ศพ – ตอนที่ 479 ขอความช่วยเหลือ

ตอนที่ 479 ขอความช่วยเหลือ

ม่หลงเหยียนออกมาปรากฏตัวในช่วงเวลาสําคัญ เมื่อเห็นร่างดุจเทพเซียนของเธอผมก็อดใจเต้นไม่ได้

ผมตะโกนเรียกมู่หลงเหยียนทันที “น้องศพ !”

มู่หลงเหยียนค่อยๆหันมา หลังเห็นสภาพของผมแล้ว เธอก็อดเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้ “นายบาดเจ็บเหรอ ?”

น้ําเสียงของมู่หลงเหยียนฟังดูโมโหหน่อยๆ ผมกลับฉีกยิ้มให้เธอ “ไม่เป็นไร แผลเล็กน้อย !”

แต่สีหน้าของมู่หลงเหยียนกลับดูโมโหยิ่งกว่าเดิม “ฮิ! นอกจากฉันแล้ว ใครก็ทําร้ายนายไม่ได้ทั้งนั้น

ฝีมือเจ้าตัวประหลาดไม่ใช่คนไม่ใช่ปีศาจพวกนี้ใช่ไหม ? ”

พอเห็นมู่หลงเหยียนโมโหเพราะเห็นผมบาดเจ็บ ในใจผมก็มีความอบอุ่นที่ไม่อาจอธิบายออกมาได้

แต่ไม่รอให้ผมได้ตอบกลับ เจ้าหัวโจกที่ชื่อหลิงเทียนคนนั้นกลับพูดกับมู่หลงเหยียน ด้วยน้ําเสียงที่เย็นชา “เธอเป็นใคร ?”

ม่หลงเหยียนจ้องหลิงเทียน แล้วตอบกลับเพียงสามค่าอย่างเย็นชา “มู่หลงเหยียน”

ค่าพูดนี้เพิ่งดังขึ้น เจ้าคนที่ชื่อหลิงเทียนคนนั้นก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “เธอ เธอก็คือหุ่นรบรุ่นแรกขององค์กรตาผี”

“ฮ! รู้เยอะดีน” มู่หลงเหยียนพูดออกมาอีกครั้ง เธอตอบกลับด้วยน้ําเสียงที่เย็นชาเช่นเคย

และเสียงเพิ่งเงียบลง มู่หลงเหยียนก็เริ่มลงมือแล้ว

ทันใดนั้นคลื่นพลังยินที่หนาวเหน็บและทรงพลังก็สาดซัดไปทุกหนทุกแห่ง

นอกจากหัวโจกหลิงเทียนคนนั้นแล้ว สาวกปีศาจที่ยืนล้อมพวกเราอยู่ ก็โดนซัดให้ถอยออกไปหลายก้าว

และในตอนนี้ มู่หลงเหยียนก็เผยร่างจริงให้ผมเผ่าจิ้งจอก และอาจารย์ผมเห็นเท่านั้น

ในสายตาของเหล่าเฟิง ท่านนักพรตต์นุ่ยเฉิงจิง หยางเจ่วและคนอื่นๆ ต่างเห็นเพียงร่างที่ลางเลือน

มองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาที่ชัดเจน

แต่พวกเขาล้วนรู้ดีว่านี้ก็คือวิญญาณคุ้มครองครอบครัวผม ส่วนเรื่องอื่นผมไม่เคย พูด พวกเขาเลยไม่รู้

แต่เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่สําคัญ สิ่งที่สําคัญคือในขณะที่มู่หลงเหยียนลงมือ ตะขอเหล็กในมือหลิงเทียน

ก็พุ่งตรงเข้ามาหามู่หลงเหยียน

มู่หลงเหยียนยกมือขึ้น ทันใดนั้นดาบทรงใบหลิวที่เป็นเสมือนภาพลวงตาก็ปรากฎขึ้น มันพุ่งเข้าไปปะทะกับตะขอเหล็กทันที

“ปัง” เสียงปะทะของพลังที่ต่างกันดังขึ้น พร้อมกันนั้นพลังที่มหาศาลก็ระเบิดออกมาทันที

พวกเราทุกคน ต่างต้านพลังอันมหาศาลนี้ไม่ไหว ถึงกับโดนแรงกระแทกให้ถอยออกไปทันที

ส่วนสาวกที่อยู่นอกวงต่อสู้พวกนั้น ก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน

แต่ละคนครามออกมายกกรงเล็บขึ้นแล้วพุ่งเข้ามาหาพวกเราอีกครั้ง

นุ่ยเฉิงจิงและหยางเจ๋วพาท่านผู้อาวุโสทั้งสองคนมาอยู่ตรงนี้แล้ว พวกเขาโดนล้อมเอาไว้ตรงกลาง

ท่านนักพรตเฉินจื่ออี้แห่งสํานักเหมาชานสลบไปนานแล้ว ส่วนท่านนักพรตหวังเฉิงกานแห่งสํานักอู่ตั้งกําลังหอบหายใจ มือเท้าสั้นถึงจะ
ยังมีสติอยู่ แต่ก็ไม่อาจพูด ออกมาได้ง่ายๆ ถือได้ว่าสูญเสียกําลังสู้ไปแล้ว

ตอนนี้เมื่อเห็นพวกสาวกกําลังพุ่งเข้ามาอีกครั้ง ทุกคนก็ยกดาบไม้ขึ้นเตรียมสู้

นี่ก็คือภาระกิจและหน้าที่ของผู้ฝึกตน หรือคนปราบสิ่งชั่วร้ายอย่างพวกเรา

ผมทําหน้าจริงจัง ปนเย็นชา เมื่อเห็นสาวกพวกนี้พุ่งเข้ามา ผมก็พูดกับปู่หลิ่วและยายหูชีว่า

“เซียนทั้งสอง ขอยืมเลือดจิ้งจอกหน่อยได้หรือไม่ ศิษย์จะอัญเชิญนางพญามาสถิตร่าง”

ผมพูดถึงขนาดนี้แล้ว และมู่หลงเหยียนผู้แข็งแกร่งก็ปรากฏตัวขึ้นแล้ว

แม้จะไม่ใช่ร่างจริง แต่ดูจากท่าทางของมู่หลงเหยียนแล้ว เห็นได้ชัดว่าเธอสามารถสู้กับเจ้าหัวโจกหลิงเทียนคนนั้นได้

ถ้านางพญามาเยือนที่นี่ได้จริงๆ งั้นโอกาสชนะของพวกเราก็มีเยอะขึ้นแล้ว

ปู่หลิ่วและยายหูชีหันมามองหน้ากัน แล้วพยักหน้ารับตรงๆ ต่อจากนั้นผมก็เห็นปู่หูคิ้วกัดนิ้วตัวเอง

“ชูหม่าเชิญใช้ตามสบายเลยขอรับ”

ผมเองก็ไม่รอช้า รีบจุดธูปหอมสั้นพิเศษ

หลังจากนั้นก็ใช้นิ้วที่เปื้อนเลือดจิ้งจอก ประสานมืออย่างรวดเร็ว พร้อมท่องคาถาอัญเชิญเซียน

เสียงไม่จัดว่าดังมาก แต่ก็ไม่เบามาก

ตามหลักแล้ว ปกติตั้งแต่ตอนผมประสานมือจนถึงเชิญเซียน ต้องใช้เวลาประมาณ 4 นาที

ครั้งก่อนตอนอยู่เขาเขี้ยวหมาป่า ความเร็วที่สุดที่ผมเชิญนางพญาจิ้งจอกได้อยู่ที่ 3 นาที

แต่ครั้งนี้กลับแปลกไปพอสมควร ผมเพิ่งท่องคาถาเชิญเซียนได้ประมาณ 30 วินาที่ ผมก็รู้สึกได้ลางๆ

ว่าตัวเองติดต่อกับนางพญาได้แล้ว

นี่มันเป็นอะไรที่เร็วมาก เร็วจนไม่อยากจะเชื่อ

ถึงจะเป็นของมู่หลงเหยียน ผมก็ยังทําไม่ได้แบบนี้

ผมลังเลอยู่พักหนึ่งหลังจากตรวจสอบให้มั่นใจสามครั้งแล้ว ผมก็มั่นใจว่าตัวเอง ติดต่อได้แล้วจริงๆ

ผมจึงไม่ลังเลใดๆ มือทั้งสองเปลี่ยนท่า และทําท่าสุดท้ายในทันที

จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “ศิษย์ติงฝาน ขออัญเชิญนางพญาจิ้งจอก”

ขณะเสียงของผมดังขึ้น ธูปหอมอันนั้นก็ไหม้อย่างรวดเร็ว พร้อมปล่อยควันที่เยอะกว่าเดิมออกมา

และต่อจากนั้นก็เป็นเหมือนครั้งก่อนๆ ควันพวกนั้นขึ้นมารวมตัวที่หน้าผากของผมและกลายเป็นหัวจิ้งจอกขนาดใหญ่

ในเวลาเดียวกัน ก็ยึดผมเป็นตัวกลาง ระเบิดพลังปีศาจที่ทรงพลังออกมา

พลังปีศาจพวกนั้นเหมือนสามารถทะลุผ่านทุกอย่างไปได้ทั้งโกดัง “ฮๆๆ” และยังมีสายลมที่รุนแรงพัดไปรอบๆ

หลังหัวจิ้งจอกอันนั้นปรากฏขึ้น จู่ๆดวงตาคู่นั้นก็มีแสงจ้าออกมา แล้วมันก็อ้าปากมาทางผม และพุ่งเข้ามาทันที

หลังหัวจิ้งจอกอันนี้เข้ามาใกล้ผม มันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เหมือนกลืนหายเข้าไปในร่างผมแล้วอย่างงั้น

ต่อจากนั้น ผมก็มีความรู้สึกเหมือนโดนคนอื่นมาควบคุมร่างกาย ร่างกายค่อยๆสูญเสียการควบคุม

มือ เท้า ล่าตัว หรือแม้แต่หัว แล้วสุดท้ายผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองโดนขังไว้ในห้องเล็กๆ ไม่มีความรู้สึกใดๆ

มีเพียงดวงตาที่มองเห็นทุกสิ่ง

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โดนสถิตร่าง ผมจึงเข้าใจและรู้ดีว่าตอนนี้กําลังเกิดอะไรขึ้น

นางพญาเข้ามาอยู่ในร่างของผมแล้ว ประสาทสัมผัสต่างๆได้ถูกควบคุมและรับรู้โดยนางพญา

ในระหว่างนี้ ปู่หลิ่วและยายหูชีที่คอยคุ้มกันผมอยู่ข้างๆ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนเป็นตกใจแล้วรีบพูดกับผมว่า

“จิ้งลิ่ว ( หูชี) คารวะเจ้าแม่”

เสียงเพิ่งเงียบลง นางพญาก็ควบคุมร่างผม และพูดด้วยเสียงของผม “ลุกขึ้นเถอะ”

นางพญาโบกมือ จากนั้นก็กวาดสายตามองรอบๆหนึ่งรอบ

ส่วนผมก็รีบพูดกับนางพญาจากในร่าง “นางพญา นี่คือฐานของเจ้าสานักสื่อเย่นั้นครั้งนี้พวกเราพาผู้อาวุโสแห่งสํานักทั้งสองมาด้วย เดิมที่คิดจะทําลายที่นี่ให้สิ้นซากแต่กลับตกอยู่ในอันตรายแทน ผมถูกบีบจนไม่มีทางเลือก จนต้องเชิญท่านออ กมาช่วย !”

เสียงเพิ่งเงียบลง นางพญาจิ้งจอกก็พูดว่า “จินถงไม่ต้องเกรงใจ ในเมื่อข้ามาแล้วก็ไม่มีทางปล่อยให้พวกมันได้มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายแน่นอน”

คําพูดนี้เพิ่งดังขึ้น ทันใดนั้นนางพญาก็แหงนหน้าขึ้นบนฟ้า และครามออกมาทันที่ “โฮก”

ทันใดนั้น พลังปีศาจก็ระเบิดออกไปรอบๆ พวกสาวกที่อยู่ห่างจากพวกเราสามสีเมตร โดนซัดกระเด็นออกไปทันที

เมื่ออยู่ต่อหน้านางพญาจิ้งจอกที่บําเพ็ญตบะมานับพันปี เจ้าพวกนี้เป็นเด็กที่เพิ่งเกิดไม่กี่วัน มีแค่เขียวและขนงอกออกมา ไหนเลยจะสามารถต้านทานไฟโทสะของปีศาจตัวจริงได้

ผลลัพธ์เพียงแค่การระเบิดพลังครั้งนี้ สาวกปีศาจ 5-6 คนที่อยู่รอบๆก็โดนซัดกระเด็นออกไป

มีตัวหนึ่งกระอักเลือดออกมา แล้วล้มลงกับพื้นทันที

เห็นได้ชัดว่าเดิมที่ร่างกายของเจ้าหมอนั้นก็แย่มากอยู่แล้ว หลังอวัยวะภายในแหลกละเอียด มันก็ตายในทันที

หลังนางพญาครามออกมา เธอก็กลอกตา หันไปจ้องหัวโจกสํานักสื่อเย่เฉินหรือเจ้าหลิงเทียนที่กําลังสู้กับ

มู่หลงเหยียนอยู่

มู่หลงเหยียนรู้อย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร

แต่ในเวลานี้ นางพญาเปลี่ยนคลื่นพลังปีศาจที่มหาศาล ให้กลายเป็นสายฟ้าในรูปแบบของมนุษย์เรา

หรือแม้แต่ยังไม่รอให้เจ้าหลิงเทียนคนนั้นได้เตรียมตัวรับมือ นางพญาก็ควบคุมร่างผม เอาฝ่ามือเข้าไปตบเขาแล้ว

นางพญาเคลื่อนไหวเร็วมาก เร็วจนเกือบถึงจุดที่เรียกว่าเป็นไปไม่ได้

ได้ยินเพียงเสียงดัง “ปัง” ผู้นําสานักชั่วที่เพิ่งลงมือลงเท้ากับผู้อาวุโสทั้งสองเมื่อกี้กรีดร้องโหยหวนออกมาทันที

แค่ฝ่ามือเดียวของนางพญาก็ทําให้เขาโดนซัดกระเด็นออกไปแล้ว……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset