เจอคำพูดของซางเจี้ยนเย่าเข้าไป ทำเอาหลงเยว่หงถึงกับอึ้ง ได้แต่พูดอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อสักเท่าไร
“นายไม่รู้สึกว่าคำอธิบายของตัวเองมันดูโม้ไปหน่อยเรอะ”
“ก็ไม่นะ พวกเขาก็เป็นมนุษย์นี่นา” ซางเจี้ยนเย่าเริ่มยกตัวอย่าง “นายคิดว่าคนคนหนึ่ง ถ้าเขาเพียงแค่ไม่มีจมูก ไม่มีหู ไม่มีเปลือกตา แล้วจะดูน่ากลัวหรือไง”
หลงเยว่หงนึกภาพตามแล้วพยักหน้า
“น่ากลัวสิ”
ซางเจี้ยนเย่าเหมือนเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเขากับสหายนั้นมีช่องว่างระหว่างวัยที่ห่างกันเกินไป ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนตัวอย่างใหม่
“นายคิดว่าคนคนหนึ่งจะดูน่ากลัวก็เพราะว่าเขาสูงแค่ 175 มีหน้าตาธรรมดา ผลการเรียนก็แค่กลางๆ เท่านั้นหรือเปล่า”
ตอนนี้หลงเยว่หงไม่รู้ว่าซางเจี้ยนเย่ากำลังยกตัวอย่างอย่างจริงจัง หรือว่ากำลังพูดเยาะเย้ยตามปกติวิสัยกันแน่ ได้แต่พูดออกมาด้วยความโมโหระคนขบขัน
“นี่มันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะ”
“พอแล้ว!” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบห้ามทัพ ‘การทะเลาะ’ ระหว่างคนทั้งคู่ พลางหาวออกมา “ครึ่งคืนแล้ว ไปนอนกันต่อเถอะ”
“หัวหน้าไม่กลัวว่ามนุษย์ชั้นรองนั่นจะพาพวกย้อนกลับมาเหรอ” หลงเยว่หงรู้สึกว่าควรต้องเฝ้าระวังไว้ก่อนจนกว่าจะรุ่งสาง
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม
“ใช้ได้ ใช้ได้ รู้จักมีความระวังตัวเพิ่มมากขึ้น
“ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นเขตศูนย์กลางของชุมชนศิลาแดงก็เถอะ แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะถูกจู่โจมรุนแรงโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า แต่เนื่องจากสถานการณ์ของที่นี่มันซับซ้อนกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะ ทั้งคนภาษาธุลีเอย คนแม่น้ำแดงเอย พ่อค้าคนนอกเอย นักล่าซากอารยะเอย มนุษย์ชั้นรองเอย นิกายตื่นตัวเอย ‘นาวาบาดาล’ เอย… ฮ่าๆ นี่มันรวมมิตรเหมือนคาราวาน ‘คนไร้ราก’ เลยแฮะ ดูท่าแล้วการเฝ้ายามกลางคืนนี่คงต้องทำแล้วล่ะ
“แต่ว่าไม่ต้องตึงเครียดมากนักหรอก แต่ละกะมีคนเฝ้าแค่คนเดียวก็พอแล้ว คอยสังเกตว่ามีอะไรเคลื่อนไหวใหญ่ๆ หรือเปล่าเท่านั้นก็พอ”
“ทราบแล้ว หัวหน้า!” หลงเยว่หงตอบรับทันที
* * * * *
เช้าวันรุ่งขึ้น สมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ เข้าไปในชุมชมศิลาแดงอย่างกระฉับกระเฉงเหมือนทุกที แต่ก่อนที่พวกเขาจะไปพบกับพ่อบ้านตระกูลดิมาร์โก้ก็แวะเข้าไปที่สำนักงานรักษาความสงบสาธารณะอีกครั้งเสียก่อน
“เมื่อคืนพวกคุณเจออะไรเข้างั้นเหรอ” หานวั่งฮั่วถามออกมาตรงๆ
เขาไม่ได้ปิดบังข้อเท็จจริงที่ว่าชุมชนศิลาแดงมีการเฝ้าสอดส่องบริเวณย่านที่พักโรงแรมด้วย
เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งสวมหน้ากากหลวงจีนรูปงามฟังแล้วก็ยิ้ม
“ฉันกำลังคิดอยู่พอดีว่าจะเริ่มพูดเรื่องนี้ยังไงดีถึงจะไม่ดูกระโตกกระตากเกินไป แล้วก็อยากจะถามด้วยว่ามนุษย์ชั้นรองที่ดูเหมือนปลานั่นมาจากไหน”
“ตอนกลางคืนพวกเขาร้องเพลงกล่อมเด็กด้วยหรือเปล่า” ซางเจี้ยนเย่าถามเพิ่มอย่างกระตือรือร้น
ตอนแรกหลงเยว่หงรู้สึกว่าคำถามฟังดูทะแม่งชอบกล ทว่าเมื่อลองคิดดูก็เข้าใจได้
ซางเจี้ยนเย่านั้นเชื่อมโยงเรื่องเล่าของสัตว์ประหลาดที่มีหัวเป็นคนตัวเป็นปลาซึ่งร้องเพลงได้ไพเราะจากนิยายที่ออกอากาศทางวิทยุเข้ากับมนุษย์ชั้นรองซึ่งกลายพันธุ์จนดูคล้ายปลา
แต่ทำไมถึงเรียกว่าเป็นเพลงกล่อมเด็กไปได้ล่ะ… นี่คือสิ่งที่หลงเยว่หงไม่เข้าใจ
หานวั่งฮั่วยิ่งฟังก็ยิ่งมึนงง จึงเลิกสนใจคำถามของซางเจี้ยนเย่าไปเสียดื้อๆ พูด “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“นั่นคือมนุษย์ชั้นรองที่อาศัยอยู่บนเกาะในทะเลสาบพิโรธ โดยปกติพวกเราจะเรียกพวกเขาว่ามนุษย์มัจฉา”
ไป๋เฉินหวนนึกถึงพวกมนุษย์ชั้นรองในเมืองหนูดำ จึงไม่ได้รู้สึกสงสัยเกี่ยวกับชื่อที่ชุมชนศิลาแดงตั้งให้
หานวั่งฮั่วพูดต่อ
“มนุษย์ชั้นรองพวกนี้แต่เดิมนั้นเป็นชาวประมงที่อาศัยอยู่ในละแวกทะเลสาบ ในตอนที่โลกเก่าถูกทำลายนั้น เนื่องจากผลกระทบทางมลพิษในบางพื้นที่กับแหล่งน้ำบางแห่งจึงทำให้พวกเขากลายสภาพ ค่อยๆ กลายมาเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ”
เมื่อฟังมาถึงจุดนี้ หลงเยว่หงก็ถามด้วยความสงสัย
“ทำไมพวกเขาถึงกลายสภาพในลักษณะเดียวกันเลยล่ะ”
นี่มันฟังไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหร่!
นี่ไม่ใช่การทดลองปฏิกิริยาเหนี่ยวนำการกลายพันธุ์ซึ่งมีการควบคุมกลุ่มตัวอย่างทดลองอย่างเข้มงวดเสียหน่อย
หานวั่งฮั่วเหลือบมองเจี่ยงไป๋เหมียน เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้พูดอะไรเขาจึงอธิบายอย่างง่ายๆ ให้ฟัง
“ที่จริงแล้วก็มีการกลายสภาพหลายอย่างแหละ แต่ส่วนใหญ่ผ่านไปไม่กี่วันไม่กี่เดือนก็ตายกันไปหมด
“พวกกลุ่มที่เหลืออยู่ มนุษย์มัจฉาเป็นสายพันธุ์ที่เหมาะสมที่สุดในสภาพแวดล้อมของทะเลสาบพิโรธ สามารถสืบพันธุ์ได้ สามารถดำน้ำได้ลึกมากจนไปถึงกระแสน้ำที่ไม่ถูกปนเปื้อนด้วยมลพิษ ได้รับอาหารจากทะเลสาบได้อย่างพอเพียง จากนั้นก็ค่อยๆ กลายมาเป็นหนึ่งในสองของเชื้อสายหลัก นอกจากพวกเขาแล้วก็ยังมีปีศาจภูเขา ส่วนเชื้อสายอื่นๆ ก็ไม่รู้ว่าสูญพันธุ์ไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ปีศาจภูเขา…” เจี่ยงไป๋เหมียนสะดุดกับคำศัพท์อีกคำหนึ่ง
หานวั่งฮั่วชี้ไปทางทิศเหนือ
“พวกคุณไปโบสถ์มาแล้วไม่ใช่เหรอ
“ไกลออกไปทางเหนือมีเทือกเขาอยู่เทือกหนึ่ง ที่นั่นก็มีมนุษย์ชั้นรองอีกสายพันธุ์หนึ่งอยู่เหมือนกัน ดูแล้วค่อนข้างธรรมดาเป็นปกติมากกว่ามนุษย์มัจฉา ผิวหนังเป็นสีน้ำเงิน ฟันแหลมคมมาก ปีนหน้าผาคล่องแคล่วง่ายดายเหมือนกับที่พวกเราเดินอยู่บนถนนที่ทรุดพัง”
เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยความสนใจ
“ทำไมพวกเขาถึงไม่ถูกธรรมชาติกำจัดทิ้งจนทำให้พื้นที่เขตนี้เหลือแค่เพียงสายพันธุ์เดียวล่ะ”
หานวั่งฮั่วเองก็ไม่ค่อยมั่นใจ
“ผมไม่รู้เหมือนกัน
“ผมไม่ได้เป็นนักวิชาการในด้านนี้”
เขานึกทบทวนแล้วพูดต่อ
“ชาวชุมชนศิลาแดงบอกผมเพียงแค่ว่าคนพวกนี้แข็งแกร่งขนาดไหน ต้องรับมือยังไง ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ แต่สมัยตอนที่ผมยังเป็น ‘นักล่าซากอารยะ’ อยู่นั้น เคยรับภารกิจคุ้มครองนักวิจัยจาก ‘ปฐมนคร’ เขาบอกผมว่าปีศาจภูเขานั้นทนทานต่อมลพิษได้สูงมาก…”
เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจทันที เธอหยิบกระดาษปากกาออกมาจากกระเป๋าแล้วจดบันทึกลงไป
นี่ทำให้หานวั่งฮั่วมองอย่างตะลึง พูดออกมาอย่างลังเล
“ผมรู้สึกอยู่ตลอดว่าพวกคุณไม่ค่อยเหมือนนักล่าซากอารยะแบบบริสุทธิ์สักเท่าไหร่ แต่คล้ายกับพวกนักวิจัยนักสำรวจเสียมากกว่า”
ขณะที่เขาพูดก็เหลือบมองซางเจี้ยนเย่าแวบหนึ่ง
จิตใต้สำนึกเขาเขี่ยหมอนี่ออกจากข้อวินิจฉัยเมื่อครู่ทิ้งไปทันที
สีหน้าของซางเจี้ยนเย่าพลันแสดงท่าทีว่าไม่ยอมรับคำพูดของหานวั่งฮั่ว
“คำพูดที่ว่าบริสุทธิ์ของคุณน่ะ มันคือแบบไหน
“ถ้าหากจำกัดสายงานแค่เฉพาะการก่ออิฐ ทาสี อาจารย์สอนหนังสือ เก็บขยะ งั้นพวกเราก็คงไม่นับว่าบริสุทธิ์จริงๆ นั่นแหละ”
สัญชาตญาณของหานวั่งฮั่วบอกเขาว่าห้ามไปต่อล้อต่อเถียงกับคนผู้นี้โดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นสถานการณ์จะบานปลายจนควบคุมไม่อยู่ ดังนั้นเขาจึงส่งสายตาไปทางเจี่ยงไป๋เหมียนกับไป๋เฉินแทน
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะออกมา
“นักล่าซากอารยะน่ะ ถ้ามีภารกิจมาก็ต้องรีบคว้าไว้ทันที ดังนั้นจึงย่อมรอบรู้เรื่องราวมากมายไปโดยปริยาย และรู้ว่าจะต้องจดบันทึกเรื่องราวที่สำคัญเอาไว้ด้วย”
เมื่ออธิบายอย่างขอไปทีจนจบ เธอก็ถามต่อ
“ความสัมพันธ์ระหว่างพวกคุณชุมชนศิลาแดง กับพวกมนุษย์มัจฉาและปีศาจภูเขา เหมือนจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่สินะ”
“คุณคิดว่าพวกเขาเต็มใจอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แร้นแค้นอย่างเกาะในทะเลสาบ หรือส่วนลึกของภูเขางั้นเหรอ” หานวั่งฮั่วทอดถอนใจ “หลังจากที่ ‘นาวาบาดาล’ เปิดประตูออก มลพิษในตัวเมืองก็ลดลงไปมาก พวกเขาก็เลยถูกขับไล่ออกจากบ้านเดิม”
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเล็กน้อย
“ดูเหมือนว่าคุณจะเห็นใจพวกเขาอยู่บ้างสินะ”
“ผมก็เป็นคนแบบนี้นี่แหละ” หานวั่งฮั่วอธิบายสั้นๆ “แต่นี่ไม่ได้ทำให้ผมยอมรามือจากการจัดทีมปกป้องชุมชนศิลาแดงหรอกนะ มีพวกมนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขาที่ตายด้วยน้ำมือของผมไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว”
พูดถึงตรงนี้เขาก็พูดพึมพำกับตัวเอง
“มนุษย์มัจฉาลอบเข้ามาในเขตที่พักโรงแรม… พวกนั้นเตรียมเคลื่อนไหวอีกแล้วสินะ…”
หลังจากพึมพำกับตัวเองแล้ว หานวั่งฮั่วก็เอ่ยปากเตือน ‘ทีมสำรวจเก่า’
“มนุษย์มัจฉามีเกล็ดทั่วตัว ปืนลำกล้องเล็กยากจะทำให้บาดเจ็บได้ พวกคุณต้องระวังไว้ด้วย
“แต่ถึงจะเป็นปืนทั่วไป ถ้าหากนัดแรกไม่ได้เจาะกะโหลกพวกเขาโดยตรงก็ควรยิงซ้ำอีกนัดเพื่อความมั่นใจ”
“ขอบคุณ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบแทนคนทั้งทีม
หลังออกจากสำนักงานรักษาความสงบสาธารณะแล้วก็เพิ่งจะเป็นเวลาเก้าโมง พวกเขาตรงไปที่ ‘วีซ่าเทรดดิ้งคอมพานี’ ซึ่งอยู่ที่ชั้นห้าของชุมชนศิลาแดง
ที่นี่แตกต่างไปจากที่อื่นๆ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะซ่อนตัวกันหมด ยังคงมีผู้หญิงนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ไม้ใกล้ประตูทางเข้า
เธอสวมหน้ากากปีศาจสีเขียวดูดุร้ายน่ากลัว ราวกับว่าต้องการปลอบประโลมความหวาดกลัวในใจตนเอง
“พวกเรามาพบมิสเตอร์คาร์ล นัดหมายไว้เมื่อวานนี้แล้วน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเดินเข้าไปหาแล้วพูดอย่างยิ้มแย้ม
ผู้หญิงคนนั้นค่อนข้างเกร็ง ประหนึ่งว่าหากมีลมพัดหญ้าไหวเพียงเล็กน้อยก็พร้อมสละที่นั่ง รีบกระโดดผลุงไปหาที่ซ่อนตัวทันที
เธอพูดอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
“มิสเตอร์คาร์ลบอกไว้แล้วล่ะ พวกคุณตรงเข้าไปที่ห้องทำงานด้านในสุดได้เลย”
เจี่ยงไป๋เหมียนจับซางเจี้ยนเย่าไว้ไม่ให้เขาทำอะไรแผลงๆ ไปราดน้ำมันใส่กองไฟอีก ไป๋เฉินผงกศีรษะเล็กน้อยให้หญิงผู้นั้นเพื่อบ่งบอกว่าไม่จำเป็นต้องระแวดระวังขนาดนั้นก็ได้
ผังห้องของสำนักงานของคาร์ลนั้นเรียบง่ายมาก ทำให้หลงเยว่หงและคนอื่นๆ รู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
มันคล้ายกับห้องทำงานระดับกลางของหลายๆ แผนกใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’
มีชั้นวางเอกสารหนึ่งชั้นสำหรับวางแฟ้มและหนังสือ โต๊ะทำงานหนึ่งตัว โซฟาหนึ่งชุด ต้นไม้สีเขียวหนึ่งกระถาง และเก้าอี้มีพนักสองสามตัว
ข้อแตกต่างเพียงประการเดียวก็คือที่นี่มีตู้นิรภัยสีดำอยู่หนึ่งตู้
คาร์ลยังคงไม่ได้สวมหน้ากากเช่นเดียวกับเมื่อวานนี้ เรือนผมซึ่งมีผมหงอกแซมเล็กน้อยถูกหวีเสยไปด้านหลังอย่างประณีต
ในตอนนี้เขากำลังนั่งหลังตรงราวกับว่าเป็นเช่นนี้มาตลอด
“คุณไม่ได้เป็นสาวกของนิกายตื่นตัวเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถามออกมาด้วยความสงสัยก่อนที่เจี่ยงไป๋เหมียนจะเอ่ยปาก
แน่นอนว่าเขาเปลี่ยนมาใช้ภาษาแม่น้ำแดงในการสื่อสาร
“ผมระวังเรื่องกิจการของนายท่านมากกว่า”
เพราะเหตุนี้เขาจึงไม่ได้ระวังเกี่ยวกับตัวเอง
เจี่ยงไป๋เหมียนก้าวขึ้นหน้าแล้วยิ้มให้
“ไม่รบกวนเวลาของคุณมากล่ะ ขอพูดเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน
“คุณมีชุดเกราะเสริมแรงทางทหารหรือเปล่า พวกเราอยากซื้อสักชุดค่ะ”
คาร์ลลังเลอยู่สองสามวินาที
“ของพวกนี้ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะลูกค้ารายใหญ่สั่งจองไว้ล่วงหน้า พวกเราก็จะเก็บไว้ใช้เอง
“มิสเตอร์มาร์ดิโก้น่ะค่อนข้างระวังตัวเรื่องความปลอดภัยของตัวเองเป็นอย่างมาก ยอมทุ่มไม่อั้นเพื่อของจำพวกนี้”
เขาปฏิเสธคำขอของทั้งสี่คนเบื้องหน้าอย่างแยบยล
“อย่างนี้นี่เอง…” ในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนไม่มีอะไรต้องรีบทำ เธอจึงถามต่อ “มิสเตอร์คาร์ล คุณพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับการขโมยอาวุธของเฮลเว็กบ้างไหม”
คาร์ลส่ายหน้า
“ผมไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่
“ตอนนั้นผมอยู่ที่ ‘นาวาบาดาล’ จนกระทั่งวันถัดมาถึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
เจี่ยงไป๋เหมียนพูด “อืม” หนึ่งคำ
“แล้วคุณคิดว่าการตายของเขาน่าจะเกี่ยวข้องกับใครบ้าง”
“มีมากเกินไป” สีหน้าของคาร์ลหม่นลง “เขาเป็นไอ้สารเลวที่ทั้งโลภมากทั้งโหดร้าย แถมยังขายอาวุธให้มนุษย์มัจฉาและปีศาจภูเขาด้วย ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อยทั้งๆ ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น คนที่เกลียดชังเขา คนที่รังเกียจเขา มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งในชุมชนศิลาแดงเลยล่ะ”
พูดมาถึงตรงนี้น้ำเสียงของคาร์ลก็กลายเป็นเย็นชา
“นอกจากนี้ เพื่อที่จะได้ผูกขาดการค้าอาวุธไว้แต่เพียงผู้เดียว เขายังยุยงให้ชาวชุมชนเป็นศัตรูกับ ‘นาวาบาดาล’ อีกด้วย
“ความตายของเขาย่อมต้องเป็นการประทานพรจากองค์ผู้ครองกาลแน่นอน”
เมื่อพูดมาถึงเรื่องนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ไม่ถามอะไรเพิ่มอีก กล่าวลาอย่างมีมารยาทแล้วพาซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ ออกจากชุมชนศิลาแดง
ในช่วงครึ่งเช้าที่ยังเหลืออยู่นี้ พวกเขาขับรถจี๊ปวนดูรอบๆ ซากเมืองเพื่อบันทึกลักษณะภูมิประเทศของหลายๆ พื้นที่ไว้
เมื่อใกล้เวลาอาหารเที่ยง พวกเขาก็กลับเข้าไปที่ทางเข้าชุมชนศิลาแดง
ขณะที่รถกำลังแล่นอยู่นั้น สายตาของเจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับก็พลันชะงักค้างไปทันที
ด้วยนิสัยที่มักจะมองสำรวจสภาพการณ์ด้านนอกอยู่เสมอ เธอก็พลันเห็นประกายไฟวาบออกมาจากอาคารซึ่งอยู่ไกลออกไป
“ซ้าย!” เจี่ยงไป๋เหมียนมีเวลาให้ตะโกนออกมาเพียงแค่คำเดียวเท่านั้น
ไป๋เฉินเข้าใจโดยปริยาย รีบหักพวงมาลัยไปทางซ้ายทันที
ลูกกระสุนพุ่งออกมาจากปืนบาซูก้า พุ่งตรงมายังรถจี๊ป
เป็นการซุ่มโจมตีอย่างกะทันหัน