เมื่อได้ยินคำพูดของเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่าก็เงียบไปทันที
ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเขาก็ยิ้มขึ้นมา
“แต่พวกพระองค์ไม่ได้ช่วยมนุษย์ทุกคนนี่”
เจี่ยงไป๋เหมียนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนใจด้วยความโล่งใจบางประการ พูดต่อด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้ว พวกเราต้องพึ่งพาตัวเอง เหมือนกับเพลงที่นายเปิดอยู่บ่อยๆ นั่นไง”
เมื่อเทียบกับสัตว์ประหลาดจากห้องทดลองที่ซากปรักบึงหมายเลข 1 แล้ว การถูกจ้องมองที่รู้สึกเมื่อครู่นี้มันเกินกว่าจะจินตการได้และเกินกว่าความรู้ความเข้าใจของเธออย่างสิ้นเชิง ทำให้อารมณ์ของเธอถึงกับผันผวนและตื่นตระหนกไปชั่วขณะ
จากความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา รวมถึงประสบการณ์ชีวิตที่พานพบ ทำให้เธอเชื่อถือในวิทยาศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง เชื่อว่าทุกสิ่งสามารถวิเคราะห์ สามารถทำความเข้าใจ ตั้งสมมติฐาน ตรวจสอบ ควบคุม และทำซ้ำขึ้นได้ ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่าทวยเทพและผู้ครองกาลจึงไม่มีอยู่จริง และถึงจะมีจริงก็เป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่ค่อนข้างแข็งแกร่งมากเท่านั้น
ทว่าประสบการณ์เมื่อครู่นี้ทำให้โลกทัศน์ของเธอถูกล้มล้างไปไม่น้อย
แต่หลังจากที่ได้พูดคุยกับซางเจี้ยนเย่าไปสองประโยคก็ทำให้เธอสามารถกำจัดอารมณ์นี้ทิ้งไปได้ กลับมามีพลังใจอีกครั้ง
ต่อให้มีผู้ครองกาลจริงมีทวยเทพจริงก็เถอะ แล้วยังไงล่ะ ถึงยังไงพวกพระองค์ก็ไม่ได้ช่วยมนุษย์ทุกคนเสียหน่อย ดังนั้นเหล่าทวยเทพทั้งหลายจึงไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับตัวเธอแม้แต่น้อย
การที่ไม่สามารถวิเคราะห์พวกพระองค์ ไม่อาจทำความเข้าใจได้ ตั้งสมมติฐานไม่ได้ ตรวจสอบไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ และไม่สามารถทำซ้ำขึ้นมาได้ก็ไม่เห็นจะเป็นไรนี่นา
เจี่ยงไป๋เหมียนรู้ดีว่าการคิดเช่นนี้ก็เป็นเพียงแค่การสร้างกำลังใจเพื่อหลอกตัวเองชั่วคราว แต่ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน การคิดแบบนี้กลับเป็นการช่วยให้สภาพจิตของตนเองสามารถฟื้นตัวกลับมาได้เร็วที่สุดแล้ว
ภายใต้ความเงียบงันในช่วงเวลาสั้นๆ ก็พลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่นอกประตู
บัซและชายวัยกลางคนซึ่งสวมชุดคลุมยาวสีดำเดินเข้ามาในห้องมุขนายกเรนาโต้อย่างรวดเร็ว
ยามของโบสถ์พร้อมอาวุธครบมือกระจายตัวอยู่ทั่วทางเดินเพื่อปิดกั้นเส้นทางเอาไว้
“ผมคือ ‘ผู้แจ้งเตือน’ ซ่งเหอ” ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวสีดำมองดูมุขนายกเรนาโต้ซึ่งถูกซางเจี้ยนเย่าควบคุมตัวอยู่ กล่าวแนะนำตัวเองออกมาประโยคหนึ่ง
ในชุมชนศิลาแดงเป็นสถานที่ซึ่งการสวมหน้ากากเป็นที่แพร่หลาย ทว่าเขากลับไม่อำพรางตัว นับว่าหาได้ยากมาก เขาเป็นคนเชื้อสายแดนธุลี มีคิ้วค่อนข้างบาง จอนสองข้างเป็นสีขาวเล็กน้อย ไม่มีรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ทำให้ผู้คนยากจะประเมินอายุได้อย่างแม่นยำ
เพียงมองเห็นในแวบแรก เจี่ยงไป๋เหมียนก็สามารถจดจำใบหน้าเหลี่ยมที่ดูเที่ยงธรรมและโกนหนวดเคราสะอาดสะอ้านได้อย่างง่ายดาย
“ผู้แจ้งเตือน…” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยความสงสัย
ฟังแล้วเหมือนเป็นระดับชั้นของนิกายตื่นตัวเลย
“เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการศาสนาภายใต้มุขนายกน่ะ คอยดูแลเกี่ยวกับการเผยแผ่ศาสนาทั่วไปในแต่ละวันและการเทศน์” ซ่งเหออธิบายอย่างคร่าวๆ
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ถามอะไรอีก
“คุณรีบมาดูหน่อยว่านี่ใช่มุขนายกเรนาโต้หรือเปล่า”
เมื่อพิจารณาแล้วว่ามีบัซกับคนอื่นๆ อยู่ด้วย บทสนทนาของพวกเขาจึงใช้เป็นภาษาแม่น้ำแดงเพื่อแสดงความซื่อตรง
ซ่งเหอเดินไปข้างซางเจี้ยนเย่าแล้วนั่งยองลงไป เขามองดู ‘คนไร้ใจ’ ที่พยายามดิ้นรนเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดมากขึ้น
ไม่กี่วินาทีถัดมาเขาก็ทอดถอนใจ
“เป็นมุขนายกจริงๆ
“เขาเป็น ‘โรคไร้ใจ’ แล้ว”
เขาสั่งการยามของโบสถ์ที่ยืนอยู่นอกประตูว่าให้เอากุญแจมือ เชือก และสิ่งของอย่างอื่นเข้ามา จากนั้นก็มัดเรนาโต้ที่ ‘ไร้จิตใจ’ ซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่อย่างแน่นหนา
หลังจากจัดการจนเสร็จสิ้น เขาก็หันกลับมาพูดกับซางเจี้ยนเย่าและเจี่ยงไป๋เหมียน
“ทั้งสองท่านโปรดรอสักครู่ ผมต้องรีบไปรายงานสถานการณ์ของมุขนายกก่อน”
“ได้ค่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงทีท่าว่าตนเข้าใจ
ซ่งเหอเดินไปยังประตูห้องแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ทุกคนให้อยู่ที่นี่ก่อน ห้ามออกไปไหน และห้ามบอกคนอื่นเรื่องการป่วยของมุขนายกเด็ดขาด”
“ทราบแล้ว ผู้แจ้งเตือน” ยามของโบสถ์ตอบด้วยความเคารพ
หลังจากมองดูซ่งเหอเดินจากไป เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันไปพูดกับบัซ
“ดูเหมือนว่าพวกคุณจะเชื่อใจผู้แจ้งเตือนซ่งกันมากเลยนะ”
“อืม” บัซผงกศีรษะ “เขาเป็นหนึ่งในผู้แจ้งเตือนกลุ่มแรกที่มาเผยแผ่นิกายในชุมชนศิลาแดงน่ะ”
“หือ… ตอนนี้เขาอายุเท่าไหร่แล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนสังเกตเห็นความผิดปกติได้ทันที
จากที่มองภายนอกนั้น อายุของซ่งเหอดูไม่สอดคล้องกับคนกลุ่มแรกสุดที่มาเผยแผ่นิกายในชุมชนศิลาแดงแม้แต่น้อย
จะเป็นไปได้ไงที่มีคนอายุไม่ถึงห้าสิบปีมาเผยแผ่นิกายที่ชุมชนศิลาแดงตั้งแต่เริ่มต้นใช้นวศักราช หรือช่วงที่เพิ่งสิ้นสุดกลียุค
หรือว่าเขาจะเป็นอัจฉริยะมากพรสวรรค์ สามารถเทศน์ได้ตั้งแต่ตอนอายุไม่กี่ขวบ เลยทำให้เป็นผู้แจ้งเตือนได้
“ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน น่าจะใกล้เคียงกับปู่ผมที่ตายไปแล้วล่ะมั้ง ถึงแม้ว่าจะไม่ถึงเจ็ดสิบ แต่ก็คงไม่ทิ้งกันเท่าไหร่” บัซตอบอย่างครุ่นคิด
เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
“แต่เขายังดูอายุไม่มากเท่าไหร่เลย”
“ใช่ เขาดูแล้วไม่ค่อยแก่เท่าไหร่ ว่ากันว่าเป็นการประทานพรจากผู้ครองกาล” บัซบ่งบอกว่าตนเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
ซางเจี้ยนเย่าพูดแทรกด้วยเสียงต่ำ
“นี่อาจจะเป็นซ่งเหอเวอร์ชัน x ก็ได้ แบบว่าพอซ่งเหอเริ่มแก่ก็จะมีซ่งเหอรุ่นใหม่มาแทนที่น่ะ”
“…” บัซผู้ซึ่งไม่เคยได้รับอิทธิพลมาจากรายการบันเทิงมาก่อนมีสีหน้างุนงง ทว่าหลังจากครุ่นคิดถึงคำอธิบายของซางเจี้ยนเย่าก็พลันรู้สึกว่านี่เป็นสถานการณ์ที่ชวนให้หวาดหวั่นขวัญผวาขนหัวลุก
เป็นอย่างยิ่ง
“อย่าไปฟังเขาเลย ตานี่ชอบเล่าเรื่องสยองขวัญน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนดุเขา “แล้วทำไมเขาถึงไม่ขึ้นมาเป็นมุขนายกล่ะ”
เป็นผู้แจ้งเตือนมาเนิ่นนานหลายปีขนาดนี้ ถึงแม้จะไม่มีผลงาน แต่ก็ลงแรงไปบ้างล่ะน่า
หรือนิกายตื่นตัวจะมีข้อกำหนดเอาไว้ว่ามีเพียงแค่เฉพาะคนที่ได้รับประทานพรจากผู้ครองกาลให้มีพลังผู้ตื่นรู้เท่านั้น ถึงจะสามารถดำรงตำแหน่งมุขนายกได้
“เป็นผู้แจ้งเตือนซ่งเองนั่นแหละที่ปฏิเสธไป เขาพูดอยู่ตลอดว่าในตอนนี้ก็ได้รับมามากพอแล้ว ตอนนี้เขาพอใจมากแล้ว ถ้ายังจะเรียกร้องขอเป็นมุขนายกอีกก็จะกลายเป็นโลภมาก จะไม่ได้รับการโปรดปรานจากองค์ ‘ธชียมโลก’ อีก” บัซนึกทบทวนคำพูดที่ซ่งเหอเคยกล่าวไว้
ในขณะนี้มุขนายกเรนาโต้ที่กำลังทุกข์ทรมานจาก ‘โรคไร้ใจ’ ถูกอุดปากเอาไว้จึงไม่อาจส่งเสียงร้องราวกับสัตว์ป่าได้อีก ทำได้เพียงแค่บิดไปมา พยายามดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการ
ผ่านไปไม่นานนัก ผู้แจ้งเตือนซ่งเหอในชุดคลุมยาวสีดำก็กลับเข้ามาในห้อง เขาพูดกับเจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่า
“อีกไม่นานคณะมุขนายกแห่งความหวาดหวั่นจะส่งมุขนายกคนใหม่มาแล้วก็จัดการเรื่องของเรนาโต้ ในช่วงระหว่างนี้ผมจะเป็นคนดูแลรับผิดชอบเรื่องต่างๆ ของนิกายในชุมชนศิลาแดง”
พูดจบเขาก็ยกสองมือขึ้นมาขวางไว้ที่หน้าอก ถอยหลังไปหนึ่งก้าว
“การตื่นตัวคือวิวรณ์จากองค์เทพี”
หลังจากแสดงพิธีกรรมเสร็จ ซ่งเหอก็มองมาที่เจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ พูดด้วยความจริงใจ
“ผมมีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้อง”
เมื่อเห็นท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนของเขา เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าต่างก็มองสบสายตากัน
“เชิญพูดมาได้เลย”
“ขอทั้งสองท่านกรุณาอย่าเผยแพร่เรื่องที่มุขนายกเรนาโต้เป็น ‘โรคไร้ใจ’ ออกไป ก่อนที่จะทราบสาเหตุว่าทำไมเขาถึงป่วย พวกข่าวลือต่างๆ จะทำลายชื่อเสียงของนิกาย” ซ่งเหอกล่าวออกมาอย่างไม่ปิดบัง แสดงความกังวลของตนเองออกมาตามตรง
“ก็พอเข้าใจได้นะ” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกได้ว่าซ่งเหอนั้นค่อนข้างเป็นมิตรมาก เธอพูด “อืม” ออกมาคำหนึ่ง “พวกเราจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ”
มุขนายกผู้ซึ่งได้รับความโปรดปรานจากทวยเทพกลับต้องเป็น ‘โรคไร้ใจ’ ขึ้นมาได้ นี่จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อภาพลักษณ์ของผู้ครองกาลและเกียรติของนิกาย ทำให้สาวกเกิดความลังเลสงสัยว่าผู้ครองกาลนั้นจะสามารถปกป้องคุ้มครองตนเองได้หรือไม่
รอจนการสืบสวนจบลง เรนาโต้คงไม่แคล้วต้องแบกรับชื่อเสียงฉาวโฉ่ว่าทำการดูหมิ่นทวยเทพแหง… เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้มีจิตมุ่งร้ายต่อนิกายตื่นตัวหรอก แต่ทว่าการจัดการเรื่องราวในลักษณะนี้นับเป็นเรื่องที่ปกติธรรมดามาก
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ
“ด้วยมิตรภาพของพวกเรา เรื่องนี้ไม่มีปัญหา”
นี่นายไปสร้างเพื่อนผูกมิตรไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันยะ คิดเองเออเองหรือไงละนั่น… เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกว่าเป็นเรื่องตลกมาก
ซ่งเหอไม่ได้แย้งคำพูดของซางเจี้ยนเย่า เมื่อเตือนบัซเสร็จก็หันกลับไปออกคำสั่งต่อยามของโบสถ์ด้วยท่าทางเคร่งขรึม
ตัวเขานั้นมีบรรยากาศบางประการที่ทำให้ผู้คนเกิดความเชื่อถือไว้วางใจได้
หลังจากที่เห็นว่าเขาจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เจี่ยงไป๋เหมียนก็ลดเสียงลงและกล่าวชื่นชมออกมาประโยคหนึ่ง
“ฉันรู้สึกว่าเขามีลักษณะเหมือนมุขนายกมากกว่าเรนาโต้เสียอีก เหมาะกับตำแหน่งนี้มากกว่าด้วย”
“น่าเสียดายที่เขาไม่คิดจะรับตำแหน่ง ไม่งั้นในชุมชนศิลาแดงคงไม่ถูกแบ่งแยกเป็นฝักเป็นฝ่ายเหมือนอย่างตอนนี้หรอก” บัซเห็นพ้องด้วย
แล้วตอนนี้ซ่งเหอก็เรียกบัซออกไปและอธิบายบางอย่างให้เขาฟัง
เจี่ยงไป๋เหมียนยังคงอยู่ในห้อง มองดูพวกเขาเดินไปที่ทางเดิน
ผ่านไป 20-30 วินาที เธอก็พลันขมวดคิ้วขึ้น
“ฉันอยากไปเข้าห้องน้ำหน่อย” เธอพูดเสียงดัง
ซ่งเหอชี้ไปที่ด้านขวามือของตน
“อยู่ที่สุดทางเดินตรงนั้นน่ะ”
เขาไม่ได้ห้ามเธอ ดูมีความมั่นใจและวางใจเป็นอย่างยิ่ง
“ผมไปด้วย” ซางเจี้ยนเย่าเดินตามหลังเจี่ยงไป๋เหมียนไป
เมื่อมาถึงห้องน้ำ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ดึงเขาเข้ามาในห้องน้ำหญิง
“ตรวจจับได้ไหม” เธอถามอย่างเคร่งขรึม
ซางเจี้ยนเย่าพูด “อื้อ” ออกมาหนึ่งคำ
“ซ่งเหอมีความสามารถเรื่องการผูกมิตรมาก”
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเล็กน้อย
“ฉันเพิ่งตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์และทัศนคติของตัวเอง แล้วก็พบว่าการเปลี่ยนจากความระวังตัวไปเป็นความไว้วางใจมันเร็วเกินไปหน่อย
“ถึงแม้ว่าฉันจะเห็นด้วยเรื่องที่ว่าให้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับก็เถอะ แต่ฉันไม่มีทางคล้อยตามได้ง่ายๆ แค่เพียงเพราะว่าซ่งเหอดูเป็นมิตรมากและเป็นสหายที่เชื่อถือหรอก เหตุผลข้อเดียวที่จะทำให้ฉันตัดสินใจแบบนั้นก็มีแค่ลักษณะและความเชื่อของตัวเองเท่านั้น”
“อาจเป็นเพราะสถานการณ์ส่งผลกระทบมากกว่าตัวบุคคลก็ได้” ซางเจี้ยนเย่าเสริมมาหนึ่งประโยค
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองเขา
“ถ้างั้นนายคิดว่าไง”
“เขาเป็นผู้ตื่นรู้” ซางเจี้ยนเย่าตอบ
เจี่ยงไป๋เหมียนผ่อนลมหายใจออกแล้วพูด
“พลังพิเศษอย่างหนึ่งของเขาน่าจะเป็นการทำให้คนอื่นๆ รู้สึกว่าเขาเป็นมิตรและไว้ใจได้ จึงเต็มใจเชื่อฟังเขา อืม… ก่อนหน้านี้เขายังไม่ได้ใช้พลัง จนกระทั่งเขามาขอร้องพวกเรานั่นแหละ… ดูเหมือนว่าไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดเพื่อชี้นำด้วย…
“เป็นพลังที่เหมาะสำหรับการเผยแผ่นิกายจริงๆ”
เธอไม่ได้โกรธเรื่องที่ซ่งเหอใช้พลังทำให้เป็นมิตรกับตนเอง
เมื่อเทียบกับการ ‘เกลี้ยกล่อม’ ด้วยปืนนับสิบกระบอกเล็งใส่แล้ว การ ‘ขอร้อง’ ในลักษณะนี้นับว่ายอมรับได้มากกว่า ซึ่งก็ใกล้เคียงกับมาตรการรับประกันนั่นเอง
เธอเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายที่ต้องการให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ รวมถึงที่ว่าตนเองก็ไม่ได้ถูกบังคับให้เปลี่ยนความตั้งใจด้วย ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ไม่ได้รู้สึกโกรธเคือง
“เขาสละอะไรไปนะ” ซางเจี้ยนเย่าค่อนข้างสงสัย
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะพูด
“เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นอะไรที่ทำให้เขาไม่ยินดีที่จะขึ้นมาเป็นมุขนายก”
“ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้เขายังดูเป็นหนุ่มมากกว่า” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความคิดเห็นออกมา
“นั่นมันเรียกว่าการสละด้วยหรือไงยะ มีใครไม่อยากสละเรื่องแบบนี้บ้าง นี่อาจจะเป็นพลังพิเศษอย่างหนึ่งของเขาก็ได้…” เจี่ยงไป๋เหมียนด่าเขาด้วยเสียงหัวเราะไปสองประโยค “นิกายเฝ้าระวังนี่เต็มไปด้วยพยัคฆ์ซ่อนมังกรซุ่มจริงๆ ถึงกับส่งผู้ตื่นรู้ถึงสองคนมาที่ชุมชนศิลาแดง และคงไม่ได้มีแค่เท่านี้ด้วย”
จากความหมายของซ่งเหอนั้น ภายใต้มุขนายกหนึ่งคนจะมีผู้แจ้งเตือนอยู่หลายคน
“ดูท่าแล้ว สงสัยว่าที่ไม่มีศีลมหาสนิทก็เพราะต้องการประหยัดสินะ” ซางเจี้ยนเย่าทอดถอนใจจากมุมมองของตนเอง
หลังจากที่สนทนาเรื่องนี้จบ ไหนๆ ก็มาถึงห้องน้ำกันแล้วพวกเขาจึงแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวก่อนจะกลับไปยังห้องของมุขนายกเรนาโต้
ซ่งเหอมองเห็นพวกเขาก็ผงกศีรษะให้เล็กน้อย
“เรื่องของบัซนั้นผมได้ฟังเรียบร้อยแล้วล่ะ กำลังว่าจะเตรียมส่งยามของโบสถ์ไปเชิญอันเฮอบัสมาที่นี่ ให้ทุกคนได้มาพูดคุยกันต่อหน้าเลย นี่เป็นการแก้ปัญหาอย่างสันติวิธีที่ดีที่สุด
“ทั้งสองท่านต้องการอยู่เป็นพยาน หรือจะกลับไปตอนนี้เลย”
บัซยังไม่ทันได้เอ่ยปากขอให้ ‘ทีมเฉียนไป๋’ อยู่เพื่อช่วยปกป้องคุ้มครองตนเอง เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดกลั้วหัวเราะออกมาเสียก่อน
“แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องอยู่สิ แถมนี่ก็ยังเกี่ยวข้องกับภารกิจที่เรารับมาทำด้วย”