโจมตีคล้ายๆกัน ใช้กรงเล็บและเขี้ยวเป็นหลัก

จู่ๆก็เห็นอีกฝ่ายลงมือ ผมกับอาจารย์เลยไม่เกรงใจเช่นกัน

อาจารย์ตะโกนออกมาว่า “เสี่ยวฝาน ฆ่าพวกมันเลย !”

ในวินาทีนี้ อาจารย์เองก็โหดเช่นกัน

อาชีพของพวกเราเกิดมาเพื่อสู่โดยเฉพาะ ตอนนี้เราได้แต่หันดาบเข้าทํานั่นเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ ผมและอาจารย์เลยเปิดใช้พลังทั้งหมด ทําให้พลังของตัวเองอยู่ในระดับสูงสุด

ดาบในมือ ก็กวาดแกว่งอย่างต่อเนื่อง ทั้งตั้งรับและโจมตีสาวกสานักชั่วที่เข้ามาโจมตีพวกเรา

แม้อีกฝ่ายจะมีคนเยอะ น่าจะประมาณ 20-30 คนได้

มากกว่าผมและอาจารย์ถึงสิบเท่า แต่ถ้าเทียบพลังรบกันแล้ว ผมและอาจารย์ยังแข็งแกร่งกว่า อยู่ดี

สาวกพวกนี้ไม่มีพลังอะไร ก่อนกลายเป็นปีศาจ คงเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง

รูปแบบที่พวกเขาใช้โจมตีพวกเรา ก็ไม่ต่างอะไรจากสัตว์เดรัจฉาน ไม่มีการร่วมมือกันแต่อย่างใด

ภายใต้สถานการณ์ประเภทนี้ ผมกับอาจารย์ใช้พลังของตัวเอง บวกกับการร่วมมือที่สมบูรณ์ แบบ ทําให้พวกเรายังพอฝืนรับมือได้อยู่บ้าง

แต่ก็ได้แค่รับมือเนื่องจากอีกฝ่ายมีคนเยอะกว่า

แม้จะเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่สําหรับเรา ถ้าโดนเข้าไปสักครั้ง ก็รับไม่ไหวเช่นกัน

“ปังๆๆ” เสียงปะทะกันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมด้วยเสียงคารามที่ดังขึ้นเป็นครั้งคราว

อีกฝ่ายมีคนเยอะเกินไป แม้พวกเราจะทําให้บาดเจ็บไปหลายคน แต่ก็ไม่อาจรับมือได้ง่ายๆ

ผ่านไปไม่นาน ผมกับอาจารย์ก็บาดเจ็บ เริ่มมีเลือดไหลออกมาในที่ต่างๆ

พวกเราอยากฝ่าออกจากวงล้อม แต่กลับพบว่ามันยากมากที่จะทําได้

เห็นได้ชัดว่าปีศาจ 20-30 ตนนี้ ร้ายกาจกว่าพวกที่เราเจอก่อนหน้านี้มาก

และปีศาจพวกนี้ ก็แทบจะเลื่อนไปถึงขั้นสองแล้ว พละกําลังเลยมีเยอะมาก

ตอนนี้ ปีศาจหลายตัวกําลังโจมตีใส่อาจารย์พร้อมกัน

เมื่อเห็นแบบนั้น ผมก็ตะโกนออกมาทันที “อาจารย์ระวังข้างหลัง !”

แม้อาจารย์จะหันมาทัน แต่คนเดียวก็ยากจะรับมือกับการโจมตีของคนจํานวนมากได้

“แควก” หลังของอาจารย์มีรอยเล็บปรากฎขึ้น

“อาจารย์ !” ผมตะโกน พร้อมพุ่งเข้าไปทันที

ได้แค่พูดว่าผมฟันเข้าไปที่ไหล่ของเจ้าหมอนั้น แล้วใช้เท้าถีบออกไปทันที

“อาจารย์ ไม่เป็นไรใช่ไหม !” ผมทําหน้าร้อนใจ

อาจารย์กลับหอบหายใจ ต้านพวกปีศาจไป และพูดกับผมไป “ อาจารย์ไม่เป็นอะไร เสี่ยวเสี่ยวฝาน

อาจารย์ อาจารย์จะปกป้องแก แกฆ่าแล้วฝ่าออกไปจากทางนี้ซะ”

อาจารยพูดอยู่ข้างหลังผม แต่ผมกลับดึงหน้าลง แล้วปฏิเสธเขาทันที “ไม่อาจารย์ ถ้าจะออกไปก็ต้องไปด้วยกันปีศาจเยอะขนาดนี้ อาจารย์อยู่ต่อจะรอดได้ยังไง ?”

“ถ้าแกไม่ไป พวกเรา พวกเราจะตายกันหมดนะ !” อาจารย์พูดต่อ พร้อมตวัดดาบให้ผู้ชายคนหนึ่งถอยออกไป

“ อาจารย์ ผมไม่ไป อีกอย่าง ตอนนั้นทาสผีในสาขาย่อยขององค์กรตาผีมีตั้งเยอะยังหยุดผมไม่ได้เลย

แล้วพวกลูกกระจ๊อกของสํานักสื่อเย่เฉินแค่นี้จะหยุดพวกเราได้งั้นเหรอ ? มันไม่ง่ายขนาดนั้น หรอกอาจารย์อาจารย์อย่าลืมซิ ผมยังมีผีเมียกับเผ่าจิ้งจอกคอยปกป้องอยู่นะ !” ผมพูดด้วยน้ําเสียงจริงจัง

ตอนนี้สถานการณ์เข้าขั้นวิกฤต ถ้าผมและอาจารย์ยังสู้ต่อ ถึงจะยื้อต่อไปอีกระยะหนึ่ง

แต่ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปก็เหลือแต่จะโดนจับหรือโดนฆ่าเท่านั้น

ดังนั้น ผมเลยต้องหาผู้ช่วย

ขณะพูด สีหน้าของผมก็ดูมืดมนมากผมคิดจะกระตุ้นไฝดําที่ข้อมือซ้าย เรียกมู่หลงเหยียนมาช่วย……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset