อาจารย์เมิ่งไม่อยากให้เถิงอวิ้นเมิ่งกับเฟิงเย่ว์อยู่กลุ่มเดียวกับอิ๋งจื่อจินเลยจริงๆ
เด็กที่ย้ายจากบ้านนอกเข้ามาอยู่โรงเรียนมัธยมชิงจื้อ ใช้เส้นเข้าคลาสเด็กอัจฉริยะ อยู่ๆ ก็สอบได้ที่หนึ่งของชั้นปี มันมีเรื่องเหลวไหลแบบนั้นที่ไหนกัน
นอกจากอิ๋งจื่อจินแล้ว นักเรียนที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายโดยตรงอีกห้าคน ไม่มีคนไหนที่ไม่ได้เข้าโครงการปกป้องอัจฉริยะของประเทศจีน
โดยเฉพาะเถิงอวิ้นเมิ่งกับเฟิงเย่ว์ สองคนนี้เป็นถึงหน้าตาของโรงเรียนมัธยมในสังกัดมหาวิทยาลัยตี้ตู
“ครูจะบอกพวกเธออีกครั้ง” อาจารย์เมิ่งพูดย้ำทีละคำ “ไปบอกศาสตราจารย์ขอเปลี่ยนกลุ่ม การติวยังไม่เริ่ม ยังมีเวลา”
“ครูไม่สนว่าพวกเธอจะอยู่กลุ่มเดียวกับหลิ่วชิงหนิงหรือจิ่งหรง ต่อให้เป็นพวกนักเรียนที่แค่มาร่วมติวพวกนั้นก็ไม่เป็นไร แต่อยู่กลุ่มเดียวกับอิ๋งจื่อจินไม่ได้”
เฟิงเย่ว์ฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว “อาจารย์เมิ่งครับ ถ้าพวกเราไม่อยู่กลุ่มเดียวกับเธอ คนอื่นก็ไม่อยากด้วย จะทำไงล่ะครับ”
อาจารย์เมิ่งตอบโดยไม่ต้องคิด “งั้นก็ให้เธออยู่คนเดียว ขนาดข้อสอบของคลาสเด็กอัจฉริยะยังทำได้คะแนนเต็มเลยไม่ใช่เหรอ”
เสียงพูดของเธอค่อนข้างดัง นักเรียนคนอื่นๆ ที่อยู่ในโรงอาหารก็ได้ยิน ต่างอดมองมาทางนี้ไม่ได้
“อาจารย์เมิ่งคะ หนูกับเฟิงเย่ว์ตกลงกันแล้วว่าจะช่วยจื่อจินเองค่ะ” เถิงอวิ้นเมิ่งหัวรั้น “อาจารย์ยังไม่เคยเจอจื่อจินเลยด้วยซ้ำ พูดถึงเธอแบบนี้ไม่ดีเลยนะคะ”
“ครูพูดความจริงทั้งนั้น” อาจารย์เมิ่งสีหน้าเย็นชา “ในเมื่อพวกเธอตกลงกันแล้ว งั้นครูก็คงไม่พูดอะไรอีก อย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน”
ถึงแม้จะเป็นการติว แต่คะแนนกับประสิทธิภาพที่ได้จากการติวก็จะถูกส่งไปที่คณะกรรมการ
อาจารย์เมิ่งหมดความสนใจที่จะพูดต่อ เดินเหยียบรองเท้าส้นสูงออกไป
อิ๋งจื่อจินกลับมาในเวลานี้พอดี
เธอเดินตรงเข้าไปนั่งข้างเถิงอวิ้นเมิ่งโดยไม่สนใจอาจารย์เมิ่ง
“จื่อจิน อย่าไปสนใจอาจารย์เมิ่งเลยนะ” เถิงอวิ้นเมิ่งกระซิบ “คนวัยทองอารมณ์ฉุนเฉียวแบบนี้แหละ”
“ใช่ไหมล่ะ” เฟิงเย่ว์หยิบซาลาเปาหมูสับมาอีกสองลูก “ฉันว่าอาจารย์แกคงถูกศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยตี้ตูประเมินมาไม่ดีก็เลยมาระบายอารมณ์ใส่พวกเรามากกว่า”
“ยังไงซะอีกเดี๋ยวเริ่มติวเธอก็อยู่กับฉันกับเฟิงเย่ว์นี่แหละ” เถิงอวิ้นเมิ่งพูด “ถ้าไม่ได้ตรงไหนพวกเราจะสอนเธอเอง”
อิ๋งจื่อจินปอกไข่ พอได้ยินแบบนั้นก็เหลือบมอง น้ำเสียงอ่อนลง “เอาสิ”
…
มู่เหวยเฟิงฟื้นขึ้นมาตอนเก้าโมง เขารู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริง
เขาจับตรงหน้าอกแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่ง
พอมู่เหวยเฟิงขยับ มู่อวี่ซีที่ฟุบอยู่ข้างเตียงของเขาก็ตกใจตื่น
“พี่” เธอรีบยืนขึ้น ถามด้วยความระมัดระวัง “ตอนนี้รู้สึกหายใจโล่งขึ้นมากเลยใช่ไหม”
มู่เหวยเฟิงอึ้ง หลังจากลองตั้งใจหายใจสองสามที เขาถึงพบว่าดูเหมือนร่างกายของเขาจะเบาขึ้นมาก
กลิ่นคาวเลือดที่ฝังอยู่ในลำคอมาหลายปีก็ไม่มีแล้ว
“เมื่อวานมีพี่สาวคนนึงมาทำการผ่าตัดให้พี่กลางดึก” มู่อวี่ซีดีใจมาก “อาการป่วยของพี่หายดีแล้วนะ ไว้ร่างกายของพี่หายสนิทเมื่อไร พวกเราก็ไปเข้าร่วมทดสอบด้วยกันได้”
“พี่สาวเหรอ” มู่เหวยเฟิงอึ้ง “หน้าตาเป็นไงเหรอ”
หรือว่าครั้งนี้มู่เฮ่อชิงจะเชิญสมาชิกสายตรงของตระกูลเมิ่งมาได้จริงๆ
“สวยมาก!” ดวงตาของมู่อวี่ซีเปล่งประกาย “ฉันไม่เคยเห็นใครสวยเท่าพี่สาวคนนี้มาก่อนเลย”
ดูเหมือนมู่เหวยเฟิงจะนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง เขาจับมือของมู่อวี่ซี น้ำเสียงร้อนรน “เธอชื่ออะไร”
“แซ่อิ๋ง” มู่อวี่ซีส่ายหน้า “รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลเรียกเธอว่าคุณหมอเทวดาอิ๋ง ฉันไม่รู้ชื่อ”
มือของมู่เหวยเฟิงคลายออก ปากพูดพึมพำ “ที่แท้ก็เป็นเธอ”
คุณหมอเทวดาคนนั้นที่เซิ่งชิงถังเชิญมาช่วยเขาจากฮู่เฉิงโดยเฉพาะ
แต่เดิมทีพวกเขานัดกันวันที่สิบสี่ เมื่อวานเป็นวันที่สิบ ทำไมเธอถึงมาล่วงหน้า ทั้งยังรู้ว่าเขาอยู่โรงพยาบาลตี้ตู
ขณะที่มู่เหวยเฟิงกำลังคิดหนักกลับถูกเสียงฝีเท้าที่น่าเกรงขามดึงสติกลับมา
เขามองไปที่ประตู แล้วก็ต้องตะลึง “คุณปู่!”
มู่อวี่ซีเด้งตัวลุกขึ้นมา “คุณปู่”
พวกเขาเจอมู่เฮ่อชิงไม่บ่อย แต่ก็ถือว่ามากกว่ามู่เฉินโจว
มู่เฮ่อชิงวิ่งเต้นเรื่องอาการป่วยของมู่เหวยเฟิงมาหลายครั้ง
“เหวยเฟิง อย่าเพิ่งพูด” มู่เฮ่อชิงหันไปพูดอย่างให้เกียรติ “ท่านผู้อาวุโสรอง ช่วยตรวจเด็กคนนี้ดูหน่อยครับ”
พอได้ยินแบบนี้ชายชราที่ถูกเรียกว่า ‘ผู้อาวุโสรอง’ กลับมองฟู่อวิ๋นเซินก่อนด้วยสายตาตั้งคำถาม
“ไปตรวจ” ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบตาขึ้น “ทางที่ดีเร็วหน่อยด้วย”
ผู้อาวุโสรองตัวสั่น รีบเดินเข้าไป
มู่เฮ่อชิงที่มองดูเหตุการณ์ “…”
ห้านาทีต่อมาผู้อาวุโสรองก็ขมวดคิ้วยืนขึ้น “ร่างกายเขาไม่ได้ป่วยสักหน่อย ฉันจะรักษาได้ยังไง”
เขายังได้ตรวจซ้ำอีกหลายครั้ง จนชักสงสัยแล้วว่าตัวเองตาลายแก่แล้วฝีมือตกหรือเปล่า
“คุณปู่คะ เมื่อวานมีพี่สาวคนนึงมาผ่าตัดให้พี่ค่ะ” ในที่สุดมู่อวี่ซีก็หาเสียงของตัวเองเจอ “พี่ชายหนูหายดีแล้วค่ะ”
พอได้ยินแบบนี้มู่เฮ่อชิงก็อึ้ง
ดวงตาดอกท้อของฟู่อวิ๋นเซินหรี่ลง “ออกมา”
ผู้อาวุโสรองรีบขยับตัวเดินออก
เขาลองถามหยั่งเชิง “งั้นฉันกลับบ้านกินข้าวได้หรือยัง”
ฟู่อวิ๋นเซินไม่ตอบ
ผู้อาวุโสรองกลับยิ้มหน้าบาน เดินไปอย่างมีความสุข
หลังจากที่มู่เฮ่อชิงปิดประตูห้อง คิ้วที่ขมวดอยู่ก็คลายออก “เสี่ยวอิ๋งเหรอ”
“ครับ” ฟู่อวิ๋นเซินยิ้ม “เธอบอกว่ามาตี้ตูครั้งนี้มีคนวานให้เธอมาช่วยรักษาคน แต่นึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญขนาดนี้”
“ฉันไม่อยากรบกวนเธอ แต่เธอกลับมาดูให้” มู่เฮ่อชิงถอนหายใจ “ไม่รู้จะตอบแทนน้ำใจนี้ยังไงดี”
ช่วยชีวิตเขาไว้แล้วยังช่วยชีวิตมู่เหวยเฟิงด้วยอีก
“หืม?” ฟู่อวิ๋นเซินเลิกคิ้ว สีหน้าเอื่อยเฉื่อย น้ำเสียงไม่จริงจัง “ยุ่งกับเธอให้น้อยหน่อย เธอน่าจะดีใจ”
มู่เฮ่อชิง “…”
เขาโมโหจนมือสั่น
มู่เฮ่อชิงมองประตูห้องผู้ป่วยอยู่นาน “น่าเสียดายที่ตระกูลมู่ของฉันยังมีคนแบบนี้”
เขาหมายถึงคุณนายมู่
พอคุณนายมู่ไปโรงพยาบาลตี้ตู มู่เฉิงก็รายงานเขา
เขาเองก็รู้ว่าคุณนายมู่ทำอะไรลงไปบ้าง
“พอได้แล้วครับ” ฟู่อวิ๋นเซินพิงกำแพง ขายาวงอเล็กน้อย “ดูตระกูลซิวสิครับ เสื่อมโทรมจนเป็นแบบไหนแล้ว ร่ำรวยไม่เกินห้ารุ่น ตระกูลมู่หลายร้อยรุ่นแล้ว ผู้เฒ่ามู่ รู้จักพอได้แล้วครับ”
“ไอ้เด็กหน้าเหม็น” มู่เฮ่อชิงโมโหจนมือสั่นเพราะเขาอีกครั้ง “รีบไปเลย ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย”
เขานึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่าต่อไปผู้หญิงคนไหนจะทนความปากร้ายอานุภาพสูงของฟู่อวิ๋นเซินไหว
มู่เฮ่อชิงทำเสียงฮึดฮัด หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดส่งข้อความขอบคุณหาอิ๋งจื่อจิน
…
การติวตลอดช่วงเช้าอิ๋งจื่อจินผ่านไปอย่างสบายๆ
เพราะเฟิงเย่ว์กับเถิงอวิ้นเมิ่งแย่งเธอทำโจทย์หมด แถมยังทำไปอธิบายไป
เธอไม่ต้องใช้สมองไม่ต้องลงมือ ก็ดีเหมือนกัน
พอถึงตอนบ่าย ค่ายติวได้ต้อนรับคนกลุ่มหนึ่ง
จั่วหลีมองกลุ่มคนที่แบกกล้องแบกขาตั้งพลางถาม “พวกเขามาทำอะไร”
“นี่เป็นนักข่าวกับช่างกล้องที่ทางสถานีโทรทัศน์กลางส่งมาครับ” อาจารย์มั่วบอก “เตรียมทำรายการหนึ่งตอน ถ่ายพวกนักเรียนขณะติวเพื่อเอาไปประชาสัมพันธ์โครงการไอเอสซีให้มีคนมาเข้าร่วมเยอะๆ ครับ”
การแข่งขันรอบคัดเลือกของไอเอสซีจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการวันที่ 15 กันยายน ตราบใดที่การแข่งขันรอบคัดเลือกยังไม่สิ้นสุดก็ยังสมัครเข้าร่วมได้
เนื่องจากการประชาสัมพันธ์โครงการทำได้ไม่ดี ทำให้ผู้สมัครเข้าร่วมของประเทศจีนมีไม่มาก
ทางสถานีโทรทัศน์กลางเลยอยากทำรายการหนึ่งตอนเพื่อขยายขอบเขตประชาสัมพันธ์
ศาสตราจารย์จั่วขมวดคิ้ว “จะไม่รบกวนนักเรียนที่ติวอยู่เหรอครับ”
“ไม่ครับๆ” อาจารย์มั่วส่ายมือ “พวกเขาถ่ายอยู่ข้างๆ ไม่มีการเข้ามาสัมภาษณ์ด้วย อย่างมากก็แค่มีการทักทายอะไรนิดหน่อย ไม่มีทางรบกวนอะไรมากครับ”
ฟังถึงตรงนี้จั่วหลีก็พยักหน้า “งั้นได้ครับ ตอนนี้พวกเขาติวกันอยู่ ถ่ายได้”
หลังจากได้รับอนุญาต นักข่าวกับช่างกล้องถึงไปที่ห้องเรียนใหญ่
พวกเขาถ่ายไปไลฟ์สดไป สุดท้ายยังต้องเอาไปตัดต่อทำเป็นรายการแล้วเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ต
เนื่องจากไม่ได้มีการประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง คนที่ชมไลฟ์สดจึงมีไม่มาก มีกลุ่มใหญ่ที่เป็นแฟนคลับของซิวเหยียน ส่วนคนอื่นๆ ก็แค่ชาวเน็ตที่แวะมาดูกับคนที่สนใจด้านวิชาการจริงๆ
คนที่รับผิดชอบการติวช่วงบ่ายคืออาจารย์เมิ่ง
เธอย่อมได้รับแจ้งมาแล้ว รู้ว่าทางสถานีโทรทัศน์กลางจะมาไลฟ์สด
หลังจากที่ช่างกล้องเตรียมการเสร็จ การติวก็ดำเนินต่อ
อาจารย์เมิ่งเหลือบมองกล้อง หรี่ตาลง
วันนี้เช้าเดิมทีเธออยากลองทดสอบระดับความสามารถที่แท้จริงของอิ๋งจื่อจิน แต่เถิงอวิ้นเมิ่งกับเฟิงเย่ว์ขวางตลอด เธอเลยทำอะไรไม่ได้
ตอนนี้มีโอกาสแล้ว
นี่เป็นการถ่ายทอดสด ถ้าอิ๋งจื่อจินให้เถิงอวิ้นเมิ่งกับเฟิงเย่ว์ช่วยอีก แบบนั้นคงไม่ได้
อาจารย์เมิ่งมองอิ๋งจื่อจินด้วยสายตาเย็นชา “อิ๋งจื่อจิน เธอขึ้นมาอธิบายโจทย์ข้อนี้ให้ทุกคนฟังหน่อย”
ในขณะเดียวกันนักข่าวก็พูดอธิบายขณะทำการถ่ายทอดสด
“นักเรียนอิ๋งจื่อจินมาจากโรงเรียนมัธยมชิงจื้อ เป็นหนึ่งในตัวแทนที่เข้าสู่รอบตัดสินของไอเอสซีโดยตรงค่ะ”
มือของเถิงอวิ้นเมิ่งจับเสื้อของอิ๋งจื่อจิน เธอกังวล “จื่อจิน โจทย์ข้อนี้…”
“ไม่เป็นไร” อิ๋งจื่อจินตบมือของเถิงอวิ้นเมิ่งเบาๆ แล้วลุกขึ้นเดินออกไป