“ซีเอ๋อร์สบายใจได้! ข้าเป็นกระบี่ที่คมกริบเล่มหนึ่งของตำหนักเป่ยหาน อีกทั้งยังเป็นกระบี่ที่จะไม่หักหลัง นอกเสียจากพวกนั้นมีหลักฐานอย่างแน่นหนา ฉะนั้นแล้วพวกเขาไม่มีทางสงสัยมาถึงข้าอย่างแน่นอน” หลิงตอบ
“แต่ทว่าอาการบาดเจ็บของอารองนั้นหายดีอย่างรวดเร็วนัก ข้าจะทำให้ท่านแสร้งทำเป็นบาดเจ็บต่อไปก่อน” นางไม่อยากที่จะให้อารองต้องเผชิญความเสี่ยงแม้เพียงเล็กน้อย
หลิงกล่าว “เช่นนั้นก็ต้องให้ซีเอ๋อร์จัดการให้แล้ว”
หลิงที่ได้รับบาดเจ็บหนัก และรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่ทวีปเหลยโจว แล้วเขาก็ได้ถูกคนของตำหนักเป่ยหานพบตัวเข้า จากนั้นก็ได้พาตัวเขากลับไปรักษา
มู่เฉียนซีมองเงาร่างของหลิงที่หายไปในมิติส่งตัวระยะไกล นัยน์ตาของนางได้ฉายแววแห่งความหม่นหมองออกมาแวบหนึ่ง ทุกครั้งที่นางได้พบกับอารองมักจะจบลงด้วยการจากกันไปอย่างเร่งรีบ
แขนข้างหนึ่งอ้อมมาจากด้านหลังของนางมาจนถึงตรงเอว จากนั้นก็ได้ดึงตัวนางเข้าไปในอ้อมกอดอันกว้างใหญ่และคุ้นเคย
“ไม่ต้องห่วง!” เขาไม่เข้าใจการปลอบประโลมสตรี จึงทำเพียงกล่าวออกมาเพียงสามคำด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ
มู่เฉียนซีพยักหน้าแล้วกล่าว “อื้ม! อารองจะไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน”
เมื่อกลับมาถึงหอหมอปีศาจ จิ่วเยี่ยได้โอบมู่เฉียนซีเอาไว้และกล่าวที่ด้านข้างหูของนางด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าจะทำให้ซีมีกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ที่สมบูรณ์เล่มหนึ่ง”
มู่เฉียนซีตะลึงงัน เขาคงจะไม่….
“ไม่มีร่องรอยของจิตกระบี่ วิญญาณกระบี่ก็เป็นสิ่งที่ยากจะรับมือเป็นที่สุด แต่ว่าข้าก็ยังมิได้สนใจมัน”
มู่เฉียนซีจับแขนของจิ่วเยี่ยเอาไว้แน่นแล้วกล่าว “วิญญาณพิฆาตแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ตอนที่ข้าดูในความทรงจำของตัวกระบี่ก็รู้ได้ว่าเจ้าหมอนั่นเป็นจอมฆ่าล้างที่กระหายเลือด แม้ว่าเจ้ามีจิตวิญญาณปีศาจที่พอประมาณกันกับมัน แต่เจ้าอย่าได้ลืมคำสาปที่อยู่ในร่างกายของเจ้าไป เจ้าคิดที่จะทำเช่นนี้แล้วได้รับบาดเจ็บหนักกับมันทั้งสองฝ่ายหรือ?”
จิ่วเยี่ยจูบลงที่บนหน้าผากของมู่เฉียนซีเบาๆ เขากล่าว “ไม่หรอก ข้านั้นทำใจที่จะได้รับบาดเจ็บหนักแล้วให้ซีรักษามิได้ นั่นจะทำให้ซีเป็นทุกข์ใจ!”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ากำลังเปลี่ยนเรื่อง”
“ต่อสู้เพื่อนางอันเป็นที่รัก เป็นเกียรติของข้าหวงจิ่วเยี่ย!” ดวงตาที่เย็นยะเยือกจ้องมองมู่เฉียนซีอย่างลึกซึ้ง
เขากัดติ่งหูของมู่เฉียนซีเอาไว้แล้วกล่าว “อย่าได้ปฏิเสธผู้ชายของเจ้าที่จะต่อสู้เพื่อเจ้า ได้ไหม? ซี!”
หัวใจของมู่เฉียนซีเต้นเสียจนไม่มีทางที่จะควบคุมเอาไว้ได้ ทำไมถึงได้รู้สึกว่าคำพูดของจิ่วเยี่ยนั้นลึกซึ้งมากเข้าไปทุกที นางนั้นเริ่มที่จะไม่สามารถต้านทานเอาไว้ได้แล้ว
หรือว่าช่วงนี้จื่อโยวได้พร่ำสอนอะไรมั่วซั่วให้จิ่วเยี่ยอีกแล้ว?
การรุกล้ำเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน การจูบที่ละเอียดลออได้ตกลงไปที่บนผิวหนัง นั่นทำให้ในหัวของมู่เฉียนซีว่างเปล่าขึ้นมา
มู่เฉียนซีอาศัยอยู่ที่ทวีปเหลยโจวเป็นการชั่วคราว พวกหุบเขาหมอเทวดาก็ถูกทำให้หวาดกลัวเสียนจนปิดตัวอยู่แต่ในหุบเขา ดังนั้นแล้วจึงเป็นโอกาสอันงดงามโอกาสหนึ่งของหอหมอปีศาจในการผูกขาดตลาดแต่เพียงผู้เดียว
ในตอนนี้หอหมอปีศาจมีชื่อเสียงขจรไปทั่วทั้งแดนใต้ พวกเขานั้นสามารถที่จะไม่รู้ได้ว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละทวีปนั้นคือผู้ใดบ้าง แต่พวกเขาคงมิอาจที่จะไม่รู้จักหมอปีศาจแห่งหอหมอปีศาจ
หลังจากที่ได้จัดการเรื่องการงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มู่เฉียนซีก็ได้ดึงตัวจิ่วเยี่ยไปฝึกบำเพ็ญและซ้อมกระบี่
พลังความสามารถของนางฟื้นฟูมาจนถึงขั้นจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สองเต็มขั้นแล้ว เพียงเก็บสะสมพลังวิญญาณต่อไปเรื่อยๆ การบรรลุจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สามนั้นคงเป็นเวลาอีกเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
“นี่เป็นผลแห่งการที่ข้าได้ศึกษามาหลายวันในช่วงนี้ มันมีผลในการยับยั้งอาการกำเริบจากคำสาปของเจ้าในระดับที่แน่นอน ถ้าหากว่าอาการกำเริบและเจ้าไม่สามารถที่จะมาอยู่ต่อหน้าข้าได้ ก็จงใช้มันในเวลาฉุกเฉิน”
“แล้วอีกอย่าง มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ไม่ได้สำคัญเท่ากับคัมภีร์หมื่นคำสาป สิ่งแรกนั้นก็เพียงสิ่งที่สามารถเพิ่มพลังให้กับข้าอย่างมหาศาล แต่สิ่งหลังนั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตของเจ้า เจ้าจะต้องเอากำลังทั้งหมดวางไว้ที่คัมภีร์หมื่นคำสาป เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
จิ่วเยี่ยทำแค่เพียงจ้องมองมู่เฉียนซีแต่มิได้กล่าวอะไรออกมา
“ถ้าหากว่าเจ้าไม่ให้ความสำคัญกับคำพูดของข้า ข้าจะโกรธเป็นอย่างมาก”
“ซีรู้ว่าข้าจะไปแล้ว?” จิ่วเยี่ยเงียบไปครู่หนึ่งจึงได้กล่าวคำพูดนี้ออกมา
“ลองคำนวณเวลาดูก็คาดว่าคงจะใกล้เวลาแล้ว เจ้าเองก็มิได้มาพักร้อนนี่ ข้าควบคุมดูแลหอหมอปีศาจเพียงที่เดียวยังยุ่งวุ่นวายถึงเพียงนี้ นับประสาอะไรกับเจ้า…..”
นางไม่รู้แน่ชัดว่าแท้จริงแล้วคุกโลหิตนั้นใหญ่โตเพียงใด แต่ด้วยพลังความสามารถเช่นจิ่วเยี่ยแล้ว กองกำลังที่เขาควบคุมอยู่จะมีขนาดเล็กกระจ้อยหรือ?
“ตัดใจได้ลงหรือ?”
มู่เฉียนซีหันไปมองหน้าจิ่วเยี่ย นิ้วอันเรียวยาวได้ลูบไล้ไปบนใบหน้าของเขาแล้วกล่าว “ได้เห็นใบหน้านี้ของเจ้าทุกวัน ช่างสุขกายสบายใจยิ่งนัก แน่นอนว่าข้าตัดใจไม่ลง”
“แค่เท่านี้เองหรือ?” จิ่วเยี่ยกล่าวถาม
มู่เฉียนซีกอดเขาเอาไว้แล้วกล่าว “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินว่ามีคนบอกจะสู้เพื่อข้า ข้าตื้นตันใจมากจริงๆ แต่ว่า! แต่ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วหากคนผู้นั้นไปสู้แล้วตายไป จงระวังข้าจะหาผู้ที่ทำให้สุขใจใหม่”
“ซี ข้าจะไม่ให้โอกาสนั้นกับเจ้า จะไม่ให้เจ้ามีแรงไปหาสิ่งสุขใจใหม่!”
ปัง! ผลลัพธ์ของการกล่าวคำพูดที่ผิดพลาด นางจึงได้ถูกจิ่วเยี่ยอุ้มกลับไปที่ห้อง
มู่เฉียนซีรู้สึกว่าภายใต้สถานการณ์ที่พลังความสามารถของทั้งสองไม่เท่าเทียมกันนั้น การท้าทายองค์ชายจิ่วเยี่ย การปลุกปั่นองค์ชายจิ่วเยี่ย นั่นเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ
ร่างกายของนางอ่อนยวบเสียจนลุกขึ้นไม่ไหวจนกระทั่งถึงกลางวันของวันต่อมา สุ่ยจิงอิ๋งได้ส่งตัวจิ่วเยี่ยกลับไปอย่างไร้สุ้มเสียง
อารองถูกตำหนักเป่ยหานควบคุมเอาไว้ แต่ทว่าพลังความสามารถของนางในตอนนี้ไม่สามารถที่จะต่อสู้กับตำหนักเป่ยหานได้เลย จะต้องกำจัดหุบเขาหมอเทวดาที่เป็นภัยดั่งหอกข้างแคร่เสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะได้แย่งตลาดโอสถของหุบเขาหมอเทวดามาแล้ว แต่ทว่ากลับมิได้สั่นคลอนถึงแก่นฐานของหุบเขาหมอเทวดาเลยแม้แต่น้อย
หากทันทีที่คนของหุบเขาหมอเทวดาพบว่าการที่กองกำลังผู้นำเจ็ดอสูรถูกฆ่าล้างบางนั้นเป็นแค่เพียงเรื่องบังเอิญ ที่จริงแล้วมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกนางเลย พวกนั้นจะต้องออกมาท่องยุทธจักรอีกครั้งอย่างแน่นอน
จะต้องทำให้หุบเขาหมอเทวดาแทบจะจบเห่ก่อนที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น
แต่ทว่าหุบเขาหมอเทวดาในตอนนี้ได้เก็บตัวเงียบอยู่ในหุบเขาของตน แนวค่ายกำลังที่ป้องกันหุบเขาเอาไว้ก็คงจะมิอ่อนแอ และมิอาจที่จะเริ่มลงมือได้เลยไม่ว่าจากทางใดก็ตาม
พวกนั้นคิดที่จะหดหัวต่อไปอีกนานเท่าไรกัน หากรู้ว่าหุบเขาหมอเทวดาขี้ขลาดตาขาวเช่นนี้ตั้งแต่แรก นางก็คงจะให้อารองเบามือกับกองกำลังผู้นำเจ็ดอสูรมากกว่านี้อีกหน่อย
มู่เฉียนซีมิได้เฝ้ารอนานนัก ก็ได้มีข่าวใหม่ข่าวหนึ่งรายงานเข้ามา นั่นก็คือหุบเขาหมอเทวดาเตรียมที่จะเปิดรับศิษย์ใหม่เข้าไป ดึงดูดเลือดรุ่นใหม่เข้าไป
ถ้าหากว่าเป็นการรับศิษย์ใหม่ของหุบเขาหมอเทวดาเมื่อก่อนหน้านี้ จะต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่อลังการอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้กลับกะทัดรัดเงียบงันผิดปกติ การรับศิษย์ใหม่ก็มิได้จัดขึ้นในทวีปเหยียนโจวซึ่งเป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลกทั้งสี่ทิศ แต่กลับจัดขึ้นที่ทวีปอวี่โจว
การรับสมัครศิษย์ใหม่ในครั้งนี้ไม่จำกัดหญิงชายแต่ทว่าอายุจะต้องมิเกินยี่สิบห้าปี พลังความสามารถนั้นจะต้องถึงระดับจักรพรรดิแห่งภูตเป็นอย่างต่ำ
มิจำกัดว่าเป็นผู้ที่กำเนิดจากถิ่นทวีปใด ขอแค่เป็นนักปรุงยา มีพื้นฐานในการปรุงยาก็ล้วนแต่สามารถเข้าร่วมการคัดเลือกได้ทั้งสิ้น
ดวงตาของมู่เฉียนซีเปล่งประกายออกมาแวบหนึ่ง ในตอนนี้หุบเขาหมอเทวดาทำตัวประหนึ่งเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดอง ถึงต่อให้พวกนั้นไม่ทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง แต่ด้วยความแข็งแกร่งของหอหมอปีศาจในตอนนี้ก็ยังมิอาจที่จะทำลายล้างพวกเขาได้
ทำไมถึงไม่ลองเข้าไปที่ภายในของพวกเขาก่อนเล่า? เข้าไปดูสถานการณ์ด้านในก่อนว่าสามารถที่จะสุ่มจับปลาในน้ำขุ่นได้หรือไม่
เงื่อนไขในการเข้าร่วมคัดเลือกเป็นศิษย์รุ่นใหม่ ช่างประจวบเหมาะว่านางล้วนแต่อยู่ในเกณฑ์
มู่เฉียนซีได้จัดการธุระในหอหมอปีศาจจนสิ้น และป่าวประกาศกับภายนอกว่านางกำลังเก็บตัวฝึกฝน
จากนั้นนางก็ได้แปลงโฉมเป็นหญิงสาวที่มีรูปลักษณ์ธรรมดาแล้วเดินทางมุ่งไปทวีปอวี่โจว
มู่เฉียนซีตรงเข้าไปขอสมัครเข้าร่วม ผู้ดูแลเรื่องของหุบเขาหมอเทวดากล่าวขึ้น “สาวน้อย เจ้าต้องการสมัครหรือ? จดหมายแนะนำเล่า?”
“จดหมายแนะนำตัว?”
“ไม่มีจดหมายแนะนำตัวแล้วยังคิดที่จะเข้าหุบเขาหมอเทวดาอีก สาวน้อยข้าว่าเจ้ารีบกลับบ้านไปเสียดีกว่า!”
ทันทีที่นางได้รับข่าวก็รีบเดินทางมาเพื่อสมัครเข้าร่วมที่ทวีปอวี่โจวด้วยความรวดเร็วอย่างที่สุด แต่กลับมิอาจเข้าร่วมการคัดเลือกของหุบเขาหมอเทวดาได้เลย เพราะต้องมีจดหมายแนะนำ
มู่เฉียนซีเตรียมตัวที่จะกลับไปยังหอหมอปีศาจในทวีปอวี่โจวเพื่อที่จะหาทางให้ได้มาซึ่งจดหมายแนะนำ แต่กลับมีคนกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจู่โจมเข้าเสีย
อีกทั้งคนผู้นั้นยังเป็นระดับมหาจักรพรรดิแห่งภูตผู้หนึ่งอีกด้วย มู่เฉียนซีหลบหลีกอย่างรีบร้อน กระบี่มังกรเพลิงได้ถูกนางชักออกมา
ถึงแม้ว่าฝั่งตรงข้ามจะมีพลังความสามารถที่แข็งแกร่ง ยังไม่ทันที่เขาจะได้โจมตีอีกกระบวนก็กลับถูกกระบี่ของมู่เฉียนซีจ่อไปที่คอ
“สาวน้อย เจ้าเอาจริงหรือนี่! ข้าก็แค่ล้อเล่นกับเจ้าเท่านั้นเอง”