คุณนายมู่ยังคงแสยะยิ้ม แต่คำพูดที่ยังอยากแดกดันกลับจุกอยู่ในลำคอ
เธอเงยหน้าทันที สีหน้าเปลี่ยนไป
อิ๋งจื่อจินอยู่ในชุดผ่าตัดของโรงพยาบาล แต่งตัวมิดชิดครบชุด เห็นเพียงดวงตาหงส์ แววตาดุจหิมะ ลึกลับเย็นชา
คุณนายมู่ย่อมจำไม่ได้ แต่เธอมองออกว่าเป็นผู้หญิงอายุน้อย ท่าทางเหมือนโตกว่ามู่อวี่ซีแค่สองสามปี
มือที่ถือกระเป๋ากำแน่นขึ้น แสยะยิ้ม “เธอน่ะเหรอจะช่วย คิดว่าตัวเองแซ่เมิ่งเหรอ”
นอกจากตระกูลเมิ่งยังจะมีตระกูลไหนหรืออิทธิพลไหนที่สามารถบ่มเพาะหมอที่อายุน้อย และฝีมือการแพทย์ล้ำเลิศได้อีก
คุณนายมู่หันหน้าไปพูดกับมู่อวี่ซี “เธอรอดูแล้วกัน ฝีมือของหมอพวกนี้รักษาพี่ชายเธอไม่หายหรอก อย่างมากสุดอาก็รอเธอได้แค่วันเดียว”
เธอก้าวเท้าเดินลงจากตึกโดยไม่สนอิ๋งจื่อจิน
ยังไม่ทันถึงหน้าบันไดก็ชนกับชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อกาวน์สีขาว
ผู้ชายคนนั้นเร่งรีบมาก ไม่สนใจคุณนายมู่ รีบเดินไปที่หน้าอิ๋งจื่อจินแล้วพูดด้วยท่าทางนอบน้อม
“คุณหมอเทวดาอิ๋ง”
เท้าของคุณนายมู่ชะงักลงทันที หันไปอย่างอึ้งๆ
เธอได้ยินชัดเจนว่า ‘อิ๋ง’ เสียงจัตวา
ในเมืองตี้ตูไม่มีหมอชื่อดังที่แซ่อิ๋ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ถูกเรียกว่าหมอเทวดา
แซ่นี้เดิมทีก็มีน้อยมาก คุณนายมู่นึกถึงแค่ตระกูลเดียว
เธอสังเกตด้านหลังของเด็กสาวคนนี้อย่างละเอียด ราวกับนึกอะไรขึ้นได้รู้สึกเหลือเชื่อนิดหน่อย
คุณนายมู่พูดพึมพำ “เป็นไปไม่ได้…”
เธอมองชายวัยกลางคนที่มีท่าทีนอบน้อมต่อเด็กสาว ทันใดนั้นก็นึกออก
นั่นมันรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลตี้ตู!
ปกติจะเจอตัวผู้อำนวยการกับรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลตี้ตูได้ยากมาก
คนที่สามารถทำให้พวกเขาออกมาต้อนรับได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนระดับมู่เฮ่อชิงหรือผู้เฒ่าเนี่ย
สมองของคุณนายมู่อื้ออึงไปหมด
“ได้ยินฝีมือการรักษาขั้นเทพของคุณมานานแล้ว ในที่สุดวันนี้ก็ได้เจอกัน” รองผู้อำนวยการพูดต่อ
“นึกไม่ถึงว่าคุณจะเด็กขนาดนี้นะครับ มีทางโรงพยาบาลเซ่าเหรินรับรองพวกเราก็เชื่อในฝีมือคุณครับ”
“ผมจะเป็นผู้ช่วยในการผ่าตัดครั้งนี้ให้นะครับ”
“ไม่จำเป็นค่ะ” อิ๋งจื่อจินเปิดประตูห้องผ่าตัด “ผ่าตัดเล็ก เข็นคนไข้เข้ามาค่ะ”
“ได้เลยครับ” รองผู้อำนวยการไม่รอให้หมอเจ้าของไข้ลงมือ เขาไปที่ห้องของมู่เหวยเฟิงเองทันที
ส่วนหมอกับพยาบาลที่เหลือก็กลับไปที่ห้องผ่าตัดอีกครั้ง
พวกเขาติดตามอาการป่วยของมู่เหวยเฟิงมานานมาก เพียงแต่พวกเขาจนปัญญาที่จะรักษาให้หายขาดอย่างสิ้นเชิง
โรคของมู่เหวยเฟิงเป็นมาตั้งแต่ออกจากท้องแม่ กว่าจะแสดงอาการก็อายุตั้งสิบสองขวบแล้ว ระยะเวลานานเกินไปไล่สืบหาสาเหตุไม่เจอ
มือของคุณนายมู่สั่นรีบเดินขึ้นหน้า คว้าแขนเสื้อของพยาบาลไม่เหลือภาพพจน์คุณนายผู้สูงส่งแบบก่อนหน้านี้ “หมอคนนั้นชื่ออะไร บอกฉันมาเธอชื่ออะไร!”
“คุณผู้หญิงคะ ที่นี่โรงพยาบาลนะคะ กรุณาอย่าส่งเสียงเอะอะโวยวายค่ะ” พยาบาลได้ยินบทสนทนาระหว่างคุณนายมู่กับมู่อวี่ซี รู้สึกขยะแขยงมากดึงมือของเธอออก
“รปภ. ถ้าอีกเดี๋ยวเธอยังไม่ไปอีกก็ไล่ออกไปได้เลยนะ”
คุณนายมู่ได้แต่มองมู่เหวยเฟิงถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดอีกครั้ง ในใจเริ่มรู้สึกกระวนกระวาย คนที่สามารถทำให้รองผู้อำนวยการยินดีเป็นผู้ช่วยได้ ไม่แน่ครั้งนี้มู่เหวยเฟิงอาจหายจริงๆ
งั้นแผนของเธอยังจะมีประโยชน์อะไรอีกทั้งคุณนายมู่ยังไม่อยากเชื่อการคาดเดาของตัวเอง
แต่สุดท้ายเธอก็โทรศัพท์
ปลายสายกดรับอย่างรวดเร็ว
“ฮัลโหล” คุณนายมู่ถาม “มั่นหวา ลูกเลี้ยงของเธอที่ออกจากบ้านไปแล้วมีความสามารถพิเศษอะไรไหม”
จงมั่นหวาหลับไปแล้ว พอถูกถามแบบนี้สมองเธอก็ตื่นทันที
น้อยครั้งที่คุณนายมู่จะเป็นฝ่ายโทรหาเธอก่อน และแต่ละครั้งที่โทรมาก็ไม่มีทางถามเรื่องในครอบครัวของเธอ จงมั่นหวาเม้มริมฝีปาก “วาดภาพเก่ง เขียนอักษรพู่กันได้ ทั้งยังเล่นเปียโนเป็น เธอเล่นเปียโนเก่งมากค่ะ”
ถ้าอิ๋งจื่อจินยอมเชื่อฟังอยู่บ้านตระกูลอิ๋งแต่โดยดี เธอจะมีหน้ามีตามากกว่านี้ ลูกสาวคนหนึ่งวิจัยวิทยาศาสตร์ ลูกสาวอีกคนเก่งศิลปะ ใครบ้างจะไม่อิจฉาเธอ
คุณนายมู่ขมวดคิ้ว แต่ก็แอบโล่งอก “แค่นี้เหรอ”
“แค่นี้ค่ะ” จงมั่นหวารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี เริ่มเครียด “เธอคงไม่ได้ไปก่อเรื่องอีกแล้วใช่ไหมคะ”
คุณนายมู่กลับไม่ตอบอะไรอีก กดตัดสายทิ้ง
จงมั่นหวาที่อยู่บนเตียงยังรู้สึกมึนงงอยู่
เธอนวดขมับความง่วงหายไปหมด จึงลงไปหาน้ำอุ่นที่ชั้นล่าง
ภายในห้องครัว อิ๋งเย่ว์เซวียนกำลังยกนมร้อนหนึ่งแก้วเตรียมกลับห้องนอน
พอเห็นจงมั่นหวาลงมาเธอก็ตกใจ “แม่หลับไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ”
“คุณนายมู่โทรมาถามโดยเฉพาะว่าน้องสาวของลูกมีความสามารถพิเศษอะไรบ้าง” จงมั่นหวาหงุดหงิด ไม่ได้ปิดบัง “แม่เลยคิดว่าน้องไปก่อเรื่องอะไรอีกแล้วหรือเปล่า แต่ถ้าทำให้คุณนายมู่ถูกใจได้ นั่นก็เป็นเรื่องดี”
ตระกูลอิ๋งก็เป็นแค่ตระกูลใหญ่กิจการใหญ่แต่ในฮู่เฉิงเท่านั้น เมื่อไปตี้ตู แม้แต่วงการไฮโซของตี้ตูก็เบียดเข้าไปไม่ได้
แต่ตระกูลมู่นั่นไปไกลถึงวงการธุรกิจระดับโลกแล้ว
แววตาของอิ๋งเย่ว์เซวียนหม่นลง “อย่างนั้นเหรอคะ”
คุณนายมู่รู้จักกับจงมั่นหวามาสิบปีแล้ว
เธอเองก็เคยเจอหลายครั้ง
คุณนายมู่เคยชมเธอว่าเป็นเด็กดี ฉลาดมีไหวพริบ แต่คุณนายมู่ไม่เคยโทรมาดึกขนาดนี้เพื่อถามเรื่องของเธอจากจงมั่นหวาด้วยตัวเอง
อิ๋งจื่อจินเพิ่งถูกรับกลับมาฮู่เฉิงยังไม่ถึงสองปีด้วยซ้ำก็แย่งความสนใจจากคนตั้งมากมายไปหมด
อิ๋งเย่ว์เซวียนจับแก้วแน่น สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเดินขึ้นชั้นบน
…
โรงพยาบาลตี้ตู
ครึ่งชั่วโมงต่อมาประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออกอีกครั้ง ไฟสีแดงที่ถูกเปิดอยู่ได้กลายเป็นสีเขียว
พอมู่อวี่ซีได้ยินเสียงก็วิ่งเข้าไปทันที “พี่พยาบาลคะ พี่ชายหนูเป็นไงบ้างคะ”
พ่อบ้านเองก็ร้อนใจ
“ทั้งสองคนวางใจได้ค่ะ คนไข้อาการดีมาก” พยาบาลตอบ “พวกคุณต้องขอบคุณหมออิ๋งนะคะ ถ้าไม่ได้เธอ เกรงว่าคนไข้คงหายสนิทไม่ได้แน่ๆ ค่ะ”
พ่อบ้านดวงตาเบิกโพลง แทบจะสงสัยในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน “คุณว่าอะไรนะครับ หายสนิทเหรอ!”
คนในวงการเศรษฐีของตี้ตูต่างรู้ว่ามู่เหวยเฟิงจะต้องตายตั้งแต่อายุยังน้อยแน่นอน
“ใช่ค่ะ หายสนิท” อิ๋งจื่อจินเดินตามออกมาจากด้านหลัง เธอถอดผ้าปิดปากออก พยักหน้าเล็กน้อย
“เขาออกกำลังกายมาตลอด ร่างกายพอใช้ได้ แต่ต้องพักฟื้นอีกหนึ่งเดือนค่ะ ระยะนี้ต้องพาเขาออกไปเดินเล่นในสวนที่ร่มรื่นให้มากหน่อยนะคะ”
มู่อวี่ซีจ้องใบหน้าอิ๋งจื่อจิน เธออึ้ง ยืนงงไปหมด
พ่อบ้านเองก็อึ้ง แต่เขาดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
“คุณคือคุณหมอเทวดาใช่ไหมครับ คุณช่วยชีวิตคุณชายเหวยเฟิงไว้ เป็นผู้มีพระคุณใหญ่ของพวกเราตระกูลมู่ครับ”
“วันนี้ก็ดึกมากแล้ว ไม่สู้ไปพักที่บ้านตระกูลมู่ไหมครับ”
“ฉันยังมีธุระอีก ไม่ไปดีกว่าค่ะ” อิ๋งจื่อจินถอดชุดผ่าตัดยื่นให้พยาบาล
“พวกคุณจัดการดูแลส่วนที่เหลือนะคะ”
รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็ตามออกมาด้วย “คุณหมอเทวดาอิ๋ง กลับดีๆ นะครับ ถ้าคุณสนใจ ไม่สู้ถีบโรงพยาบาลเซ่าเหรินทิ้งแล้วมาที่นี่ ผมจะให้ผลตอบแทนสูงที่สุดเลยครับ!”
มือของอิ๋งจื่อจินชะงัก เธอหันไป “ไม่ต้องหรอกค่ะ พวกคุณก็น่ารำคาญมากเหมือนกัน”
รองผู้อำนวยการ “…”
หัวใจของเขาถูกแทงทะลุ
มู่อวี่ซียังไม่ได้สติกลับมา เธอถามออกไปโดยไม่รู้ตัว “พี่มีธุระอะไรเหรอคะ”
“ทำโจทย์” อิ๋งจื่อจินหยุดเล็กน้อย “ฉันยังต้องติวให้เด็กซื่อสองคน”
เธอพยักหน้าให้มู่อวี่ซีเสร็จก็เดินลงจากตึก
…
เวลาหกโมงเช้า นักเรียนที่เข้าร่วมค่ายติวตื่นกันหมดแล้ว
หลังจากเถิงอวิ้นเมิ่งล้างหน้าล้างตาเสร็จก็ไปเคาะประตูห้องของอิ๋งจื่อจิน แต่ไม่มีคนตอบ
ครั้นแล้วเธอจึงส่งข้อความวีแชทหาอิ๋งจื่อจินแล้วไปโรงอาหาร
พวกนักเรียนต่างก็เคยได้ยินชื่อเพื่อนคนอื่นๆ แต่ไม่รู้จักกัน
แน่นอนว่ายกเว้นซิวเหยียน
เธอนั่งในโรงอาหาร มีนักเรียนหลายคนรุมล้อมเข้ามา
ซิวเหยียนหน้าตาดี นิสัยดี ชาติตระกูลดีย่อมเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น
เถิงอวิ้นเมิ่งไม่ได้มองซิวเหยียน ไปหาเฟิงเย่ว์นั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน
“เมิ่งเมิ่ง เพื่อนอิ๋งล่ะ” เฟิงเย่ว์กัดซาลาเปาไส้หมูสับ “ยังไม่ตื่นเหรอ”
“เปล่า เมื่อคืนเธอไม่ได้กลับมา” เถิงอวิ้นเมิ่งส่ายหน้า “น่าจะยังอยู่ข้างนอก”
“ยังไม่กลับเหรอ” เฟิงเย่ว์อึ้ง “การติวเริ่มหกโมงสี่สิบ เธอจะมาทันเหรอ”
ขณะที่เถิงอวิ้นเมิ่งกำลังจะอ้าปากพูดก็ถูกเสียงรองเท้าส้นสูงขัดจังหวะ เป็นอาจารย์เมิ่ง
สีหน้าของเธอเย็นชา “เถิงอวิ้นเมิ่ง เฟิงเย่ว์ พวกเธอสองคนตามครูมา”
ซิวเหยียนก็ได้ยิน เธอมองไปด้วยความสนใจ ท่าทางกึ่งยิ้ม
“ครูบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้พวกเธอไปขอเปลี่ยนกลุ่มที่ศาสตราจารย์” อาจารย์เมิ่งสีหน้าแย่ “สามวันแล้ว ทำไมยังไม่เปลี่ยน”
เฟิงเย่ว์พูดเหตุผลที่คิดไว้นานแล้วออกมา “พวกเราไปแล้วครับ แต่ศาสตราจารย์จั่วไม่ให้เปลี่ยน”
“ไม่ให้เปลี่ยนเหรอ” อาจารย์เมิ่งขมวดคิ้ว “พวกเธอสองคนไปบอกด้วยกัน ศาสตราจารย์จะไม่อนุญาตได้เหรอ ครูว่าพวกเธอไม่อยากเปลี่ยนเองมากกว่า”
เถิงอวิ้นเมิ่งไม่พูด ถือเป็นการยอมรับโดยปริยาย
“เด็กคนนั้นอยู่กลุ่มเดียวกับพวกเธอมีแต่จะเป็นตัวถ่วง เข้าใจไหม” อาจารย์เมิ่งโมโหจนหัวเราะ “พวกเธอช่วยเหลือเพื่อน ตอนติวมันก็ได้อยู่หรอกนะ แต่รอบตัดสินจะทำอย่างไร อยากกลายเป็นตัวตลกในสายตาโรงเรียนเอลานเหรอ”