ตอนที่ 487 สำนักอัครมหาเสนาบดีเสียสติไปแล้ว
ทุกคนในที่นี้ต่างก็เป็นนักวรรณกรรม
นักวรรณกรรมย่อมมีจิตวิญญาณของวรรณกรรมอยู่เต็มท้อง ยามสนทนาก็จะต้องนุ่มนวลสง่างาม ต่อให้ด่าทอก็จะต้องด่าทอด้วยท่าทีที่สงบใจเย็นและมิใช้วาจาสกปรกแม้แต่คำเดียว
แต่ฟู่เสี่ยวกวนที่เป็นนักวรรณกรรมที่เก่งกาจที่สุดในใต้หล้ากลับกล่าวออกมาอย่างคล่องแคล่วโดยมิเอ่ยถึงเหตุผลใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ประโยคที่พ่นออกมานั้นทำให้หวงจ้งต้องอ้าปากค้างตาโตอย่างตกตะลึง จนสมองของเขาขาวโพลนไปชั่วขณะ
ฝ่ายลงทัณฑ์ที่เหลือในยามนี้ต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกเขาเคยได้ยินชื่อเสียงที่โด่งดังของฟู่เสี่ยวกวนมาเนิ่นนานแล้ว
คนผู้นี้สวมหมวกผู้นำวรรณกรรมของใต้หล้า แต่กลับทำให้ชือเฉาหยวนอดีตเสนาบดีแห่งกรมพิธีการต้องกระอักเลือดออกมาถึงหกจิน ทั้งยังพ่นวาจาใส่ฮุ่ยชินอ๋องผู้ที่มีชื่อเสียงแห่งเมืองหลวงจนเป็นลมล้มพับไป และในท้ายที่สุดก็ตกอับเสียจนต้องออกไปจากเมืองหลวงด้วยสีหน้ามืดครึ้ม
คนผู้นี้ต่างก็เคยพ่นวาจาใส่ทั้งสองคน ทั้งสองคนนั้นต่างโชคร้ายเป็นอย่างมาก ตระกูลชือถูกถอนรากถอนโคนโดยสมบูรณ์แล้ว ฮุ่ยชินอ๋องถูกเนรเทศให้ไปอาศัยอยู่ในเขตหลิงหนานมิทราบว่าบัดนี้เป็นตายร้ายดีเยี่ยงไร
ในยามนี้เขาได้พ่นวาจาใส่หวงจ้งอีกครา จุดจบของท่านหวงในยามนี้ชักจะมิสวยเท่าใดเสียแล้ว !
ชื่อเสียงความโหดเหี้ยมของฟู่เสี่ยวกวนเลื่องลือไปไกล เจ้าหน้าที่แต่ละคนเริ่มสั่นเทาอย่างอดห้ามมิได้ คาดมิถึงว่าจะมิกล้าสบตามองฟู่เสี่ยวกวน เพราะกลัวว่าไฟนี้จะลุกลามมาเผาตนเอง
ดวงตาของเยี่ยนเป่ยซีเบิกกว้างราวกับกำลังประหลาดใจ แต่หากตั้งใจมองอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะพบว่าบนใบหน้าของเขานั้นมีรอยยิ้มที่มีเลศนัยแฝงอยู่ด้วย
ฝ่าบาทได้จดจ้องไปที่แผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวน แต่ในใจกลับเปี่ยมสุขราวกับดอกไม้บาน
ฉินฮุ่ยจือในครานี้มีความสำคัญเยี่ยงไร ฝ่าบาทและเยี่ยนเป่ยซีต่างก็เข้าใจดี เพียงยืนอยู่ในมุมมองของฝ่าบาท ฉินฮุ่ยจือในฐานะรองเสนาบดีกรมเมืองของสำนักอัครมหาเสนาบดีมีความเห็นต่อนโยบายใหม่ที่แตกต่างออกไป ก็มิอาจกล่าวว่าเขาไปเสียทั้งหมดได้ ท้ายที่สุดแล้วของสิ่งนี้แม้แต่ฮ่องเต้เอง ก็มิสามารถทำความเข้าใจได้ว่าผลลัพธ์ในตอนสุดท้ายจะดีหรือไม่
ดังนั้นพระองค์จึงมิได้คิดที่จะตำหนิฉินฮุ่ยจือ แต่อยากฟังว่าฟู่เสี่ยวกวนจะโต้แย้งกลับเยี่ยงไร แต่คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะโต้เถียงอย่างหยาบคายถึงเพียงนี้… เจ้าเด็กนี้ ดูเหมือนว่าจะต้องขัดเกลาเพิ่มอีกแล้ว !
ฉินฮุ่ยจือเองก็คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะหยาบคายต่อหน้าฝ่าบาทอย่างไรเหตุผลเยี่ยงนี้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และเอ่ยตำหนิเสียงดังว่า
“นี่คือสำนักอัครมหาเสนาบดี หาใช่กรมการค้าของท่านไม่ ! ท่านเป็นนักวรรณกรรมอันดับหนึ่งของใต้หล้า มีสถานะสูงส่ง ทั้งยังดำรงตำแหน่งเป็นอาจารย์แห่งสำนักศึกษาจี้เซี่ย นี่คือพฤติกรรมของผู้เป็นอาจารย์เยี่ยงนั้นหรือ ? เยี่ยงนี้แล้วจะแตกต่างจากพวกพ่อค้าปากร้ายข้างถนนตรงที่ใดกัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหันตัวกลับมามองฉินฮุ่ยจืออย่างช้า ๆ เขายังคงนั่งด้วยความสงบนิ่ง ใบหน้าเย็นชาได้จางหายไปแล้ว และได้มีรอยยิ้มน้อยผุดขึ้นมา
“ข้าเป็นสหายต่างวัยของพี่ชายฉินปิ่งจง พี่ชายฉินมีความรู้มากมายและมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ได้รับความเลื่อมใสจากข้าอย่างถึงที่สุด เดิมทีข้าคิดว่าบรรยากาศของตระกูลฉินนั้นควรจะเหมือนกับพี่ชายฉิน ถือวรรณกรรมเป็นหลักการ มีบทกวีเป็นมรดกสืบทอดของตระกูล บริหารบ้านเมืองอย่างตรงไปตรงมาและยุติธรรม… ข้ากลับหลงลืมไปว่าจวนฉินในเมืองหลวงนี้หาใช่เรือนของพี่ชายฉินของข้าไม่ ดังนั้นในยามนี้ข้าจึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าฉินที่เป็นอักษรตัวเดียวกัน เหตุใดจึงมีช่องว่างของความเป็นคนได้ใหญ่ถึงเพียงนี้กัน ! ”
“ท่านฉินแห่งตระกูลฉินและพี่ชายฉินแห่งตระกูลฉินนั้นมิเหมือนกัน ท่านฉินดำรงตำแหน่งเป็นรองเสนาบดีกรมเมืองของสำนักอัครมหาเสนาบดีมาเนิ่นนาน เดิมทีควรจะนั่งตัวตรงอย่างถึงที่สุด แต่ในยามนี้ข้าได้เข้าใจแล้วว่า ก้นของท่านฉินเป็นตัวกำหนดสมองใช่หรือไม่ นั่นมิได้เป็นการนั่งตัวตรงอย่างแน่นอน มิเช่นนั้น ท่านฉินจะตำหนิชายผู้นั้นที่ไร้มารยาท แต่เหตุใดท่านกลับสวมหมวกผู้ปากร้ายให้กับข้ากัน ท่านฉิน ท้ายที่สุดแล้วท่านกำลังคิดทำอันใดอยู่กันแน่ ? เหตุใดมิกล่าวมาตรง ๆ เล่า ! ”
ฉินฮุ่ยจือตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน หรือว่าเจ้าเด็กนี่จะเตรียมตัวมากัน ?
เขานั่งลงและจ้องมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน “นี่คือขั้นตอน ในเมื่อเจ้าหน้าที่ของฝ่ายลงทัณฑ์ฟ้องร้องท่าน ท่านย่อมต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง มิใช่ใช้อำนาจของท่านกลั่นแกล้งเจ้าหน้าที่ในที่แห่งนี้ ! ”
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ลุกขึ้นยืน ใบหน้าของเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาทันใด “ข้าต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองเยี่ยงนั้นหรือ ? อาศัยฝ่ายลงทัณฑ์โง่เง่ากลุ่มนี้ของท่านเยี่ยงนั้นน่ะหรือ ? ”
เหล่าเจ้าหน้าที่ของฝ่ายลงทัณฑ์ได้ยินดังนั้น ก็ได้คิดว่าฟู่เสี่ยวกวนต้องการปะทะกับฝ่ายลงทัณฑ์ทั้งหมดใช่หรือไม่ ?
ดังนั้น จึงมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทัณฑ์ผู้หนึ่งยืนขึ้นและเดินออกมา พร้อมกับกล่าวตำหนิว่า “อย่าคิดว่าตัวท่านเป็นขุนนางขั้นสามแล้วจะกล่าวหยาบคายเยี่ยงไรก็ได้ การทัดทานของเจ้าหน้าที่คือระเบียบของฝ่ายลงทัณฑ์ นี่คือคำอนุญาตจากฮ่องเต้ในอดีต คาดมิถึงว่าท่านจะกล้ากล่าวว่าพวกเราคือพวกโง่เง่า”
ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังกลับมา จ้องมองเจ้าหน้าที่ผู้นั้นด้วยสายตาดุดัน หลังจากนั้นก็ได้ยื่นมือออกไป “กล่าวว่าพวกเจ้าเป็นพวกโง่เง่ายังถือเป็นการยกยอพวกเจ้ามากนัก เลี้ยงสุนัขมันยังเข้าใจที่จะเฝ้าจวนให้ เลี้ยงพวกเจ้านอกจากจะก่อปัญหาเพิ่มแล้วยังมิได้ประโยชน์อันใดอีก ! ”
ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ก็แตกฮือขึ้นมาทันพลัน ฟู่เสี่ยวกวนกลับอาศัยจังหวะนี้เสียงดังเพิ่มมากขึ้น
“พวกเจ้าจงฟังข้าเอาไว้ให้ดี ! หากผู้ใดกล้าเอ่ยอันใดออกมาอีก ข้าจะโยนเจ้าต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาทให้ดู มิเชื่อก็ลองทดสอบดูได้ ! ”
ประโยคที่โหดเหี้ยมของฟู่เสี่ยวกวนปรามคนกลุ่มนี้ได้ในทันที เป้าหมายของเขาก็คือฉินฮุ่ยจือ แต่เยี่ยงไรแล้วคนกลุ่มนี้ก็มิพ้นเป็นกลุ่มคนที่ฉินฮุ่ยจือยืมมือมาเพื่อโจมตีเขา
ดังนั้นเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้จึงมิได้สำคัญอันใด มาโต้เถียงกับเจ้าหน้าที่เหล่านี้ ก็คงต้องโต้เถียงกันไปตลอดกาล !
แต่เยี่ยงไรเสียก็ยังมีคนที่หัวรั้นอยู่ ซึ่งที่โผล่มาคนแรกก็คือหวงจ้ง
“ข้ากลับอยากเห็น…”
ฟู่เสี่ยวกวนสาวเท้าปรี่เข้าไปหาเขาทันที และสะบัดมือตบเข้าไปที่ใบหน้าของเขาดัง “เพี๊ยะ… ! ” หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียง “โอ๊ย… ! ” เสียงร้องโอดโอยน่าเวทนาก็ดังขึ้นมา หวงจ้งยังมิทันจะได้กล่าวจบ ก็ถูกฟู่เสี่ยวกวนตบจนตัวลอย แล้วตกลงไปกับพื้นจนเลือดไหลอาบ
“เอาทหารมา นำคนผู้นี้โยนออกไปด้านนอกเสีย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนคำรามลั่น ขันทีเจี่ยที่ได้ยินดังนั้น ชายผู้นี้ในตอนนี้ช่างมิน่าประทับใจเอาเสียเลย ดังนั้นเขาจึงโค้งกายและวิ่งไปตามทางเล็ก ๆ ดึงหวงจ้งที่น่าเวทนาออกไปจากสำนักอัครมหาเสนาบดีแห่งนี้ และโยนลงไปบนพื้นหิมะจริง ๆ
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองยังเจ้าหน้าที่กลุ่มนั้นอีกคราและเอ่ยปากเตือนว่า “หากยังมีผู้ใดมิพอใจ ให้เอ่ยออกมาเสียบัดนี้ ! ”
เขาหันหลังกลับ และได้หันไปมองฉินฮุ่ยจือ
“ท่านฉิน กรมการค้านี้มิต้องให้ท่านมาชี้นิ้วสั่ง กรมการค้าต้องการใช้คนแบบใด ที่คือสิทธิ์อำนาจที่ฝ่าบาทมอบหมายให้ข้า หากท่านยังมิยอมแพ้ ข้าให้เวลาท่าน 1 เดือน ให้ท่านบรรยายกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้านี้ออกมาเป็นข้อ ๆ ให้ได้ แล้วข้าจะรีบออกไปในทันที”
เขาก้าวไปเบื้องหน้าสามก้าว และจ้องไปที่ฉินฮุ่ยจือเขม็ง “แต่หากท่านฉินทำมิได้ ก็อย่าได้คิดขัดขวางข้าอีก ! ”
“เจ้า เจ้า เจ้ามันเหิมเกริมเพราะมีคนหนุนหลัง อาศัยหนทางนอกกรอบจากที่ใดก็มิรู้มาใช้กับฝ่าบาท ตบตาท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ข้า…”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปเบื้องหน้าอีกสองก้าว และได้เอ่ยขัดฉินฮุ่ยจือขึ้นมาว่า “หนทางนอกกรอบเยี่ยงนั้นหรือ ? ท่านอยากให้ข้าทำอันใดที่เป็นหนทางนอกกรอบให้ดูเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ฉินฮุ่ยจือ อย่าได้คิดว่าตัวท่านเป็นถึงรองเสนาบดีกรมเมืองแล้วจะสามารถกล่าวไร้สาระเยี่ยงใดก็ได้ ท่านมีสถานะที่สูงส่งอยู่ในท้องพระโรง แต่ทราบหรือไม่ว่าราษฎรในราชวงศ์หยูมีอีกกี่คนที่มิมีเสื้อผ้าจะสวมใส่ มิมีอาหารพอให้กินจนอิ่มท้อง ท่านทราบหรือไม่ว่าแท้จริงแล้วผิงหลิงและชวูอี้เป็นพื้นที่แบบใดกันแน่ ? ”
“เป็นถึงขุนนางคนสำคัญของราชสำนักแต่กลับมิทราบถึงความทุกข์ยากของราษฎร ท่านมันมิเหมาะที่จะเป็นขุนนางอย่างแท้จริง ท่านมิทราบด้วยซ้ำว่าความยากจนของผิงหลิงและชวูอี้ตอนที่ท้องนภามิปลอดโปร่งมันเป็นเยี่ยงไร ที่ดินที่มีมิถึง 3 ลี้ คนที่มีเงินมิถึง 3 ส่วนนั้นมันเป็นเยี่ยงไร ท่านมิแม้แต่จะทราบด้วยซ้ำว่ามีอีกกี่สถานที่ในราชวงศ์หยูที่เป็นแบบนั้นเช่นกัน ! ”
“ฝ่าบาททรงงานอย่างหนัก เพื่อให้ราษฎรของราชวงศ์หยูได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะสามารถบรรลุนโยบายยี่สิบคำที่ตั้งไว้เมื่อต้นปีนี้ได้ ถึงได้มีการปฏิรูปทั่วแคว้น แต่ท่านกลับต้องการที่จะต่อต้าน กลับอยากให้ราษฎรในใต้หล้ายังคงเอาใจออกห่างจากฝ่าบาทเพราะความยากจนข้นแค้น…”
“ฉินฮุ่ยจือ ท่านเลิกใช้ความพยายามที่คิดจะขัดขวางนโยบายใหม่เถิด ข้าอยากเอ่ยถามท่านสักหนึ่งคำ แท้จริงแล้วองค์ชายสี่ให้ประโยชน์อันใดกับท่านกัน ? ”