เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกโล่งใจ แล้วถามด้วยความสงสัย
“นายทำยังไงเหรอ”
ซางเจี้ยนเย่าอธิบายให้ฟังว่าตนเองแปลงร่างเป็น ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ได้อย่างไร ‘สร้าง’ โรงพยาบาลได้อย่างไร ‘ผลิต’ ห้องผู้ป่วยจำนวนมาก แพทย์จำนวนมาก และยาจำนวนมากขึ้นมาได้อย่างไร
ถึงแม้เจี่ยงไป๋เหมียนคิดว่าตัวเองเคยพบเคยเห็นเรื่องราวมาไม่น้อย แต่นี่ก็ยังเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเธออยู่ดี
เธอนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา
“จินตนาการนายนี่มันช่างบรรเจิดเสียจริงเชียว…”
เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์พวกนั้นก็ทำให้เธอทั้งรู้สึกขบขัน เหลวไหล และบ้าคลั่งอย่างยากจะปกปิดซุกซ่อนไว้ได้
นี่ขนาดว่าเป็นแค่เพียงจินตนาการเท่านั้น หากว่าเธอเห็นด้วยตาตนเองจริงๆ เกรงว่าจิตใจเธอคงถูกมลพิษปนเปื้อนเข้าให้แล้วล่ะ
“ถ้า ‘คนป่วย’ พวกนั้นมีสติรับรู้ละก็ น่าจะกลัวนายจนเผ่นเตลิดกันไปหมดแล้ว…” เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงความคิดเห็นของตนออกมาประโยคหนึ่ง และอดถามคำถามไร้สาระออกมาไม่ได้ “ไหงนายถึงมีความคิดแบบนี้ออกมาได้ล่ะ”
“ก็หัวหน้าบอกว่าต้องมีการรวมกลุ่มที่เข้มแข็ง ต้องมีการประสานงานและความร่วมมือกันในแต่ละด้านที่จำเป็น เหมือนกับที่บริษัทมี
“โลกแห่งจิตวิญญาณน่าจะคล้ายกับโลกแห่งความฝัน สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้โดยอาศัยความมุ่งมั่นพลังใจของตัวเองได้ อืม… นั่นแหละคือสิ่งที่ผมคิด” ซางเจี้ยนเย่าตอบตามความสัตย์
โลกแห่งจิตวิญญาณจะแปลกประหลาดอัศจรรย์ไปบ้างก็เป็นเรื่องปกตินี่
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะทั้งน้ำตา
“ที่ฉันพูดแบบนั้น ด้านหนึ่งก็เพื่อให้นายมีความมั่นใจขึ้น อีกด้านก็เพื่อจะบอกว่ารอไว้ให้กลับไปถึงบริษัทเมื่อไหร่ก็จะคิดหาวิธีส่งนายไปตามโรงพยาบาล ห้องวิจัย แล้วก็โรงงานยาน่ะ
“นี่จะทำให้นายได้พบได้เห็นผู้คนในแต่ละที่ ดูกรรมวิธีต่างๆ ที่ใช้ต่อสู้กับความเจ็บป่วย ให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่รักษาให้หายได้ยังไง ให้เห็นว่าคนส่วนน้อยที่รักษาไม่หายนั่นเป็นเพราะอะไร
“เมื่อนายมีความเข้าใจมากพอเกี่ยวกับความเจ็บไข้ได้ป่วยต่างๆ มีความเข้าใจโดยพื้นฐานว่าผู้คนในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเขาทำอะไรกันบ้าง รวมถึงพวกข้าวของอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่ทำขึ้นมา ฉันคิดว่าแบบนี้ความกลัวในใจของนายน่าจะลดลงไปอีกมาก
“ความกลัวนั้นมาจากความไม่รู้”
แต่ผลก็คือหมอนี่กลับแปลงร่างเป็นบริษัท สร้างโรงพยาบาล และมีซางเจี้ยนเย่าจำนวนมหาศาลแสดงบทบาทเป็น ‘กองทัพ’ ของหมอและยาไปต่อสู้กับโรค ซึ่งคนปกติทั่วไปไม่มีทางคิดแบบนี้ออกมาได้อย่างแน่นอน
“แต่ก็ได้ผลอยู่นะ” ซางเจี้ยนเย่าแสดงทีท่าว่าเขายังจะทดลองตามแนวทางนี้ต่อ “อย่างน้อยผมก็ต้านทานได้นานกว่าก่อนหน้านี้”
เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจอย่างจนใจ
“งั้นก็ทำไปพร้อมๆ กันก็แล้วกัน”
ตอนนี้เพิ่งจะเลยเที่ยงวัน เธอเหลือบมองท้องฟ้าด้านนอกแล้วพูดขึ้น
“ในเมื่อตอนนี้ก็ว่างอยู่ งั้นไปห้องสมุดกันหน่อย จะได้ไปลองหาพวกหนังสือเกี่ยวกับโรคสักสองสามเล่ม เข้าใจให้มากขึ้นก็ไม่เสียหลาย”
เธอไม่ได้บอกว่าจะไปแจ้งผลการสอบปากคำกลับไปยังบริษัท ประการแรกก็คือต้องรอให้สวี่ลี่เหยียนพิจารณาว่าต้องการจะสร้างความสัมพันธ์ที่เอื้อประโยชน์ร่วมกันหรือไม่ ประการที่สองคือไป๋เฉินนั้นจ่ายเงินค่าเครื่องรับส่งสัญญาณโทรเลขไร้สายประกอบเองไปแล้ว รออีกสองสามวันพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องรายงานผ่านทางเฉินซวี่เฟิงแล้ว
แต่แน่นอนว่าทรัพยากรบางอย่างก็ยังคงต้องได้รับผ่านทางผู้รับผิดชอบเครือข่ายข่าวกรองท้องถิ่นอยู่ดี
ส่วนปัญหาเรื่องที่ว่าการที่ไม่ได้เป็นพลเมืองของเมืองนี้ หรือเป็นนักล่าซากอารยะที่มีระดับชั้นยังไม่ถึงนักล่าทางการขึ้นไปแล้วจะไม่สามารถยืมหนังสือได้นั้น เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย
ในฐานะพี่น้องของเจ้าเมืองสวี่ลี่เหยียนนั้น ซางเจี้ยนเย่าก็ถือเป็นพลเมืองที่มีใบอนุญาตแล้ว!
* * * * *
เมืองหญ้าไพรนั้นยังคงให้ความสำคัญกับห้องสมุดสาธารณะเป็นอย่างยิ่ง กระจกที่แตกจากการระเบิดครั้งก่อนถูกเปลี่ยนใหม่หมดแล้ว พื้นที่ไหม้เกรียมก็ทาสีขาวทับไว้ ผนังที่เสียหายก็กำลังซ่อมแซมอยู่
ศาลาว่าการเป็นผู้จัดการเรื่องนี้โดยตรงโดยออกเป็นภารกิจในสมาคมนักล่า ซึ่งนักล่าที่รับภารกิจนี้มาทำนั้นค่อนข้างมีประสิทธิภาพและเป็นมืออาชีพมาก
หลังจากสอบถามไปชุดหนึ่ง เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยืนยันได้ว่านักล่าเหล่านี้คือกลุ่มช่างก่อสร้าง โดยปกติแล้วจะไม่รับภารกิจจำพวกการผจญภัยหรือสำรวจ ทำเพียงแค่ภารกิจภายในเมืองเท่านั้น
เจี่ยงไป๋เหมียนอดรู้สึกไม่ได้ว่าประเพณีวัฒนธรรมของชาวเมืองหญ้าไพรนั้นแตกต่างไปจากที่อื่น และไม่อาจแยกออกมาจากสมาคมนักล่าได้
ในขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนักล่าซากอารยะของเธออีกด้วย
นอกเหนือไปจากสายงานของนักผจญภัย นักโบราณวัตถุ นักวิจัย นักสืบจากกองกำลังใหญ่ พ่อค้าข่าว โจรแดนร้าง นักคุ้ยขยะ และทหารรับจ้างแล้ว นักล่าซากอารยะก็ยังมีสายงานใหม่ๆ อีกมากมาย อย่างเช่น ช่างก่อสร้าง คนทำความสะอาด นักสืบชั้นสาม พนักงานส่งของ และอาจารย์เฉพาะกิจ
“นี่มันแทบจะครอบคลุมไปทุกด้านแล้วนะเนี่ย สมาคมนักล่าในเมืองหญ้าไพรนี่เทียบเท่ากับตลาดแรงงาน สำนักงานจัดหางาน รวมไปถึงเวทีประมูลด้วย…” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจกับซางเจี้ยนเย่า
ขณะที่พูดเธอก็ดึงหนังสือการต่อสู้กับโรคภัยในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติออกมา แล้วก็แปลกใจที่เห็นคนคุ้นเคยอยู่อีกฝั่งของชั้นวางหนังสือโดยบังเอิญ
เขาคือ ‘นักล่าชั้นสูง’ โอดิค ที่ชอบสวมเสื้อขนสัตว์สีดำ
“คุณมายืมหนังสือเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าเดินอ้อมชั้นหนังสือไปแล้วพูดทักทายเขาอย่างกระตือรือร้น
นี่คือพี่น้องกัน
โอดิคผงกศีรษะให้เล็กน้อย เหลือบมองเจี่ยงไป๋เหมียนที่เดินตามมา
“ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองมีความรู้น้อยเกินไป”
จมูกเขายังแดงอยู่บ้างเล็กน้อย
“อ่านให้มากขึ้นก็เป็นเรื่องที่ดี การ ‘ต่อต้านการศึกษา’ จะทำให้ง่ายที่จะหลงผิดจนติดคุก” เจี่ยงไป๋เหมียนนึกถึง ‘บาทหลวง’ ปลอมที่กำลังติดคุกอยู่
เมื่อพูดถึง ‘นิกายทอนปัญญา’ ซางเจี้ยนเย่าก็ถามด้วยความเป็นห่วงทันที
“คุณยังจามอยู่อีกเหรอ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไรก็ทำให้โอดิครู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะสิ่งที่เขาสละไปนั้นกลับกลายเป็นจุดอ่อนร้ายแรง
และที่ทำให้เขาอับอายมากยิ่งขึ้นก็คือเจี่ยงไป๋เหมียนตบบ่าซางเจี้ยนเย่าแล้วพูดขยี้เข้าไปอีก
“พูดอะไรของนาย!
“การพูดถึงสิ่งที่ผู้ตื่นรู้ ‘สละ’ ไปต่อหน้าต่อตาเขาเนี่ย มันอันตรายขนาดไหนรู้ไหมยะ นี่เป็นเพราะโอดิคเป็นคนดีหรอกนะ นี่ถ้าหากว่าเป็นผู้ตื่นรู้คนอื่นละก็ พวกเขาคงวางแผนเชือดนายทิ้งไปแล้ว”
เธอคิดว่าพูดออกมาแบบนี้แล้วจะทำฉันเลิกล้มความอยากฆ่าคนได้หรือไง… โอดิคแอบเสียดสีอยู่ในใจ
แต่เขาก็เข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าการแสดงเมื่อครู่ของเจี่ยงไป๋เหมียนนั้นมีนัยอะไรแฝงอยู่
“พวกเราเป็นพี่น้องกัน” ซางเจี้ยนเย่าย้ำ “ผมกำลังคิดว่าจะช่วยเขาได้ยังไง”
เจี่ยงไป๋เหมียนมองโอดิคแล้วแกล้งทำเป็นครุ่นคิด
“ก็ไม่ถึงกับไม่มีวิธีหรอกนะ”
คุณคิดว่าฉันจะใช้คำพูดบีบบังคับให้คุณรู้สึกไม่พอใจจนเกิดจิตสังหารอยากจะฆ่าฉันขึ้นมางั้นเหรอ
ไม่มีทาง ฉันจะเป็นคนชักจูงหัวข้อสนทนาเอง!
โอดิคเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะถามออกมา
“วิธีอะไร”
“ฉันรู้ว่าสิ่งที่ผู้ตื่นรู้ได้สละไปนั้นไม่ได้แก้กันง่ายๆ ต่อให้การดมกลิ่นของคุณผิดปกติใช้การไม่ได้ ดมอะไรก็ไม่ได้กลิ่น แต่เมื่อใดก็ตามที่กลิ่นของสิ่งของชนิดนั้นๆ เข้าสู่ร่างกายคุณ มันก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาอย่างรุนแรงอยู่ดีนั่นแหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างยิ้มแย้ม “แต่ว่าเราสามารถลดผลกระทบของเรื่องนี้ได้ อย่างเช่น การสกัดกั้นทางกายภาพโดยใช้ชุดเกราะเสริมแรงทางทหาร หรือสวมหน้ากากกันแก๊สพิษ แล้วใช้ออกซิเจนที่ผลิตจากเครื่องช่วยหายใจแทน ถ้าใช้วิธีนี้ แม้แต่แก๊สพิษก็ยังทำอันตรายคุณไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับกลิ่นฉุนธรรมดา”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าโอดิคยังคงเป็นเช่นเดิม แสดงให้เห็นว่าเขาเคยพิจารณาตัวเลือกแบบนี้ไว้นานแล้ว เธอจึงพูดต่อด้วยรอยยิ้ม
“แต่นี่เป็นเพียงการแก้ปัญหาแบบรักษาไปตามอาการเท่านั้น ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ ไม่ว่ายังไงคุณก็ไม่สามารถสวมเกราะกระดูกเสริมแรงไว้ได้ตลอดเวลา
“วิธีที่ง่ายกว่านั้นก็คือเปลี่ยนจมูก เปลี่ยนไปใช้จมูกจักรกลแทน
“การทำงานหลักคือกรองแก๊สให้ได้ก็พอ ไม่ต้องมีฟังก์ชันอะไรมากมาย และถ้าคุณมีวิธีการมีช่องทาง ก็สั่งซื้อรุ่นที่มีความสามารถสูงขึ้นอีกก็ได้ อย่างเช่นเพิ่มฟังก์ชันการจดจำกลิ่นอัจฉริยะ พูดสั้นๆ คือ เป้าหมายเพื่อต้องการกรองโมเลกุลของกลิ่นเปรี้ยวไม่ให้เข้าไปในร่างกาย
“โดยพื้นฐานแล้ว นี่ก็คือการสกัดกั้นทางกายภาพชนิดหนึ่งนั่นเอง แต่ประสิทธิภาพไม่ดีเท่าหน้ากากกันแก๊ส ยิ่งกว่านั้นก็คือมันอาจทำให้รูปลักษณ์ของคุณเสียหายไปไม่น้อย”
โอดิคแปลกใจอยู่บ้างเมื่อได้ยินเช่นนี้ รู้สึกว่าหญิงสาวเบื้องหน้าเขานั้นพูดราวกับการดัดแปลงร่างกายมนุษย์เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ได้รู้สึกฝืนใจอะไรเลย
ถึงแม้จะเป็นแดนธุลีที่สับสนวุ่นวาย แต่เรื่องนี้ก็ยังคงฟังดูเสียสติมากอยู่ดี ราวกับแฟรงเกนสไตน์ในตำนานของโลกเก่า
“พวกเราเป็นคนประเภทเดียวกันจริงๆ” ซางเจี้ยนเย่ามองดูเจี่ยงไป๋เหมียนแล้วแสดงความเห็นอย่างพอใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนกลอกตาใส่ซางเจี้ยนเย่าแล้วพูดต่อ
“นี่ก็คือพลังแห่งเทคโนโลยี
“อืม… สิ่งที่คุณสละไปนั้นหลีกเลี่ยงได้ค่อนข้างง่าย คุณสามารถใช้วิธีการพวกนี้เพื่อลดผลกระทบได้ แต่ว่าการสละของบางคนนั้น…”
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้เธอก็เหลือบมองซางเจี้ยนเย่า
“หมดทางช่วย”
โอดิคใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดออกมาอย่างช้าๆ
“ผมจะเก็บไว้พิจารณา”
ตอนนี้ในใจเขาเริ่มหวั่นไหวบ้างแล้ว
ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งเจอกับสถานการณ์ที่สูดกลิ่นเปรี้ยวเข้าไปแล้วจามจนทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ลดลง ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถูกเปิดเผยสิ่งที่สละไปจนทำให้คนอื่นรู้เรื่องนี้กันหรอก แต่ด้วยพลัง ‘นิทรารมณ์’ อันน่าหวาดหวั่น เขาจึงไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังเลยสักครั้ง ดังนั้นเมื่อเขาครุ่นคิดถึงวิธีแก้ปัญหา จึงทำให้เขาปฏิเสธวิธีดัดแปลงร่างกายโดยอัตโนมัติ ไม่เคยคิดถึงแนวทางนี้มาก่อน
ทว่าในตอนนี้ที่เขาถูก ‘บาทหลวง’ ปลอมหมายหัวเอาไว้ กลับถูกจัดการจนสิ้นท่าไปในพริบตาเดียว กลายเป็นบทเรียนที่แสนเจ็บปวด รู้สึกได้ว่าต้องรีบแก้ไขผลด้านลบของสิ่งที่สละไปโดยเร็วที่สุด
หลังจากตอบคำแล้ว โอดิคก็มองซางเจี้ยนเย่าแล้วพูดอย่างครุ่นคิด
“สิ่งที่คุณสละน่าจะเกี่ยวข้องกับความคิดหรือจิตใจสินะ
“ผมยังมองออกเลยว่าความคิดคุณกระโดดไปมามาก บางครั้งก็ควบคุมตัวเองไม่ได้
“เรื่องนี้ไม่เป็นผลดีในชีวิตประจำวันสักเท่าไหร่ แต่ในการต่อสู้ระหว่างผู้ตื่นรู้ นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป ก็เหมือนตอนที่เจอกับการ ‘สะกดจิต’ ตอนนั้น ความคิดที่กระโดดไปมาของคุณไปขัดจังหวะขั้นตอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือจะพูดว่าการ ‘สะกดจิต’ คุณนั้นยากกว่าการ ‘สะกดจิต’ ผู้ตื่นรู้คนอื่นในระดับเดียวกันหลายเท่าเลยก็ได้
“ก่อนหน้านี้ผมเคยเจอผู้ตื่นรู้บางคน พวกเขาพูดสิ่งที่ตัวเองสละออกมาในเชิงบวก อืม… ไม่ใช่ว่าสิ่งที่สละทุกอย่างนั้นจะสามารถใช้ในเชิงบวกได้หรอกนะ อย่างที่การสละของผมก็คือแพ้กลิ่นเปรี้ยวน่ะ”
ในเมื่อคนทั้งคู่ต่างก็รู้จุดอ่อนร้ายแรงของตัวเองไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงปัญหาเรื่องนี้อีก
“ทำให้ผมยิ่งอยากเจอ ‘บาทหลวง’ ตัวจริงมากขึ้นอีก” ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้กังวลเกี่ยวกับการสละของตนแม้แต่น้อย
เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปรอบๆ และยุติการสนทนาในหัวข้อนี้
“คุณรู้ไหมว่าพวกเราจะหาอาวุธควบคุมได้จากที่ไหน อย่างเช่นชุดเกราะกระดูกเสริมแรงทางทหารที่เพิ่งพูดไปเมื่อครู่น่ะ”
โอดิคครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“ถ้าพวกคุณไปถึงปฐมนคร ผมก็พอจะให้รายชื่อคนที่จะติดต่อได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จหรอกนะ
“ส่วนในเมืองหญ้าไพรนี่ พวกคุณลองไปติดต่อเถ้าแก่ไนต์คลับ ‘วันนี้’ ที่ชื่อซุนเฟย เขาเป็นผู้นำของกลุ่มตลาดใต้ดินน่ะ
“อืม… เขาอาจจะเกี่ยวข้องกับ ‘นิกายจิตกระจ่าง’”
“ตกลง” เจี่ยงไป๋เหมียนเคยได้ยินไป๋เฉินพูดถึงคนที่มีฉายาว่า ‘ลุงซุน’ มาแล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียนยังคิดอยู่ว่าจะมีโอกาสเพิ่มความแข็งแกร่งให้หลงเยว่หงได้ไหม
หลังจากขอยืมหนังสือเสร็จเธอก็ออกจากห้องสมุด และมาถึงริมขอบของจัตุรัสกลาง ทันใดนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันตาค้างไปในทันที
หลงเยว่หงยืนอยู่ด้านหน้ากลุ่มคนชายหญิง บ้างผอมแห้งบ้างกำยำ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังสาธิตการต่อสู้ประชิดตัวให้ดู
“ทำอะไรของเขากันเนี่ย” เจี่ยงไป๋เหมียนถามออกมาอย่างแปลกใจ
* * * * *
หลังจากสอนจบไปรอบหนึ่ง หลงเยว่หงก็เดินเข้าไปหาไป๋เฉิน หยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาซับเหงื่อที่หน้าผาก
“หลังจากการจลาจล ทุกคนก็กระตือรือร้นมีใจอยากฝึกฝนตนเอง พัฒนาทักษะการต่อสู้ของตัวเอง…” เขาถอนใจออกมาจากใจจริง
ไป๋เฉินเงียบไปอึดใจก่อนจะเอ่ยปากถาม
“ทำไมนายถึงรับภารกิจเป็น ‘โค้ชเฉพาะกิจ’ นี่ล่ะ”
หลงเยว่หงรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย
“ก็แบบว่า… ฉัน… ฉันก็แค่คิดว่า ทุกคนเป็น ‘นักล่าทางการ’ กันหมดแล้ว ส่วนฉันยังเป็นแค่ ‘นักล่ามือใหม่’ อยู่เลยน่ะ จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปก็คงไม่ได้”