มู่เฉียนซีตกใจนิ่งอึ้งไปก่อนจะกล่าวถามว่า “จิ่วเยี่ย เจ้ามองข้าทำไม ?”
มุมปากของจิ่วเยี่ยยกยิ้มขึ้นอย่างสุขใจ “ซีเป็นคนเอ่ยปากขอให้ข้าจัดการ นั่นก็หมายความว่าข้านั้นได้กลายเป็นที่พึ่งของซีแล้วใช่หรือไม่”
“และซี ก็จะกลายเป็นผู้หญิงของข้าอย่างแท้จริง”
“ข้า……อือ……” ไม่ว่าคำต่อไปมู่เฉียนซีจะกล่าวสิ่งใด แต่จิ่วเยี่ยก็ใช้ปากปิดปากนางไปทันที
“สาวน้อย ได้ข่าวมาแล้ว นี่พวกเจ้า เออะ เอ่อ……”
ทันทีที่อาจารย์ใหญ่เหลยได้ข่าวก็รีบพรวดมาทันที และได้เห็นมู่เฉียนซีกำลังถูกชายผู้รูปงามผู้หนึ่งจูบอยู่ หนุ่มสาวคู่นี้เปิดกว้างเกินไปแล้ว!
แล้วก็……
สาวน้อยมีเจ้าของแล้ว เช่นนั้นหลานชายผู้โง่เขลาผู้นั้นของเขาก็ไร้ความหวังแล้วน่ะสิ
มู่เฉียนซีผลักจิ่วเยี่ยออก ใบหน้ายังคงร้อนผ่าวอยู่ แต่กลับกล่าวกับอาจารย์ใหญ่อย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ท่านมีข่าวอันใดเหรอ ?”
“คนที่เจ้ากำลังตามหา ดูเหมือนว่าจะอยู่ที่ป่าเทียนเหลย ผู้ทีมาส่งข่าวบอกข้าว่าที่นั่นได้มีการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหก”
“จิ่วเยี่ย พวกเรารีบไปกันเถอะ!” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างรีบร้อนใจ
อาจารย์ใหญ่รู้สึกได้ถึงสายลมพัดกระโชกผ่านหน้า จากนั้นทั้งสองก็ได้อันตรธานหายไป
เขาตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น “พลังของชายผู้นั้นช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว!”
ณ ป่าเทียนเหลย ในเวลานี้หลิงถูกคนของตำหนักเป่ยหานไล่ฆ่า
ไม่ได้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มา แต่อย่างน้อยก็จับคนทรยศได้ สิ่งนี้คงพอจะชดเชยความผิดได้บ้าง
มิเช่นนั้นหากผู้อาวุโสสูงสุดกับเจ้าตำหนักกล่าวโทษขึ้นมาแล้วล่ะก็ พวกเขาคงจะรับโทษนั้นไม่ไหวเป็นแน่
ตอนนี้ ใบหน้าที่สวยหยาดเยิ้มของอวี้จีพันผ้าพันแผลเอาไว้ ใบหน้าดูดุร้ายมาก
“จะปล่อยเจ้าหมอนั่นไปไม่ได้เด็ดขาด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นเพราะมันกับผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนนั้นได้ตายไปแล้ว ก็สมควรส่งหลิงตามไปอยู่กับนางเช่นกัน”
นอกจากกลุ่มไล่ฆ่ากลุ่มนี้แล้ว ในป่าเทียนเหลยก็ยังมีอีกกลุ่มหนึ่ง
ซวนอีขมวดคิ้วพลางกล่าว “นายน้อย พวกเราได้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มาแล้ว ควรรีบกลับดีกว่า หลิงกับพวกเราไม่ได้มีมิตรภาพที่ดีต่อกันเลยแม้แต่น้อย พวกเราไม่มีความจำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายไปต่อสู้กับผู้อาวุโสระดับเจ็ดของตำหนักเป่ยหานเพื่อช่วยชีวิตหลิงนะขอรับ”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวเสียงขรึมว่า “ข้าต้องทำอะไรสักอย่าง นางให้ความสำคัญกับหลิงมาก เพราะฉะนั้น……”
ซวนอีกล่าว “นายน้อย ท่านชอบสาวน้อยผู้นั้นเข้าแล้ว”
“ข้าเปล่า ข้าก็แค่ชื่นชมนางก็เท่านั้น!”
ชอบนาง เป็นไปได้อย่างไร เขามีคนที่เขาชอบตั้งนานแล้ว
ตูม ปัง ปัง! ภายในป่าเทียนเหลยได้เกิดสายฟ้าดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นอย่างสมบูรณ์
ส่วนหลิงในตอนนี้ทั่วทั้งร่างกายก็เต็มไปด้วยคราบเลือด บาดแผลที่อยู่บนร่างกายนั้นนับไม่ถ้วนแล้ว และสติของเขาก็เริ่มเบลอขึ้น
ความรู้สึกนี้คลับคล้ายเหมือนกับเขารู้จักมาก่อน
ในตอนนี้เขาคิดสิ่งใดอยู่……
พี่ใหญ่ อวู่ซวง ชิงเฉิน……
ยังมีซีเอ๋อร์ ซีเอ๋อร์ องค์หญิงน้อยแห่งตระกูลมู่ของพวกเขา
หลิงกำหมัดแน่น ต่อให้ร่างและวิญญาณของเขาจะเจ็บปวดจนแทบจะฉีกขาดเพียงใด เขาก็จะตายไม่ได้เด็ดขาด
ขวั่บ ขวั่บ ขวั่บ! คนของตำหนักเป่ยหานตามมาทันแล้ว
ผู้อาวุโสที่มีพลังวิญญาณขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ดผู้นั้นกล่าวว่า “หลิง ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนที่จริงใจต่อตำหนักเป่ยหานที่สุด นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าเจ้าจะทรยศเช่นนี้ วันนี้ข้าจำเป็นต้องกำจัดเจ้าให้สิ้น!”
อวี้จีก็ยิ้มพลางกล่าวว่า “หลิง ตลอดเวลาที่ผ่านมา เจ้าเป็นคนเหย่อหยิ่งมากไม่ใช่เหรอ ไม่เคยเห็นองครักษ์ฝ่ายขวาอย่างข้า อวี้จีอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีวันนี้ด้วย”
“ลงมือ!” ในขณะที่ตำหนักเป่ยหานกำลังจะลงมือ เฟิงอวิ๋นซิวก็ออกคำสั่งอยู่ในมุม ๆ หนึ่ง
“นายน้อย หากลงมือตอนนี้พวกเราจะเป็นอันตรายเอาได้ เมื่อถึงตอนนั้นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ก็จะถูกพวกมันแย่งไปนะขอรับ ข้าน้อยว่าปล่อยเขาไปเถอะ!”
“ข้าสั่งให้ลงมือ……”
เฟิงอวิ๋นซิวยังไม่ทันได้ลงมือ กลิ่นอายอันเย็นยะเยือกเข้ากระดูกก็แผ่ซ่าน ปกคลุมไปทั่วทั้งป่าเทียนเหลย
ทันใดนั้นเอง ร่างชุดดำร่างหนึ่งก็ได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขาอย่างรวดเร็วจนพวกเขามองไม่ชัด
พลังมืดพลังหนึ่งได้พัวพันพวกเขาเอาไว้!
อ๊า! ไม่ว่ายอดฝีมือขั้นมหาจักรพรรดิของตำหนักเป่ยหานเหล่านี้พยายามขัดขืนเช่นไรก็ไม่อาจสลัดหลุดออกไปได้
“ใครหน้าไหนกล้ามาขวางทางข้า!” ผู้อาวุโสขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ดของตำหนักเป่ยหานผู้นั้นตะโกนกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว
เผชิญหน้ากับยอดฝีมือผู้แปลกประหลาดเช่นนี้ แน่นอนว่าพวกเขาไม่อาจประมาทเลินเล่อได้ ดูเหมือนว่าเขาจะทุ่มอย่างสุดกำลังเพื่อจะฆ่าจิ่วเยี่ย
ทว่า เขาไม่สามารถแตะแม้แต่ชายเสื้อของจิ่วเยี่ยได้
จากนั้นพวกเขาก็ได้เห็นกับภาพเหตุการณ์อันแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่ถูกพลังมืดพัวพันเหล่านั้น ตอนนี้ได้กลายเป็นโครงกระดูกขาว กระจัดกระจายไปทั่วพื้นภายในชั่วพริบตา
ผู้อาวุโสระดับเจ็ดผู้นั้นรีบล่าถอยทันที และกล่าวด้วยความตกตะลึงว่า “คุกโลหิต……องค์ชายจิ่วเยี่ย!”
หลิงก็ตกใจเช่นกัน “องค์ชายจิ่วเยี่ย!”
นั่นเป็นตำนานที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดแห่งแดนนรก ต่อให้ร่วมมือกับองค์ชายทั้งหกแห่งแดนนรก ก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้
พลังวิญญาณของเขาเป็นลักษณะของความว่างเปล่าที่นำไปซึ่งความตาย สามารถทำให้สิ่งมีชีวิตทุกสรรพสิ่งเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่าได้
“องค์ชายจิ่วเยี่ย นึกไม่ถึงเลยว่าจะมาปรากฏตัวในที่แห่งนี้” เฟิงอวิ๋นซิวก็กล่าวขึ้นด้วยความตกใจเช่นกัน
ผู้แข็งแกร่งระดับองค์ชายนั้นยังห่างกับเขามาก ต่อให้เป็นระดับเจ้าตำหนักก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะคุกเข่าต่อหน้าองค์ชาย
พวกเขาคงจำคนไม่ผิดหรอกกระมัง!
ทว่า พลังอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ อีกทั้งกระบวนท่าที่สามารถทำให้คนกลายเป็นโครงกระดูกขาวได้ภายในชั่วพริบตานั้น มีเพียงแค่ผู้เดียวที่สามารถทำได้ นั่นก็คือองค์ชายแห่งคุกโลหิต องค์ชายจิ่วเยี่ย
ในแดนใต้ล้วนแต่เป็นกองกำลังระดับสอง ไม่มีทางที่จะติดต่อกับผู้แข็งแกร่งระดับนี้ได้ ดังนั้นถึงแม้ว่าจิ่วเยี่ยลงมือ ก็ไม่มีผู้ใดรู้ถึงตัวตนของเขา!
ทว่า กองกำลังระดับสามนั้นเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับผู้แข็งแกร่งอื่น ๆ มา โดยเฉพาะองค์ชายจิ่วเยี่ยผู้ที่ยากจะหยั่งรู้ได้ผู้นี้
ในตอนนี้ ผู้อาวุโสขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ดผู้หยิ่งยโสโอหังผู้นั้น เมื่อเผชิญหน้ากับจิ่วเยี่ยเช่นนี้ก็กลัวจนตัวสั่น
“องค์ชายจิ่วเยี่ย ขะ ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านรู้จักกับหลิง ข้าน้อย……”
ลมเย็นยะเยือกพัดกระโชก จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ตาย!”
“องค์ชายจิ่วเยี่ย ต่อให้ท่านเป็นจ้าวแห่งแดนนรก แต่ในดินแดนสี่ทิศแห่งนี้ พลังก็ต้องถูกยับยั้งอยู่ดี แข็งแกร่งสุดก็เพียงแค่ขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้า ท่านแน่ใจแล้วเหรอว่าจะตั้งตนเป็นศัตรูกับตำหนักเป่ยหาน”
มือของจิ่วเยี่ยค่อย ๆ ยกขึ้นอย่างช้า ๆ พลังอันน่าสะพรึงกลัวนั้นได้กักขังผู้อาวุโสเอาไว้
ตูม! ทักษะวิญญาณหนึ่งได้ตกลงมา มู่เฉียนซีรู้ว่านี่คือทักษะวิญญาณโยวหมิง
พรวด! ผู้อาวุโสผู้นี้กระอักเลือดคำโตออกมา
การลงมือขององค์ชายจิ่วเยี่ยนั้น แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยไว้ชีวิตเลย ไม่สิ……
ไม่เคยเหลือแม้กระทั่งซากศพเลย!
เขารู้ว่าตนเองนั้นดวงถึงฆาตแล้ว และตอนนี้ก็ทำได้เพียงแค่บังคับใช้พลังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อสู้อย่างสุดชีวิต!
เขาโคจรพลังวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง ใช้ทักษะต้องห้ามโดยที่ไม่คำนึงถึงสิ่งใด และยังกลืนยาวิญญาณเข้าไปไม่น้อย เพียงครู่เดียวพลังของเขาก็เพิ่มขึ้นถึงขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้า
พลังอันแข็งแกร่งนั้นแผ่ซ่านออกมาทำให้ผู้แข็งแกร่งทั่วทั้งเหลยโจวต่างตกใจกลัวเป็นอย่างยิ่ง!
ผู้แข็งแกร่งขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าปรากฏขึ้นในเหลยโจว นี่มันเกิดเรื่องใหญ่อันใดกัน
“ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็ไม่ยอมให้เจ้าอยู่เป็นสุขแน่ หากมันจะทำให้องค์ชายจิ่วเยี่ยผู้แข็งแกร่งได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าก็จะตายโดยที่ไม่เสียใจเลย!”
อ๊า! เขาที่บีบบังคับให้พลังเพิ่มขึ้นยังไม่ทันได้ลงมือแต่อย่างใด ก็ถูกจิ่วเยี่ยโบกด้วยฝ่ามือเดียวจนกระดูกทั่วทั้งร่างแหลกเป็นผุยผง
ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้น เขาช่างไร้เดียงสาเกินไปแล้ว
เดิมทีเขาคิดว่าเพิ่มพลังถึงระดับเก้าขึ้นสูงสุดก็สามารถต่อสู้กับจิ่วเยี่ยได้ กลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้
อวี้จีตกใจอ้าปากค้าง ตอนนี้ไม่สามารถไปสนใจหลิงได้แล้ว หนีเอาชีวิตรอดก่อนแล้วค่อยว่ากัน นางไม่อยากจะตายไปอย่างไร้ซากศพเช่นนั้น และทันใดนั้นเอง ร่างชุดม่วงก็ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของนาง มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “คิดจะหนีอย่างนั้นเหรอ ข้าขอแนะนำเจ้าว่าอย่าได้ฝันกลางวันไปเลย!”