ตอนที่ 12 –กลับคืน
เยี่ยหว่านที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดนี้แล้วก็ไปสลายกลุ่มคนที่มุงดูอยู่ ให้ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างสบายใจ
“ถือว่าเป็นรางวัลที่เอาชนะท้ายเกมเมื่อครู่นี่หรือ ได้สิ” หลี่ซูถงตอบกลับมา
“เสียงฮาโมนิก้าเมื่อกี้นี้คุณเล่นเหรอครับ” ชิ่งเฉินถาม
เยี่ยหว่านและหลินเสี่ยวเสี้ยวอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด พวกเขายังนึกว่าชิ่งเฉินอยากจะอาศัยโอกาสที่ชนะหมากรุกมาถามอะไร ผลคือดันเป็นแค่ถามถึงบทเพลงเพลงนี้เหรอ
บทเพลงน่าฟังมาก แล้วก็ไม่ได้แพร่กระจายออกสู่ภายนอก แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้ชิ่งเฉินสูญเสียโอกาสสำคัญขนาดนี้หรอกนะ
หลี่ซูถงเงยหน้าขึ้นยิ้มเต็มที่กล่าวว่า “ฉันเอง ทำไมหรือ ได้ฟังทำนองเพลงนี้ครั้งแรกหรือ”
ชิ่งเฉินคิด ๆ ดูแล้วกล่าวว่า “น่าฟังมากครับ”
“อืม” หลี่ซูถงเห็นกลุ่มคนแยกย้ายไปแล้วจึงพยักหน้าตอบว่า “มันเป็นเพลงที่ผู้ก่อตั้งองค์กรของพวกเราแต่งขึ้นมา เนื้อร้องก็เป็นเขาประพันธ์”
ชิ่งเฉินอึ้งไปครึ่งค่อนวันพูดไม่ออก เขาอยากพูดมากว่า : ผมเดาว่าผู้ก่อตั้งคนนั้นของพวกคุณอาจจะเป็นมนุษย์โลกนะ!
แถมผู้ก่อตั้งคนนี้ก็เหมือนจะหน้าไม่อายไปหน่อยนะ หอบเพลงมาแล้วดันเอามาเป็นผลงานของตัวเองซะงั้น
เดี๋ยวนะ องค์กรนี้ของพวกหลี่ซูถงก่อตั้งมานานมากแล้ว ก็ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสที่ทะลุมิติมาคนนั้นทะลุมาเมื่อไหร่นะ?
ชิ่งเฉินถามอีกว่า “ท่านสามารถร้องทั้งเพลงให้ผมฟังสักรอบได้ไหมครับ ผมอยากฟัง”
หลี่ซูถงกล่าวว่า “ได้ แต่ว่าเนื้อเพลงของบทเพลงนี้ไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์หรอกนะ ในช่วงเวลาอันยาวนานจะมีสิ่งที่ถูกโยนลงสายธารกาลเวลานั้นเสมอนั่นแหละ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่จะฟัง ๆ ดู” ชิ่งเฉินกล่าว เขาอยากจะยืนยันว่าเนื้อเพลงของบทเพลงนี้ก็เป็นอย่างเดียวกันกับบนโลกมนุษย์หรือไม่
หลี่ซูถงอุ้มแมวใหญ่บนโต๊ะไว้ในอ้อมแขน จากนั้นร้องเสียงเบา ๆ ว่า “นอกศาลายาว ข้างทางโบราณ หญ้าหอมสีหยกจรดนภา ลมยามค่ำพัดปัดกิ่งหลิว เสียงขลุ่ยเลือนราง อาทิตย์อัสดงบนเขาซ้อนเขา ปลายขอบฟ้า สุดแผ่นดิน การจากลาบางครามีมากนัก….”
หลี่ซูถงร้องจบแล้วยิ้มเอ่ยว่า “เนื้อเพลงการจากลาบางครามีมากนักประโยคนี้เป็นคนรุ่นหลังเสริมเข้ามา ว่ากันว่าเริ่มแรกไม่ใช่อย่างนี้เลย เพียงแต่ไม่ว่าจะเสริมอย่างไรก็เหมือนจะขาดความหมายไปหน่อย”
ชิ่งเฉินยืนนิ่งอยู่เป็นนานแล้วจู่ ๆ ก็กล่าวว่า “เปลี่ยนเป็นสหายรู้ใจพลัดพรากจากจรเป็นไงครับ”
“สหายรู้ใจพลัดพรากจากจร?” หลี่ซูถงอึ้งไป
ไม่รู้เพราะเหตุใด เขารู้สึกตลอดว่ามีเพียงคำห้าคำนี้จึงมีค่าควรแก่บทเพลงนี้
อำลา อำลา ผู้คนประดุจดั่งอาทิตย์อัสดง เพื่อนรู้ใจไกลถึงขอบฟ้า
ตอนเยาว์วัยดื่มสุราจนพอใจ ชีวิตเข้มแข็งประดุจกลางคิมหันต์
แต่ไม่รู้ว่าการอำลาครั้งไหนเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นไม่เคยได้พบกันอีก
หลี่ซูถงคล้ายกับนั่งอยู่ในเรือนจำมองดูพระอาทิตย์สีส้มแดงกำลังตกลงในเส้นขอบฟ้า และเพื่อนสนิทกำลังโบกมือให้เขาจากที่ไกล ๆ
หลังจากโบกมือก็หันร่างจากไป
“ขอบคุณ” หลี่ซูถงกล่าว “ประโยคเสริมประโยคนี้ดีแท้ อย่างกับว่าเนื้อเพลงดั้งเดิมของบทเพลงนี้ก็น่าจะเป็นประโยคนี้เลย”
“ไม่เป็นไรครับ” ชิ่งเฉินรับคำชมนี้ไปหน้าด้าน ๆ
หลี่ซูถงกล่าวด้วยความหวนหาอยู่บ้างว่า “บางครั้งมันน่าทึ่งมากจริง ๆ ผู้ก่อตั้งคนนั้นของพวกเราช่างเป็นคนที่เปล่งประกายน่าทึ่งอย่างแท้จริง ว่ากันว่าปีนั้นเพลงที่เขาแต่งมีมากมายดุจขนวัว ทุก ๆ เพลงล้วนเป็นของคลาสสิคที่สืบทอดกันมา เพียงแต่ว่าตอนจบของยุคสมัยที่แล้วล้วนเลือนหายไปจนหมด หลงเหลือแค่บทเพลงนี้เพลงเดียว”
“เหลือแค่เพลงเดียวเหรอครับ นั่นมันน่าเสียดายจริง ๆ” ชิ่งเฉินพูดในใจว่า หลี่ซูถงเอ่ยถึงยุคสมัยที่แล้วตรง ๆ เกรงว่าผู้อาวุโสผู้ทะลุมิติคนนั้นน่าจะทะลุมาก่อนหน้านี้นานมาก ๆ แล้ว
ยุคสมัยไม่ใช่หน่วยนับเวลา ทว่าเป็นการเริ่มต้นของอารยธรรมใหม่
ดูท่ามนุษย์ที่นี่เคยประสบกับการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยมาแล้วหนึ่งครั้ง แค่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ยังมีเพลงหนึ่งที่รู้แค่ชื่อ แต่ไม่รู้ทำนองเลย เหล่าผู้อาวุโสพลิกโบราณสถานมากมายค้นหาล้วนไม่สามารถหาโน้ตเพลงพบ” หลี่ซูถงส่ายหน้า
ชิ่งเฉินลังเลอยู่สองวินาทีจากนั้นหยั่งเชิงถามว่า “บทเพลงนั้นชื่อว่าอะไรครับ”
หลี่ซูถงมองเขาแวบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “แคนอน”
ถ้าก่อนพูดชิ่งเฉินยังมีทัศนคติกังขาต่อตัวตนผู้ทะลุมิติของผู้ก่อตั้งคนนี้ อย่างนี้ ณ ตอนนี้ก็แน่ใจโดยสิ้นเชิงแล้ว
แต่แคนอนที่จริงแล้วเป็นประเภทและเทคนิคของดนตรีอย่างหนึ่ง ในงานซิมโฟนีมากมายล้วนจะใช้ส่วนเทคนิคของ ‘แคนอน’ ตัวอย่างเช่น ‘ซิมโฟนีแห่งโชคชะตา’ ของบีโทเฟ่น, ‘การผันแปรของโกลด์เบิร์ก’ ของบาค
แต่ถ้าอีกฝ่ายก๊อปมาจากโลกจริง ๆ งั้นทำนองก็น่าจะเป็น ‘แคนอนอินดีเมเจอร์’ ของพัคเค็ลเบิล
ชิ่งเฉินคิดอยู่ว่าด้วยทัศนคติของหลี่ซูถงต่อผู้ก่อตั้งคนนี้ ถ้าตัวเองเอาโน้ตดนตรีของแคนอนให้เขาจะสามารถแลกเปลี่ยนกับเส้นทางเหนือมนุษย์สุดยอดได้หรือไม่
เขาไม่แน่ใจ เขาไม่มีทางแม้แต่จะอธิบายให้ตัวเองว่าไปได้โน้ตดนตรีอันนี้มาจากที่ไหน
รอไปอีกเถอะ ตอนนี้ชิ่งเฉินก็ยังไม่ได้จดจำโน้ตดนตรีของแคนอนเลย ยังต้องรอกลับไปแล้วค่อยชั่งน้ำหนักอย่างละเอียด
บทสนทนาจบลง ชิ่งเฉินทะลุผ่านกลุ่มคนตรงไปที่เขตอ่านหนังสือ ตอนนี้เขาต้องการนอนเพิ่มเติมอย่างยิ่ง ถึงข้าวจะไม่กินแล้วก็ต้องหลับสักตื่นค่อยว่ากัน
มีเพียงการรักษาสภาวะจิตใจอันสมบูรณ์พร้อมเขาจึงสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ข้างกายได้ทันกาล
แต่ว่าเขาเพิ่งจะฟุบลงบนโต๊ะในเขตอ่านหนังสือได้ไม่นาน ลู่ก่วงอี้ก็ตามมาอย่างระแวดระวัง
ลู่ก่วงอี้อยากจะตามมาคุยกับชิ่งเฉิน แต่กลัวว่าจะถูกคนพบเห็นจึงเกาหูเกาแก้มยุ่งอยู่นอกเขตอ่านหนังสือ
ชิ่งเฉินเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ไม้ต้องระวังขนาดนี้ หลี่ซูถงรู้ความสัมพันธ์ของผมกับคุณแล้ว แต่ไม่ต้องกังวล เขาเหมือนจะไม่ได้แคร์เลย ยังมี คุณไปทำธุระของคุณก่อน อย่ามากวนผม”
ในเรือนจำหมายเลข 18 ทุกที่ล้วนมีกล้องวงจรปิด พวกนักโทษทำพิธีรับน้องให้คนใหม่ยังต้องไปซ่อนอยู่ในห้องขัง ดังนั้นนอนหลับในเขตอ่านหนังสือเป็นสิ่งที่ปลอดภัยแล้ว
อันที่จริงชิ่งเฉินอยากจะสืบถามลู่ก่วงอี้มากเพื่อทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าตระกูลชิ่งมีแผนการอะไร
แต่เห็นอยู่กับตาว่าเวลากลับใกล้เข้ามา เขาไม่คิดที่จะต่อเติมเรื่องราวแยกย่อยแล้ว
ดังนั้นส่งลู่ก่วงอี้ออกไปก่อน หลังจากเขากลับไปค่อยครุ่นคิดว่าจะสืบถามอย่างไรจะดีกว่า
แต่ทว่าลู่ก่วงอี้ไม่ไป กลับมากระซิบกระซาบข้าง ๆ เสียงเบาว่า “เจ้านาย ผมคิดอยู่ครึ่งวันก็ไม่รู้ว่าควรจะเรียกท่านว่าอะไรดี ยังคงเรียกว่าเจ้านายคล่องปากที่สุด”
“คาดว่าท่านก็เคยได้ยินชิ่งเอี๋ยนเอ่ยถึงผมมาแล้ว ผมเนี่ยเกิดใต้ดาวอาภัพมาตั้งแต่เด็ก ไตก็ถูกพ่อผมเอาไปแลกเงินกับคนมีเงินแล้ว ให้ผมเปลี่ยนมาใช้ของเทียมแทน คุณว่าพ่อแม่ผมยังไม่รักผมแล้วยังมีมีใครรักผมกันล่ะ ภายหลังผมฟังที่ชิ่งเอี๋ยนพูด ครั้งนี้เป็นท่านที่ระบุชื่อให้ผมมากรุยทาง บอกว่าเห็นความสามารถภายในตัวผม ผมดีใจจังเลย! ท่านวางใจเถอะ ผมลู่ก่วงอี้ครั้งนี้ถึงจะต้องบุกน้ำลุยไฟเพื่อท่านก็จะไม่ปฏิเสธเด็ดขาด ถึงจะไปตายเพื่อท่านก็ยังได้!”
“แต่ก่อนผมตายยังมีเรื่องเสียดายอย่างหนึ่ง ท่านก็รู้ว่าผมก็ไม่สามารถเรียนหนังสือหนังหาสูงสักเท่าไหร่ แต่ตั้งแต่เด็กผมก็อิจฉาคนมีการศึกษาพวกนั้น…..”
ในที่สุดชิ่งเฉินอดไม่ได้แล้ว “สรุปว่าคุณอยากจะพูดอะไรเนี่ย”
ลู่ก่วงอี้บอก “ท่านสามารถสอนผมเล่นหมากรุกได้รึเปล่าครับ”
“เพราะอะไรถึงอยากจะเรียนหมากรุกล่ะ” ชิ่งเฉินอึ้งไป
“เพราะเท่ไง!” ลู่ก่วงอี้กล่าว “เจ้านาย แม้แต่บุคคลอย่างหลี่ซูถงยังกลายมาเป็นขุนพลผู้พ้ายแพ้ในเงื้อมมือของตัวเอง ไม่เท่หรอกเหรอ”
“เล่นหมากรุกชนะสองเกมก็มีหน้ามีตามากแล้วเหรอ” ชิ่งเฉินส่ายหน้า
“แหงสิครับ จะสู้ก็สู้เขาไม่ได้ สามารถเล่นหมากรุกชนะเขาสักหน่อยก็มีหน้ามีตามากแล้วล่ะ!” ลู่ก่วงอี้กล่าวอย่างเชื่อมั่นในเหตุผล
นี่ทำให้ชิ่งเฉินตื้นตันใจขึ้นมาหน่อย ฟังจากความหมายของลู่ก่วงอี้ พลังต่อสู้ของหลี่ซูถงเหมือนจะแกร่งมากเลยเหรอ
ได้ยินเพียงลู่ก่วงอี้กล่าวต่อว่า “ผมคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเจ้านายท่านหลังจากเข้ามาแล้วจะสามารถทำความรู้จักกับหลี่ซูถงได้ แล้วยังสามารถคบหากันกลมเกลียวอย่างนี้อีก ด้วยสถานะของเขาในคุกหมายเลข 18 นี้ บางทีอาจจะรู้ว่าสิ่งของที่พวกเราอยากหาซ่อนอยู่ที่ไหน อีกอย่าง ถ้าเผื่อท่านสามารถได้รับช่วงมรดกตกทอดจากเขา การฟันฝ่าแห่งเงานี้เกรงว่าจะแน่นอนแล้ว”
ข้อมูลในประโยคนี้มากมายมหาศาล แล้วก็ทำให้ชิ่งเฉินเข้าใจในที่สุดว่าเป้าหมายที่ตนเองมาที่นี่คืออะไร….. หาของสิ่งหนึ่ง
อีกอย่าง ตนเองกำลังมีส่วนร่วมในการแข่งขันอันหนึ่งด้วย
เพียงแต่ชิ่งเฉินยังคงไม่รู้ว่ามรดกตกทอดของหลี่ซูถงคืออะไร แค่รู้ว่ามันสำคัญเป็นพิเศษ
ชิ่งเฉินคิด ๆ แล้วกล่าวว่า “ได้ ผมจะสอนคุณเล่นหมากรุก ตอนนี้คุณไปให้ไกล ๆ ผมหน่อยได้ไหม”
“รับทราบขอรับ” ลู่ก่วงอี้วิ่งไปทางเขตนันทนาการราวหมอกควัน
………………..
กลางคืน นับถอยหลัง 00:05:00
ชิ่งเฉินนั่งอยู่บนเตียงเย็นเฉียบ มองดูตัวเลขนับถอยหลังสีขาวบนแขนเงียบ ๆ
เฟืองกลไกในการนับถอยหลังหมุนไปช้า ๆ เวลาห่างจากการกลับไปเหลือเพียงห้านาทีสุดท้าย
เขาก็ไม่แน่ใจว่าตนเองยังจะกลับมาที่นี่หรือไม่ เวลาสองวันสำหรับเขาช่างเหมือนความฝันหนึ่งตื่น รู้จักกับคนหลายคน แล้วก็ได้เห็นโลกที่ไม่เหมือนเดิม
ความพิเศษของหลินเสี่ยวเสี้ยวและหลี่ซูถงในที่สุดได้ทำให้เขาเกิดความมุ่งหวังต่อโลกใบนี้แล้ว
คล้ายกับมีโลกใบใหม่เปิดประตูกว้างเพื่อตนเอง
ชิ่งเฉินคิด ๆ ดู จากนั้นใช้ปลายของแปรงสีฟันออกแรงสลักคำว่า “เคยมา” สองคำอยู่ที่หัวเตียงไม้
จากนั้นเขาบิดเนื้อบนแขนของตนเองจนเป็นรอยสีม่วง อยากจะดูว่าถ้าตนเองเอาบากแผลกลับโลกมนุษย์จะมีความเปลี่ยนแปลงอะไร
นับถอยหลัง
10
9
8
7
6
5
4
3
2
1
โลกแตกสลายไปอีกครั้ง ความมืดมิดอันคุ้นเคยมาเยือนในที่สุด
กลับคืน
………………………………..
ตอนที่ 13 –มีคน