แบรนด์ด้านหลังประตูรู้สึกแปลกใจ
“เฮลเว็กตายแล้วงั้นเหรอ”
ก่อนที่หานวั่งฮั่วจะตอบ เขาก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
“น่าเสียดาย ตอนนี้ผมกลายเป็น ‘ผู้อันธการ’ ไปแล้ว ไม่งั้นคงดื่มเหล้าเลิศรสปฐมนครสักแก้วเพื่อฉลองเสียหน่อย”
เฮลเว็กน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย… หลงเยว่หงได้ยินแล้วถึงกับพูดไม่ออก
แบรนด์หยุดหัวเราะอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พูดอย่างทอดถอนใจ
“ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในห้องนี้ ผมก็ไม่เคยได้ออกไปไหนอีกเลย
“เรื่องนี้ผู้แจ้งเตือนซ่งเป็นพยานได้”
ซ่งเหอผงกศีรษะ
“การสาบานตนเป็น ‘ผู้อันธการ’ ก็หมายถึงการกลับคืนสู่ความมืดมิดนับจากนั้นเป็นต้นไป และถอยห่างจากวิถีโลกแห่งมนุษย์
“นี่เป็นคำมั่นที่กระทำต่อหน้าผู้ครองกาล หากล่วงละเมิดคือการดูหมิ่นองค์เทพี ผมเชื่อว่าแบรนด์จะไม่ทำเช่นนั้น”
เขาหยุดไปชั่วขณะ
“ห้องของผมอยู่ถัดไปข้างหน้านี่เอง ผมไม่เคยพบว่าแบรนด์ออกไปไหน”
เขาใช้ชื่อเสียงตนเองมารับประกัน
ในชุมชนศิลาแดง เขานับเป็นผู้ที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุด
“ถ้าเช่นนั้นผมก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว” หานวั่งฮั่วเลือกที่จะเชื่อเขา
ถานเจี๋ยไม่ได้พูดอะไร
แบรนด์ซึ่งอยู่ด้านหลังประตูสูดลมหายใจลึกแล้วค่อยๆ ผ่อนออกมา
“คนที่เกลียดชังเฮลเว็กนั้นมีอยู่มากมาย ถ้าในหมู่คนเหล่านั้นจะบังเอิญมีผู้ตื่นรู้ปรากฏขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“นอกจากนี้ ดิมาร์โก้ที่ใต้ดินนั่นก็น่าสงสัยเหมือนกัน
“พวกคุณกลับไปเถอะ ผมเริ่มจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้แล้ว”
หานวั่งฮั่วเหลือบมองถานเจี๋ย เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้คัดค้าน ก็เอ่ยปากพูด
“พวกเรากลับไปห้องโถงกันก่อนเถอะ”
ภายใต้การนำของซ่งเหอ พวกเขาก้าวเท้าออกมาจากห้องที่แบรนด์กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลียวหน้ากลับไปมอง เห็นว่าด้านหลังบานประตูไม้สีแดงเข้มนั้นเหลือไว้เพียงแค่ความเงียบ ไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ
เมื่อเข้ามาในห้องโถงแล้ว บัซเป็นคนแรกสุดที่ถอนหายใจออกด้วยอารมณ์
“ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่าแบรนด์จะเป็นคนทำเรื่องพวกนั้น พวกผู้ตื่นรู้นี่น่ากลัวจริงๆ”
ในฐานะลูกน้องคนสนิทของเฮลเว็ก เขาย่อมรู้เรื่องเกี่ยวกับผู้ตื่นรู้มาไม่น้อย ทว่าก็ไม่เคยเข้าใจลึกซึ้งอย่างเช่นวันนี้ที่ได้ประสบพบพานด้วยตัวเอง
ซ่งเหอมองดูเขาแล้วผงกศีรษะเล็กน้อย
“คุณไปตามหาวีลต่อเถอะ”
บัซไม่ใช่คนสมองทึบ เขาเข้าใจได้ในทันทีว่าผู้แจ้งเตือนไม่อยากให้เขาฟังการสนทนาต่อจากนี้ จึงรีบโบกมือให้ซางเจี้ยนเย่า พูดอย่างยิ้มแย้ม
“ครั้งนี้ฉันต้องชนะวีลได้แน่”
พูดเสร็จเขาก็สวมหน้ากากโลหะสีดำกลับคืน
“สู้ สู้!” ซางเจี้ยนเย่าให้กำลังใจอย่างจริงใจ
เขาไม่ได้ปิดบังความปรารถนาที่อยากมีส่วนร่วมด้วย
รอจนบัซออกจากห้องโถงไปแล้ว ซ่งเหอก็เปลี่ยนมาใช้ภาษาแดนธุลีพูดกับถานเจี๋ย
“คุณสามารถมาหาแบรนด์เพื่อล้างแค้นได้ตลอดเวลา ขอเพียงแค่บอกให้ผมรู้ก่อนล่วงหน้า”
“ตกลง ผู้แจ้งเตือน” ถานเจี๋ยตอบอย่างเฉยชา “ผมต้องกลับไปหารือกับพวกเขาก่อน”
ซ่งเหอถามเขากลับ
“คุณตื่นรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ปีกว่าแล้ว” ถานเจี๋ยตอบเรียบๆ
ซางเจี้ยนเย่าอุทานออกมาด้วยความสงสัย
“ที่คุณสละไปก็คือทำให้ไม่มีอารมณ์อย่างนั้นเหรอ”
“ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าห้ามถามเด็ดขาดว่าผู้ตื่นรู้คนอื่นเขาสละอะไร!” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบตำหนิทันที “ก็เห็น อยู่ว่าเมื่อกี้ตอนที่เขาอยู่ต่อหน้าแบรนด์ก็ยังแสดงอารมณ์ออกมาเลย”
หัวหน้า… ผมรู้สึกเหมือนคุณกำลังจับมือกับซางเจี้ยนเย่าแสดงละครคู่กันเลยนะ คนหนึ่งร้อง อีกคนก็รับ… หลงเยว่หงแอบค่อนขอดอยู่ในใจ
เขาหันหน้าไปมองไป๋เฉิน พบว่าสหายตัวน้อยคนนี้มีรอยยิ้มอยู่ที่มุมปาก
ถานเจี๋ยนิ่งเงียบไปสองสามวินาที
“การสละของผมเอามาใช้โจมตีไม่ได้ เรื่องนี้พวกคุณพูดกันได้ตามสบาย
“สิ่งที่ผมสละไปก็คือความสามารถในการแสดงอารมณ์”
“มิน่าล่ะ…” ซางเจี้ยนเย่าทุบกำปั้นขวาบนฝ่ามือซ้าย
เขาเปลี่ยนเป็นคึกคักขึ้นมา รีบให้คำแนะนำอีกฝ่ายอย่างแข็งขัน
“คุณเอาหน้ากากมาใช้แสดงอารมณ์ได้นะ ตอนที่อยากยิ้มก็สวมหน้ากากยิ้ม ตอนที่อยากร้องไห้ก็สวมหน้ากากร้องไห้”
นี่เป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมไร้ที่ติซึ่งเขาคิดค้นขึ้นโดยการผสมผสานเข้ากับธรรมเนียมท้องถิ่นของชุมชนศิลาแดง
ในใจเจี่ยงไป๋เหมียนพลันปรากฏคำศัพท์จากโลกเก่าขึ้นมาคำหนึ่งทันที
อีโมจิ[1]
ถึงแม้ว่าคำจำกัดความของคำนี้จะแตกต่างไปจากสถานการณ์ที่ซางเจี้ยนเย่ากำลังพูดถึงอยู่ แต่เธอก็รู้สึกว่าทั้งสองอย่างนี้มีอะไรที่คล้ายกันอยู่พอสมควร
“ผมไม่ได้เป็นโรคประสาทเสียหน่อย” ถานเจี๋ยปฏิเสธคำแนะนำของซางเจี้ยนเย่าอย่างอ้อมๆ
ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับด้วยดวงตาเป็นประกาย
“คุณชำนาญการ ‘ยั่วยุ’ จริงๆ!”
ดวงตาถานเจี๋ยปรากฏแววตาแปลกๆ ขึ้น เลิกให้ความสนใจกับเจ้าหมอนี่อีก
เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นว่าคนภาษาธุลีผู้นี้มักตอบคำถามทั้งที่ไม่จำเป็น รู้สึกว่าค่อนข้างเป็นมิตร จึงตัดสินใจเตือนออกมาประโยคหนึ่ง
“ฉันเคยได้ยินมาว่าเมื่อเวลาที่พลังผู้ตื่นรู้นั้นแข็งแกร่งมากขึ้น สิ่งที่สละไปก็จะรุนแรงขึ้น การที่ไม่แสดงอารมณ์ในตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีอันตรายอะไร แต่พอถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“ถูกต้อง” ผู้แจ้งเตือนซ่งเหอยืนยัน
เขามองดูถานเจี๋ยที่ไม่ได้สวมหน้ากาก
“คุณควรจะมาโบสถ์ตั้งแต่เนิ่นๆ มาฟังเทศน์ของมุขนายก
“นี่จะช่วยให้คุณเข้าใจความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับผู้ตื่นรู้มากขึ้น จะได้หลีกเลี่ยงอันตรายที่ไม่จำเป็น
“การงมหาคลำทางเองอาจจะเกิดความผิดพลาดได้ง่าย”
ราวกับถานเจี๋ยรับรู้ถึงความเป็นมิตรของซ่งเหอได้ เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“ในตอนนั้น ผลกระทบจากคดีก่อนๆ ไม่ได้ลดลง ผมก็เลยคิดว่านิกายต้องการปกป้องคนแม่น้ำแดงจึงไม่ยอมเปิดเผยความลับของพวกเขาเสียอีก”
“ดีที่คุณไม่มีพลังในด้านที่เกี่ยวกับความกลัว ไม่อย่างนั้นเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเฮลเว็ก คุณก็คงพูดให้ชัดเจนไม่ได้หรอก” ซ่งเหอถอนหายใจด้วยเมตตาจิต
“ทำไมล่ะ” สีหน้าสงสัยของซางเจี้ยนเย่าถูกปกปิดไว้หลังหน้ากากลิง
ซ่งเหอมองดูเขาแล้วยิ้มให้ แต่ไม่ได้ตอบคำ
ดูท่าแล้วนี่คงจะเป็นความรู้ซึ่งเป็นความลับของนิกายตื่นตัวสินะ… คนที่มีพลังในด้านการ ‘ยั่วยุ’ จะไม่สามารถตื่นรู้ความ ‘กลัวสุดขีด’ ขึ้นมาได้อย่างนั้นเหรอ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือเป็นผลมาจากความขัดแย้งกันอย่างคลุมเคลือของการสละที่สอดคล้องกันใช่ไหม… เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้สนใจจะ ‘ดุ’ ซางเจี้ยนเย่า ในตอนนี้ความคิดเธอกำลังวิ่งพล่านจากการวิเคราะห์
ซ่งเหอหันกลับมาที่ถานเจี๋ย พูดด้วยความสงบนิ่ง
“ในเมื่อคุณเป็นผู้ตื่นรู้แล้ว งั้นตอนนี้ก็สามารถเลือกได้ว่าจะเข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการของนิกาย หรือจะอยู่ในสถานภาพแบบเดิมก็ได้ ไม่ว่าจะเลือกแบบไหนก็ไม่ส่งผลต่อการมาฟังเทศน์ของมุขนายก เพื่อศึกษาเรียนรู้เรื่องพวกนี้”
เมื่อซางเจี้ยนเย่าฟังมาถึงประโยคนี้ เขาก็ยกมือขึ้นแต่แล้วก็ลดมือลง มีท่าทางลังเลสองจิตสองใจ
ถานเจี๋ยใคร่ครวญอยู่สองสามวินาทีก่อนจะตอบ
“ผมจะพิจารณาดูครับ”
หลังจากจัดการเรื่องของถานเจี๋ยเสร็จ ซ่งเหอก็หันไปมองหานวั่งฮั่ว
“พวกมนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขามีความเคลื่อนไหวอะไรหรือเปล่า”
หานวั่งฮั่วพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
“ผมส่งคนไปสอดแนมแล้ว พวกเขามีสัญญาณว่าร่วมมือเป็นพันธมิตรกัน
“ก่อนที่ผมจะมาโบสถ์ก็สั่งยามเมืองจัดเตรียมแนวป้องกันที่หนึ่งและสองเอาไว้แล้ว”
ซ่งเหอพยักหน้าเบาๆ ถอนหายใจ
“จะว่าไปแล้ว ซากเมืองใหญ่ขนาดนี้ พื้นที่เพาะปลูกที่รอการไปแผ้วถากถางก็มีมากมาย การจะรองรับมนุษย์ชั้นรองเพิ่มเข้ามาอีกสักสองสามกลุ่มก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของชาวชุมชนสักเท่าไหร่ แต่น่าเสียดายที่ความเกลียดชังระหว่างสองฝ่ายได้หยั่งรากลงไปแล้ว การรดน้ำด้วยเลือดก็ยิ่งทำให้ความเกลียดชังยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ”
เมื่อซ่งเหอรับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาของหลงเยว่หง ไป๋เฉิน รวมถึงคนอื่นๆ เขาก็หัวเราะเยาะตัวเองออกมา
“สำหรับผู้ครองกาลแล้ว ทุกสรรพชีวิตล้วนเท่าเทียมกัน และในฐานะนักบวชขององค์ ‘ธชียมโลก’ ในสายตาของผมนั้น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์มัจฉาหรือปีศาจภูเขาก็ตามที ต่างก็สามารถกลายมาเป็นสาวกผู้ศรัทธาได้ทั้งนั้น
“ทว่าผมนั้นขลาดเขลาเกินไป ไม่กล้าเข้าไปเผยแผ่นิกายในนิคมมนุษย์ชั้นรองเพียงลำพัง”
หานวั่งฮั่วเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะพูดออกมา
“ผมเคยได้ยินมาว่าตอนที่คุณเพิ่งมาถึงชุมชนศิลาแดง ตอนนั้นที่นี่ปั่นป่วนโกลาหลยิ่งกว่าเสียอีก มีเสียงปืนดังขึ้นไม่เว้นวัน ผู้แจ้งเตือน… คุณไม่ได้ขลาดเขลาแม้แต่นิดเดียว”
ซ่งเหอหัวเราะฮ่า ฮ่า
“ในตอนนั้นผมยังหนุ่มอยู่ก็เลยเลือดร้อนน่ะ เป็นเพราะศรัทธาในองค์ ‘ธชียมโลก’ มีเพียงความมุ่งมั่นจิตหนึ่งใจเดียว คิดแค่ว่าต้องการแสดงความจริงใจ ส่วนในตอนนี้นะเหรอ เฮ้อ… มีคำพูดหนึ่งกล่าวเอาไว้ว่า ยิ่งเผชิญโลกมามากก็ยิ่งมีความกล้าน้อยลง”
หลังจากจบการสนทนาเรื่องมนุษย์ชั้นรองแล้ว หานวั่งฮั่วกับถานเจี๋ยก็กล่าวอำลาแล้วจากไป
ขณะที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ กำลังจะตามออกไป ซางเจี้ยนเย่าก็พลันหันหน้ากลับมา
“คำถามสุดท้ายนะครับ ทำไมวีลถึงยังอยู่ในโบสถ์ล่ะ”
เขาให้ความสนใจเป็นพิเศษกับ ‘แชมป์เปี้ยนซ่อนหา’ คนนี้
ซ่งเหอรู้ว่าพวกเขาเป็นนักล่าซากอารยะที่มาจากต่างถิ่น จึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย
“นี่เป็นรางวัลสำหรับผู้ชนะในพิธีมิสซาทุกครั้งน่ะ ใครชนะก็จะได้อยู่ในโบสถ์ระยะเวลาหนึ่งเพื่อรับการุณย์แห่งองค์เทพี สดับฟังคำสั่งสอน”
เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งสวมหน้ากากหลวงจีนรูปงามเลิกคิ้วขึ้นโดยพลัน
ซางเจี้ยนเย่าพูดไปแล้วว่าเป็นคำถามสุดท้าย ดังนั้นจึงไม่อยู่ต่ออีก เขาหมุนกายออกจากโบสถ์นิกายตื่นตัว
“ผมจะไปที่เขตคนภาษาธุลี พวกคุณล่ะ” หานวั่งฮั่วหยุดรออยู่หน้ารถออฟโรดที่มีสภาพอนาถา เอ่ยถาม ‘ทีมเฉียนไป๋’
ถานเจี๋ยยืนข้างเขา มองมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“เราจะไปสืบหาการตายของเฮลเว็กต่อน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบ
หานวั่งฮั่วผงกศีรษะ
“งั้นพวกคุณก็ระวังตัวไว้หน่อยก็แล้วกัน พวกมนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขาอาจจะโจมตีมาได้ทุกเมื่อ”
“ขอบคุณค่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบรับอย่างสุภาพ
หลังจากมองส่งหานวั่งฮั่วกับถานเจี๋ยขับรถออกไปแล้ว ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ขึ้นรถจี๊ปของตัวเอง
เจี่ยงไป๋เหมียนนั่งในตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับ โบกมือให้ไป๋เฉินสตาร์ทรถพลางร้อง “อืม” ออกมาหนึ่งคำ
“จากที่ดูในตอนนี้ ไม่น่าเป็นไปได้ที่เฮลเว็กถูกอันเฮอบัสฆ่านะ”
หลงเยว่หงไม่ได้ถามว่าทำไม พยายามทำความเข้าใจกับความคิดของหัวหน้าทีม
“เป็นเพราะอันเฮอบัสดูไม่ค่อยสนใจจะฆ่าปิดปากบัสนะเหรอ”
“ใช่” เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงการยืนยัน “ถ้าหากว่าอันเฮอบัสเป็นคนฆ่าเฮลเว็กจริงๆ เขาจำเป็นต้องรีบกำจัดบัซและคนอื่นๆ โดยเร็วที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงเรื่องความลับถูกเปิดเผย ตอนที่เราพาบัซไปโบสถ์ก็ไม่ได้เจอการขัดขวางอะไรเลย แล้วหลังจากนั้นพักหนึ่งโลเปซถึงได้พาคนไป
“นี่ก็หมายความว่าอันเฮอบัสส่งลูกน้องไปหาบัซกับคนอื่นๆ ก็เพื่อสอบถามรายละเอียดของเรื่องราวว่าเป็นยังไงกันแน่ เนื่องจากเฮลเว็กเสียชีวิตกระทันหันก็เลยทำให้เขาไม่ค่อยสบายใจ”
ไป๋เฉินซึ่งกำลังขับรถอยู่ มองไปข้างหน้าพลางพูดขึ้น
“ตอนนี้ก็ยิ่งตอกย้ำคำพูดของแบรนด์ ที่บอกว่าน่าจะเป็นฝีมือของศัตรูของเฮลเว็กหรือไม่ก็ดิมาร์โก้”
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเบาๆ ถอนหายใจ
“ช่างมันเถอะ นี่ไม่ใช่ประเด็นที่ต้องไปใส่ใจในตอนนี้
“เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือจะทำยังไงกับอาวุธพวกนั้นกันดี
“ถ้าหากอันเฮอบัสบริจาคอาวุธพวกนั้นให้กับยามเมืองจริงๆ แบบนี้จะนับว่าเราทำภารกิจสำเร็จหรือเปล่า”
หลงเยว่หงพูดอย่างลังเล
“ก็ไม่น่าจะนับ”
“ตราบใดที่อันเฮอบัสไม่ได้ระบุออกมาอย่างชัดเจนว่านั่นเป็นอาวุธของเฮลเว็กที่หายไป ย่อมไม่อาจนับได้ว่าภารกิจสำเร็จ” ไป๋เฉินแสดงการยืนยันออกมา
อันเฮอบัสย่อมไม่สมองทึบจนสารภาพออกมาเองหรอก
เจี่ยงไป๋เหมียนกัดฟันพูด
“ตอนนี้พวกเราก็คงต้องคิดหาวิธีว่าจะเอาอาวุธกลับมาได้ยังไง เพื่อจัดการภารกิจให้เรียบร้อยก่อนละนะ”
หลงเยว่หงครุ่นคิดตรึกตรอง
“ภายใต้สถานการณ์ตอนนี้ ยามของชุมชนศิลาแดงมีความจำเป็นต้องใช้อาวุธชุดนี้มาก”
“ไม่มีปัญหาหรอก เราก็แบ่งครึ่งก่อน แล้วก็เอาไปรวมกับวัตถุปัจจัยที่เรารวบรวมไว้ก่อนหน้านี้ จากนั้นก็บริจาคให้กับยามเมืองแล้วต่อรองกับพวกเขาว่าหลังจากที่จัดการแก้ปัญหาเรื่องมนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขาให้แล้วก็ให้
พวกเขาปลดระวางชุดเกราะเสริมแรงทางทหารให้พวกเราสักชุด ในตอนนั้นพวกมุนษย์ชั้นรองเสียหายบอบช้ำอย่างหนักไปแล้ว ชุมชนศิลาแดงก็ไม่มีศัตรูภายนอกชั่วคราว พวกเขามีเวลาเหลือเฟือเพื่อรอรุ่นใหม่ที่ส่งมาจาก ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ และนี่ก็เป็นโอกาสให้อันเฮอบัสไถ่โทษอีกด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนเล่าแผนการของตนเองออกมา “แผนสุดยอด!”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะอย่างแรง
“ถึงยังไงอันเฮอบัสก็ต้องบริจาคอาวุธพวกนั้นอยู่แล้ว จะบริจาคให้ยามเมืองหรือบริจาคให้เรา สำหรับเขาแล้วก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน”
“นอกจากนั้นอันเฮอบัสก็อาจจะไม่เต็มใจบริจาคให้กับยามเมืองด้วย เขาอาจจะมีวิธีแก้ปัญหาแบบอื่นก็ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนตบมือหนึ่งฉาด “พวกเราไปที่บ้านพักริมทะเลสาบกันเถอะ ไปหาโอกาสเคลียร์ภารกิจกัน”
ซางเจี้ยนเย่าแสดงความเห็นด้วยอย่างตื่นเต้น
“ไปก่อกวน! ไปก่อกวน!”
[1] อีโมจิ (表情包) เป็นสัญรูปที่ใช้แสดงความรู้สึกในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น รูปแสดงสีหน้าอารมณ์ กิริยาท่าทาง วัตถุ สถานที่ ลมฟ้าอากาศ เป็นต้น