ศพ – ตอนที่ 510 ได้ยา

นิยาย ศพ ตอนที่ 510 ได้ยา

หลังฟังผมพูดจบ อาจารย์ก็เงียบไปพักหนึ่ง “หนีขึ้นเรือ ?” พอเห็นอาจารย์ท่าท่าทางไม่เข้าใจ ผมก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้าให้อาจารย์ฟังทีละเรื่องๆ

พอฟังจบ อาจารย์ก็คิดว่าน่าเสียดายมาก

เห็นอยู่ชัดๆว่าจะไล่ตามทันแล้ว แต่สุดท้ายเจ้าหมอนั่นกลับโชคดี เจอเรือแล้วหนีไปได้ บนบก พวกเรายังไล่ตามได้

แต่หากอยู่ในน้ํา พวกเราก็จนปัญญาจริงๆแล้ว

ถึงพวกเราจะเป็นคนปราบภูติผีฝ่ายธรรมะ และมีวิชาติดตัว หรือแม้แต่ใช้พลังได้ แต่หากหาคํามาอธิบายคนกลุ่มเรา มันก็ไม่ได้เก่งเว่อร์วังอะไรขนาดนั้น

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น พวกเราก็ไม่มีความสามารถลอยตัวบนผิวน้ํา

ถึงจะมี ก็ไม่ใช่คนระดับพวกเราที่จะแสดงออกมาได้

ผมน่ะว่ายน้ําเป็นก็จริง แต่มันไล่ตามไม่ทันแน่นอน ส่วนปู่หลิ่ว ก็ไม่ใช่สัตว์น้ํา เขาเองก็ไม่ค่อยได้ลงน้ําเท่าไหร่

เพราะทําอะไรไม่ได้ สุดท้ายเราเลยปล่อยให้เจ้าหมอนั่นหนีไปคาตา

หลังฟังจบ อาจารย์ก็พูดด้วยน้ําเสียงเสียใจเล็กน้อย “ เฮ้อ ! ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่ถึงฆาต ! ในเมื่อหนีไปแล้ว ก็ช่างเถอะ ตอนนี้พวกเราทําให้มันบาดเจ็บหนักได้ถึงสองครั้ง ถ้าวันข้างหน้ามัน ปรากฏตัวอีก เราก็ต้องจัดการมันได้แน่ๆ” พอได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็พยักหน้าเบาๆ

คราวนี้ปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปได้ เป็นอะไรที่น่าเสียดายมาก

แต่ถ้าอีกฝ่ายยังกล้าออกมาปรากฏตัวอีกครั้ง ผมจะไม่ทําให้มันหนีไปได้ง่ายๆแบบนี้อีกแน่นอน

ต่อจากนั้น อาจารย์ก็พูดกับผมว่า “ เสี่ยวฝาน นี่เป็นยาที่เก็บมาจากบนตัวสาวกสํานักสื่อเย่พวกนั้น

ถ้าไม่มีอะไรผิดไป มันน่าจะช่วยหยุดสภาพสัตว์พวกนั้นได้ อีกเดี๋ยวแกเอาเจ้านี่ไปให้เหล่า !

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็หยิบขวดยาหลายขวดออกมาจากกระเป๋า และในนี้ ก็มียาใส่เอาไว้

หลังผมลองนับดูแล้ว มียาอยู่ประมาณ 30 กว่าเม็ด มันน่าจะทําให้ท่านนักพรตต์ใช้ไปได้สักพักหนึ่ง

หลังเก็บของเรียบร้อยแล้ว ผมก็ประคองอาจารย์ให้ลุกขึ้น

ตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรให้ทําแล้ว พวกเราเลยไม่จําเป็นต้องอยู่ต่อ ดังนั้นหลังจากบอกลาพวกปู่หูลิ่วแล้ว

ผมก็ประคองอาจารย์ออกมาจากที่นั้นทันที

หลังประคองอาจารย์มาถึงบ้านแล้ว เดิมที่ผมคิดจะทําแผลให้อาจารย์ก่อน แต่กลับโดนอาจารย์ปฏิเสธ

เขาบอกให้ผมเอายาไปให้ท่านนักพรตต์ก่อน

ผมเห็นอาจารย์ท่าหน้าจริงจัง ผมจึงไม่ดึงดันจะทําต่อ ต่อจากนั้น ผมก็เอายานั่น ตรงไปที่ร้านไปจ่าว

ผ่านไปไม่นาน ผมก็มาถึงร้านไปจ่าว

ผมเคาะประตู EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq “ใคร”

“ฉันเองเหล่าเฟิง !”

“เหล่าติง ดึกขนาดนี้แล้ว นายยังมาทําไมอีก ?” เหล่าเฟิงพูด ในเวลาเดียวกันเขาก็เปิดประตูให้ผม

เหล่าเฟิงเปิดประตูออก เขาก็เห็นสภาพโทรมๆของผม ที่ใบหน้ามีผงดิน หรือแม้แต่บนตัวยังมีคราบเลือดอยู่

เหล่าเพิ่งเลิกคิ้วขึ้นทันที “เหล่าติง นาย นายเป็นอะไรไป?”

ผมและเหล่าเฟิงไม่ได้เกรงใจกันขนาดนั้น ผมเลยเดินเข้าไปแล้วพูดว่า “เอาสั้นๆนะ ในนี้มียา ควบคุมสภาพสัตว์อยู่ นายให้ท่านนักพรตตู๋กินหนึ่งเม็ด ทําให้เขากลับมามีสติก่อน !”

เฟิงเฉิวหานได้ยินคําพูดนี้ ก็เผยสีหน้าตกใจออกมาทันที “เหล่าติง ทําไมนายมียานี่ได้ ?”

หลังผมหยิบยาขวดเล็กๆออกมา ผมก็พูดว่า “ในตําบลของเรามีสาวกปีศาจสํานักสื่อเย่เข้ามาหลายคน……”

“อะไรนะ ? สาวกปีศาจ ?” เฟิงเฉิวหานถามด้วยสีหน้าตกตะลึง

ผมพยักหน้า “ใช่ สาวกปีศาจสํานักสื่อเย่ และยังมีท่านเทพเมื่อคืนด้วย……”

พอพูดมาถึงตรงนี้ บนหน้าเฟิงเฉิวหานก็มีค่าว่าตะลึงเขียนไว้ ดูเหมือนเขาจะไม่อยากเชื่อเท่าไหร่

แต่ผมไม่ได้เล่าอย่างละเอียด เพียงเล่าเรื่องคราวๆให้เขาฟังเท่านั้น

หลังเฟิงเฉิวหานฟังจบ ดวงตาก็เบิกกว้าง อดไม่ได้ที่สูดหายใจเข้า “ถ้า ถ้างั้น ยาเม็ดพวกนี้ ก็ได้มาจากสาวกปีศาจสานักสื่อเย่พวกนั้นนะซิ ?”

“ใช่ เอาไปให้ท่านนักพรตต์กันก่อนหนึ่งเม็ด ทําให้เขากลับมามีสติแล้วค่อยว่ากันเถอะ !” ผมพูดต่อ

เหล่าเฟิงสูดหายใจเข้า หันมามองหน้าผมอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็พยักหน้าให้ผมแรงๆหนึ่งครั้ง

ต่อจากนั้น ผมก็ตามเหล่าเฟิงเข้าไปในห้อง ทันใดนั้นผมก็เห็นท่านนักพรตต์กําลังนอนอยู่บนเตียง

ตอนนี้เขากําลังนอนหลับอยู่

ตัวของท่านนักพรตตู๋ ยังมีขนสัตว์จํานวนมากอยู่ กรงเล็บแหลมคมและอื่นๆอีก

เหล่าเฟิงบอกว่า เขาให้ท่านนักพรตตู้กินยานอนหลับเข้าไปเล็กน้อย ไม่อย่างงั้นท่านนักพรตตู๋ต้องตะโกนทั้งวันทั้งคืนแน่

ต่อจากนั้น เหล่าเฟิงก็เทน้ําหนึ่งแก้ว แล้วหยิบยาไปที่หัวเตียง

“อาจารย์ อาจารย์ !” เหล่าเพิ่งตะโกน ผลลัพธ์หลังจากเรียกไปได้สองสามครั้ง ท่านนักพรตตู๋ที่นอนหลับอยู่ ก็ตกใจตื่น ท่านนักพรตตู๋เพิ่งตื่นขึ้นมาเท่านั้น เขาก็ตื่นตาเร็วมาก พร้อมเผยม่านตาสัตว์ออกมาทันที เขามองเหล่าเพิ่งด้วยสีหน้าดุร้าย เผยเขี้ยวออกมา แล้วค่าราม “โฮกๆ” แบบนี้ หรือแม้แต่มือ เท้าของเขา ยังดิ้นไปมาไม่หยุดด้วย

เหล่าเฟิงถือยาและน้ําอยู่ ในเวลานี้พอเห็นท่านนักพรตตูดิ้นทุรนทุราย เขาก็พูดกับผมว่า “เหล่าติง จับอาจารย์ฉันเอาไว้ อ้าปากเขาออก ฉันจะเอายาให้เขากิน !” พอได้ยินคําพูดนี้ ผมก็ไม่รอช้ารีบเข้าไปทันที

“ท่านลุงตู้ ขอโทษด้วยนะครับ !”

หลังพูดจบ ผมก็ยื่นมือเข้าไป พยายามอ้าปากท่านนักพรตต์ และทําให้มันค้างไว้อย่างนั้น พอเหล่าเพิ่งเห็นแบบนั้น ก็เอายายัดเข้าไปในปากท่านนักพรตต์ทันที

จากนั้นก็เทน้ําตามลงไป พอเห็นท่านนักพรตต์กลืนยาเข้าไปแล้ว ทุกคนถึงหยุดทํา

ท่านนักพรตต์ที่กินยาเข้าไปแล้ว ยังคงดิ้นไม่หยุด และคําราม “โฮกๆ” อย่างต่อเนื่อง ถ้าฟังแค่เสียงมันไม่แตกต่างอะไรจากเสียงสัตว์เลยสักนิด
ต่อจากนั้น ผมและเหล่าเฟิงก็ยืนรออยู่ข้างๆด้วยความร้อนรน

เวลาค่อยๆผ่านไป หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที่ยาก็ออกฤทธิ์

เดิมที่ท่านนักพรตตู๋ยังดิ้นทุรนทุรายอยู่ แต่ในเวลานี้กลับสงบลงมาเยอะ

สิ่งที่สําคัญยิ่งกว่านั่นคือ พวกเราพบว่าขนบนตัวของเขา ตอนนี้กําลังเริ่มหลุดและหายไป

กรงเล็บที่เคยคมเหมือนใบมีด ก็ค่อยๆกลับมาเป็นมือคนอีกครั้ง

ดวงตาสัตว์คู่นั้น ก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นดวงตามนุษย์ กลับมาดูมีแจ่มชัดอีกครั้ง

พอเหล่าเฟิงเห็นมาถึงตรงนี้ เขาก็ดูดีใจมาก “อา อาจารย์ อาจารย์……”

หลังเหล่าเฟิงตะโกนออกไปสองสามครั้ง ในที่สุดท่านนักพรตตู๋ก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาดูเหมือนจะค่อนข้างอ่อนแรง ค่อยๆหันหน้ามามอง “เสี่ยว เสี่ยวเฟิง……”

หลังพูดจบ ท่านนักพรตตู๋ก็หันมามองผม “เสี่ยวฝาน !”

พอเห็นท่านนักพรตตู๋จําพวกเราได้ และเล็บกับม่านตากลับมาเป็นปกติแล้ว ผมก็มั่นใจในทันที

สภาพสัตว์ของท่านนักพรตตู๋หายไปแล้ว เขากลับมามีสติอีกครั้ง

“เหล่าเฟิง อาการของท่านนักพรตติคงที่แล้ว” ผมพูดด้วยความดีใจ

เพิ่งเฉวหานเองก็ค่อนข้างตื่นเต้น “อาจารย์ลําบากท่านแล้ว ผมจะแก้มัดให้อาจารย์เดี๋ยวนี้แหละ !”

เสียงเพิ่งเงียบลง เหล่าเฟิงก็เริ่มแก้มัดให้ท่านนักพรตต์ ผมเองก็เข้าไปช่วยเขาทันที

ผ่านไปไม่นาน เราก็ทําให้ท่านนักพรตต์กลับมามีอิสระอีกครั้ง

ต่อจากนั้น ก็ค่อยๆประคองท่านนักพรตต์ให้ลุกขึ้นนั่ง ตัวพิงที่หัวเตียง เห็นได้ชัดว่าเขาดูอ่อนล้ามาก

เขามองมือตัวเองที่กลับมาเป็นมือคนแล้ว จากนั้นก็พูดด้วยน้ําเสียงท้อถอย “เสี่ยวเฟิง อาจารย์คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะกลับมามีสติอีกครั้ง แต่ไม่รู้ว่า พวกเธอทําได้ยังไง ?”

เฟิงเฉิวหานที่ดูเย็นชามาโดยตลอด มีรอยยิ้มเปื้อนบนหน้าทันที “อาจารย์ เล่าไปมันยาว ทุกอย่างเป็นเพราะลุงติงกับติงฝานแล้วก็ยังมีเซียนจิ้งจอกอีกสองสามท่านช่วยกัน ถ้าไม่ใช่เพราะ พวกเขา อาจารย์ก็คงไม่ได้กลับมามีสติเร็วขนาดนี้ ! และเพราะเรื่องนี้ ลุงติงกับหูเหมยเลยได้รับบาดเจ็บ……”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset