มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน “ถึงต่อให้เจ้าทำลายโฉมหน้าของข้าไป หลิงก็จะไม่รังเกียจข้า ส่วนเฟิงอวิ๋นซิวนั้น ข้ามิได้สนิทกับเขา”
หลิงตะโกนกล่าวขึ้น “อวี้จี เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้! หากเจ้ากล้าทำให้นางเจ็บแม้เพียงเล็กน้อยละก็ ข้าจะให้เจ้าทรมานอย่างอยู่มิสู้ตาย!”
ในตอนนี้ หลิงที่มีสีหน้าเยือกเย็นอำมหิตนั้น ได้ระเบิดความโกรธเกรี้ยวออกมาแล้ว
ผู้แข็งแกร่งระดับที่เจ็ดผู้นั้นกล่าว “หลิง ตอนนี้เจ้ายังจะเอาตัวเองไม่รอดเลย ยังจะมีใจไปเป็นห่วงผู้อื่นอีก”
เฟิงอวิ๋นซิวตะลึงงัน เขาได้ยินเข้าแล้ว ที่แท้ในใจของนางนั้น พวกเขามิได้สนิทกันเลยแม้แต่น้อย!”
อวี้จีกล่าว “อยากช่วยนางหรือ? น้องชายซิว ส่งกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มา แล้วข้าจะปล่อยตัวนาง”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “นอกจากกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์แล้ว เงื่อนไขอย่างอื่นให้เจ้าว่ามาได้ตามใจเจ้า!”
“ดูเหมือนว่าข้อต่อรองของเจ้ามันจะไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย อย่างไรเสียทำลายโฉมหน้านางเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว”
ฉึก! บนใบหน้าของมู่เฉียนซีได้มีหยดเลือดไหลออกมา
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ข้าไม่สามารถให้เจ้าได้ แต่ทว่าชีวิตของข้า ถ้าหากเจ้าอยากจะเอาไปก็เอาไปเสีย!”
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “เฟิงอวิ๋นซิว เจ้าบ้าไปแล้ว!”
“ข้าสัญญาว่าจะพาเจ้าออกไปอย่างปลอดภัย เรื่องที่ข้าให้สัญญาเจ้าเอาไว้จะต้องทำให้ได้ และข้าก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องขึ้นกับเจ้าด้วย”
“หึหึหึ! น้องชายอวิ๋นซิว ข้าจะเอาชีวิตของเจ้าไปทำอะไร? อย่างไรเสียฆ่าสาวน้อยนี่เสียก็แล้วกัน”
เมื่อเล็บของอวี้จีได้ลูบไล้เลื่อนลงมาจากตรงคางของมู่เฉียนซี นางนั้นคิดที่จะเปิดปากแผลขึ้นที่ตรงนี้ จากนั้นก็จะกระชากผิวหนังทั้งใบหน้าของนางออกมา
อวี้จียิ้มและกล่าว “ไม่ต้องกลัว ฝีมือของข้าเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก มันจะรวดเร็วอย่างแน่นอน……”
“อ๊าก!” นางยังไม่ทันที่จะกล่าวจบ ทันใดนั้นก็ได้เกิดเลือดสดๆพุ่งสาดกระเซ็นขึ้นมาตรงหน้า
และปรากฏรอยเลือดอันโหดร้ายตั้งแต่คอของนางจรดยังหน้าผาก
ที่ตรงหน้าของมู่เฉียนซีนั้นมีสิ่งมหึมาสิ่งหนึ่งปรากฏขึ้น มันจ้องอวี้จีด้วยความโกรธเกรี้ยวแล้วกล่าว “กล้าที่จะมาแตะต้องเจ้านายของข้าอู๋ตี้ผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าคงไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว!”
บึ้ม! อู๋ตี้ลงมืออย่างไม่เกรงใจ อวี้จีได้หลบหลีกไปอย่างรีบร้อน
บาดแผลบนใบหน้าของนางใหญ่มากเกินไปนัก เลือดสีแดงสดของอวี้จีได้ไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง
เบื้องหน้านั้นเป็นแมวสีขาวขนาดมหึมาตัวหนึ่ง ที่โอหัง อีกทั้งยังเอาแต่ใจและลงมืออย่างโหดเหี้ยม!
“ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา!” คนของตำหนักเป่ยหานรีบเข้ามาช่วยนางย่างร้อนรน แต่อู๋ตี้นั้นได้ฆ่าฟันไปทั่วทุกสารทิศ
“หึหึหึ! ก็ไม่คิดจะถามสักหน่อยหรือว่าข้าเป็นใคร? ข้าคือท่านอู๋ตี้ผู้ไร้เทียมทานในใต้หล้า” อู๋ตี้หัวเราะพร้อมกล่าวออกมา
“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับที่สี่!”
“แต่ความแข็งแกร่งนั่น มิใช่แค่เพียงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับที่สี่แน่!”
“………”
เฟิงอวิ๋นซิวตะลึงค้าง มิน่าละนางถึงได้เชื่อมั่นในตนเองเช่นนั้น ที่แท้ในมือของนางก็มีไพ่ตายที่ยังไม่ได้นำออกมาใช้เลยอยู่นี่เอง
นอกจากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับที่สามแล้ว กลับมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับที่สี่อีกตัวหนึ่งด้วย
เช่นนั้นแล้วหลังจากนี้ นางจะแย่งชิงกับเขาหรือไม่?
เขาไม่อยากที่จะเป็นศัตรูกับนางจริงๆ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการต่อสู้กับนางสักศึกหนึ่งเลย!
ครืน!
ในขณะที่อู๋ตี้กำลังต่อสู้อยู่กับคนของตำหนักเป่ยหาน สนามรบโบราณแห่งที่หนึ่งทั้งสนามก็ได้เริ่มพังทลายลง!
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “นั่นเป็นเพราะการมีอยู่ของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ สนามรบโบราณแห่งที่หนึ่งถึงมิได้พังทลายลง แต่มาตอนนี้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อยู่ในมือของข้า เกรงว่า……”
“รีบออกไปจากสนามรบโบราณแห่งที่หนึ่งเร็ว มิเช่นนั้นสนามรบโบราณจะพังทลายทั้งหมด หากพวกเราหลุดร่วงเข้าไปในรอยแตกของมิติจะเกิดปัญหาวุ่นวายเอา”
“อู๋ตี้ เสี่ยวหง!” มู่เฉียนซีเองก็ได้ตะโกนขึ้นอย่างรีบร้อน
ผู้แข็งแกร่งขั้นที่เจ็ดผู้นั้นก็มิได้ปะมือกับหลิงแล้ว แต่กลับไปพยุงตัวอวี้จีขึ้นมา เขากล่าว “พวกเราไปกันเถอะ!”
พวกเขาได้หาทางออกกันอย่างแข่งกับเวลาทุกเสี้ยววินาที แต่ทว่าความเร็วในการพังทลายลงของสนามรบโบราณแห่งที่หนึ่งนั้นรวดเร็วกว่านัก หลิงได้ดึงตัวของมู่เฉียนซีและพามุ่งไปทางด้านนอกอย่างรวดเร็ว
แต่ทว่าทั้งสนามรบโบราณแห่งที่หนึ่งนั้น ไม่อาจที่จะหาทางที่จะออกไปได้เลย
ซวนอีกล่าว “บีบหยกส่งตัวระยะไกลให้แตก พวกเราไปกัน! นายน้อย!”
“นายน้อย!”
“เฉียนซีนาง…..”
ซวนอีกล่าว “สาวน้อยนั่นเป็นคนของหลิง ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก เป็นไปไม่ได้ที่ตำหนักเป่ยหานจะไม่มีหยกส่งตัวระยะไกล!”
“ซีเอ๋อร์!”
หลิงมองไปที่มู่เฉียนซี “บีบหยกส่งตัวระยะไกลนี่ให้แตก เจ้าก็จะสามารถออกไปได้แล้ว”
“แล้วท่านอารองเล่า? หยกส่งตัวระยะไกลเช่นนี้ยังมีอีกหรือไม่?”
“เดิมทีอารองนั้นเป็นผู้ที่ได้ตายไปแล้ว ที่สามารถอยู่รอดมาได้ถึงทุกวันนี้และได้พบเจอเจ้า นั่นก็เป็นความสุขของข้าแล้ว น่าเสียดายที่อารองไม่สามารถที่จะช่วยเจ้าหากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ได้จนพบ”
“มิได้…..” มู่เฉียนซีได้ยัดหยกส่งตัวระยะไกลนั้นใส่ไปในมือของหลิง
“ซีเอ๋อร์ อย่าดื้อ!”
“นี่เป็นสิ่งที่เอาไว้รักษาชีวิตท่านอารอง ข้าจะไม่เอา! ใครบอกว่าท่านอารองเป็นผู้ที่ได้ตายไปแล้ว ตอนนี้ท่านอารองยังอยู่ดี และจากนี้ไปก็จะอยู่ดีเช่นกัน”
ขณะที่สองอาหลานกำลังโต้เถียงกันอยู่นั้น การแตกสลายของทั้งมิตินั้นได้เลวร้ายลงไปเรื่อยๆ
“อวี้จี พวกเราไปกันเถอะ! หากยังไม่ไปอีกจะไม่ทันการแล้ว!”
อวี้จีมองไปที่มู่เฉียนซีซึ่งอยู่ข้างกายของหลิง สายตาของนางส่องประกายเย็นวาบออกมา นางที่ได้รับบาดเจ็บไปแล้วอย่างหนักได้รวบรวมพลังทั้งหมดที่มี และแส้เพลิงเส้นหนึ่งก็ได้พุ่งฟาดเข้าไป
ปัง! เมื่อรู้สึกถึงอันตราย มู่เฉียนซีจึงคิดที่จะหลบหลีก
แต่การหลบหลีกในครั้งนี้ทำให้มู่เฉียนซีได้ตกเข้าไปในรอยแตกของมิติ
หลิงคิดที่จะกระโดดลงไปแต่ก็พลันมีเงาร่างสีเขียวเงาหนึ่งปรากฏตัวขึ้นและได้กดไหล่ของเขาเอาไว้พร้อมกล่าวขึ้น “เฉียน จะไม่เป็นอะไร!”
“ถ้าหากว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เช่นนั้นซีก็จะเป็นอะไรไปจริงๆเสีย”
เมื่อว่าจบชิงอิ่งก็ได้กระโดดลงไปทันที
เฟิงอวิ๋นซิวสีหน้าซีดเผือดขึ้นมา “เฉียนซี!”
ซวนอีได้ดึงตัวนายน้อยของตนเอาไว้อย่างรีบร้อน “นายน้อย กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์!”
“เจ้าอย่าเป็นอะไรนะ!”
เขานั้นเตรียมที่จะโยนกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ให้นาง แต่ถ้าหากว่าโยนลงไปจริงๆ ความพยายามที่พยายามกันมาหลายปีนั้นก็จะสูญเปล่า
เขามองไปที่รอยแตกของมิติที่ลึกเป็นหุบเหว ก็พลันรู้สึกเจ็บที่ขั้วหัวใจ
อวี้จียิ้มแล้วกล่าวขึ้น “หลิง ทำไมเจ้าถึงไม่ไปเสียสละความตายเพื่อความรักเล่า! เจ้าดูสิ องครักษ์นั่นของสาวน้อยได้กระโดดลงไปแล้ว เจ้าชอบนางมากขนาดนั้นก็กระโดดลงไปเสียสิ้นเรื่อง”
หลิงพุ่งไปทางอวี้จี “เจ้ามันรนหาที่ตาย!”
พวกเขาได้รีบบีบหยกส่งตัวระยะไกลให้แตก นางกล่าว “หลิง เจ้าคิดที่จะฆ่าข้าเจ้าฝันไปเถอะ! รอให้ข้ากลับไปถึงตำหนักเป่ยหาน เจ้ารอที่จะถูกผู้อาวุโสและเจ้าตำหนักจัดการเถอะ!”
หลังจากที่อวี้จีได้จากไปแล้ว หลิงก็ยังคงมิได้บีบหยกส่งตัวระยะไกลให้แตก
เฟิงอวิ๋นซิวเองก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยอาการงงงวย ซวนอีกล่าวขึ้น “นายน้อย รีบไป! หากว่ายังไม่ไปอีกจะไม่ทันเอาเสียแล้ว”
รอจนเมื่อกระทั่งสนามรบโบราณแห่งที่หนึ่งได้แตกสลายเป็นเสี่ยงๆไปแล้ว พวกเขาจึงได้บีบหยกส่งตัวระยะไกล
หลิงกล่าวด้วยเสียงต่ำ “ซีเอ๋อร์ เจ้าอย่าเป็นอะไรเด็ดขาด”
แม้ว่ารอยแยกของมิติจะน่ากลัว แต่ในตอนนี้ได้มีแสงอันเบาบางแสงหนึ่งห่อหุ้มตัวนางเอาไว้
หญิงสาวที่อ่อนโยนผู้มีผมและดวงตาเป็นสีฟ้าได้ดึงมือของนางที่อยู่ในมิติที่แตกสลายนี้เอาไว้ นางเดินทางอยู่ในนั้นอย่างเบาสบายเหมือนดั่งลูกปลาแหวกว่ายอยู่ในสายชล
พายุที่บังเกิดขึ้นในมิติแห่งนี้มิอาจที่จะทำอันตรายใดต่อนางได้เลยแม้แต่น้อย
เงาร่างสีเขียวเงาหนึ่งร่วงลงมาจากด้านบน มู่เฉียนซีตะลึงงัน “เจ้าโง่ชิงอิ่งกลับกล้าตามลงมา”
แต่ทว่าเขานั้นไม่มีหยกส่งตัวระยะไกล ถึงต่อให้ไม่ตามลงมาก็มิอาจที่จะทำอะไรได้
มือข้างหนึ่งของสุ่ยจิงอิ๋งได้ไปแตะบนตัวของชิงอิ่ง “เขาตกลงมาในมิติที่แตกสลาย แต่ร่างกายกลับไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว ร่างกายนี้แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่พายุในมิติมิอาจจะทำอันตรายใดกับเขาได้ เขาเป็นใครกันแน่?”
แคว่ก!
ถึงแม้ว่าร่างกายจะไม่เป็นอะไร แต่เสื้อผ้าทั้งตัวและหน้ากากของชิงอิ่งได้หายไปในทันใด
ผมสีดำของเขานั้นปลิวไสว ใบหน้าที่งดงามเหมือนดั่งภาพวาดนั้นได้ถูกเปิดออกมา สุ่ยจิงอิ๋งได้ยื่นมือออกมาปิดตาของมู่เฉียนซีเอาไว้
“ซีเอ๋อร์เป็นสาวน้อยผู้หนึ่ง มิควรที่จะเห็นภาพเช่นนี้
จากนั้นนางก็ได้กล่าวเสริมขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง “ไม่ว่าจะงดงามแค่ไหนก็ห้ามมอง!”