ตอนที่ 89 – ความกล้าหาญ
ในรีสอร์ทอวิ๋นซ่าง หนานเกิงเฉินร้องไห้โฮถูกลากเข้าห้องบนชั้นสอง
นอกหน้าต่างก็คือแสงกองไฟที่สั่นไหว แต่เขากลับเหมือนตกลงสู่ขุมนรก
หนานเกิงเฉินร้องไห้ว่า “พี่ใหญ่ ขอร้องคุณอย่าแตะผมเลยนะ จริง ๆ นะ ผมเห็นหูเสี่ยวหนิวกับจางเทียนเจินนั่นหน้าตาดีกว่าผมนะ คุณไปหาพวกเขาเถอะ!”
เขาร้องไห้พลาง แอบเกร็งท้องน้อยสุดชีวิต
เขาเคยอ่านบนอินเตอร์เน็ตว่า ว่ากันว่าในชั่วเวลาวิกฤตประเภทนี้ ถ้าสามารถฉี่ราดได้ทันเวลา ไม่แน่ว่าจะสามารถทำลายความอยากของอีกฝ่าย อยู่รอดปลอดภัย
เพียงแต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าตนเองก็จะมีวันที่ได้ใช้ทริคนี้ออกมา
แต่ทว่า เสียงอีกฝ่ายปลดเข็มขัดในจินตนาการไม่ได้เกิดขึ้นเลย
คนร้ายคนนี้สวมแจ็คเก็ตหนังสีดำ เหนือศีรษะโกนเป็นทรงเกรียน
ตรงลำคอ รอยสักมังกรดำหนึ่งตัวขยายไปจนถึงคาง ดูแล้วดุร้ายเป็นพิเศษ
คนร้ายถอดถุงมือของตนเองช้า ๆ เผยอวัยวะจักรกลหยาบ ๆ ด้านในออกมา เขาขยับนิ้วของตนเอง เหมือนจะเป็นเพราะความเก่า ตอนที่นิ้วมือกำหมัดและคลายมือยังจะส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดออกมา
ทำให้คนเสียวฟัน
คนร้ายอยู่อยู่ตรงหน้าหนานเกิงเฉินมองอย่างเย็นชา จนกระทั่งเสียงร้องไห้ของเขาค่อย ๆ เบาไปหน่อย จึงถามโดยสงบว่า “ไอ้หนู ฉันไม่สนใจผู้ชาย ตอนนี้ฉันถามคำถามแก แกตอบมา ในความร่วมมือดี ๆ หน่อยจะสามารถเก็บชีวิตไว้ได้ เข้าใจไหม”
“เข้าใจครับ ๆ!” หนานเกิงเฉินรีบพยักหน้า
“แกอยู่ที่โลกภายในมีฐานะอะไร” คนร้ายถาม
หนานเกิงเฉินอึ้งงัน เดิมทีเขานึกว่าตนเองจะถูกพามาล่วงละเมิดหนึ่งรอบที่ห้องนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจู่ ๆ จะถามฐานะที่โลกภายในของเขา
นี่กับสิ่งที่เขาคิดไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง อย่างกับว่าการกระทำของอีกฝ่ายเมื่อครู่นี้ก็เป็นเพียงการทำท่าทางให้คนอื่นดูเท่านั้น
แต่ในชั่วระยะเวลาอันสั้นเขายังคิดไม่ออกว่าเหตุใดถึงมีจุดเปลี่ยนนี้ แล้วอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไรว่าตนเองเป็นนักท่องเวลา
เห็น ๆ อยู่ว่าตนเองปกปิดได้ดีมากนะ ใคร ๆ ก็ไม่รู้ทั้งนั้นเลย!
กลับเห็นคนร้ายใช้ปากกระบอกปืนจิ้มหน้าผากของเขา “ถามแกแล้วนะ”
หนานเกิงเฉินกล่าวน้ำตานองว่า “ผมเป็นแฮคเกอร์……”
“แฮกเกอร์?” คนร้ายแอบบ่นว่าซวย
ต้องรู้ว่า การทะลุไปโลกภายในจะไม่ได้สืบทอดความรู้ ดังนั้นนักท่องเวลาสายเทคนิคในสายตาของพวกเขาไม่มีมูลค่าที่สุด ได้แต่พูดว่าเป็นฐานะว่างเปล่า ไม่มีความสามารถ
อีกอย่าง ฐานะนี้ดีไม่ดียังจะกลายเป็นเครื่องถ่วง
คนร้ายถามต่อว่า “แกอยู่เมืองไหน”
“เมืองหมายเลข 18” หนานเกิงเฉินตอบ
“เขตที่เท่าไหร่”
“เขตที่หนึ่ง” หนานเกิงเฉินรีบเสริมอีกว่า “ผมก็เพิ่งจะย้ายไป”
คนร้ายผิวปาก “ที่แท้เป็นคนมีเงินที่อยู่เขตที่หนึ่ง แกทำไมถึงเพิ่งจะย้ายไปล่ะ”
หนานเกิงเฉินกล่าวอย่างรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจยิ่งว่า “ผมก็เพิ่งจะถูกรับเลี้ยง”
คนร้ายอึ้งงันแล้ว นี่มันอะไรยังไงเนี่ย เขาถามต่อว่า “บนลานส่วนรวมชื่อสุ่ยเขตที่หนึ่ง ภาพฉายฮอโลแกรมที่ปล่อยออกไปล่าสุดคืออะไร”
หนานเกิงเฉินกล่าวว่า “เป็นภาพฉายวาฬเพชรฆาตสามตัวกระโดดขึ้นจากผิวน้ำ”
คนร้ายคิดแล้วกดวิทยุสื่อสารบนหน้าอก “พี่ใหญ่ ยืนยันแล้วว่าเป็นนักท่องเวลาเขตที่หนึ่งเมืองหมายเลข 18 ลงมือเก็บกวาดสถานที่เถอะ”
พูดจบ เขาปล่อยวิทยุสื่อสารกำลังจะแบกหนานเกิงเฉินออกไปนอกประตู
ในคลองสายตาของหนานเกิงเฉิน พริบตาที่คนร้ายโน้มตัวมาจับเขา ด้านหลังคนร้ายที่เดิมทีขวางกั้นเบื้องหน้าปรากฏเด็กหนุ่มที่ปิดบังหน้าตาคนหนึ่ง
อีกฝ่ายใช้ผ้าพันคอปิดหน้า แต่หนานเกิงเฉินยังคงสามารถมองเห็นว่ามีลวดลายสีแดงเพลิงอยู่ใต้ผ้าพันคอ ขยายไปจนถึงหางตาสองข้าง
เขาไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มนี้ปรากฏตัวเมื่อใด เขากับคนร้ายสองคนล้วนไม่เคยตระหนักถึงการเข้าใกล้ของอีกฝ่าย
ไม่มีฝีเท้า ไม่มีการหายใจ
อะไรก็ล้วนไม่มี
คนร้ายคล้ายกับจะสังเกตเห็นความผิดปกติในสีหน้าของหนานเกิงเฉินเหมือนกัน แต่ร่างของเขาขยับไม่ได้แล้ว
ม้ามเป็นธนาคารเลือดของร่างกายคน พอมันถูกแรงภายนอกโจมตีจนฉีกขาด ผู้ที่ได้รับการโจมตีจะเสียเลือดแล้วตายไปอย่างรวดเร็ว
ความเร็วเป็นรองเพียงการถูกคนตัดเส้นเลือดใหญ่ที่ลำคอเท่านั้น
คนร้ายเพียงรู้สึกว่าร่างกายตนเองเย็นลงอย่างรวดเร็ว เขาถึงขนาดสามารถได้ยินเสียงเลือดของตนเองหยดลงพื้น
ฟองเลือดค่อย ๆ ซึมออกจากในปากเขา คนร้ายอยากจะเอื้อมมือไปกดวิทยุสื่อสาร
แต่มีคนที่เอื้อมมือมาจากด้านหลังเขาอย่างอ่อนโยนแล้ว ดึงวิทยุสื่อสารบนหน้าอกของเขาไป
“คุณ……เป็นใคร” หนานเกิงเฉินกล่าวอย่างเบลอ ๆ
ชิ่งเฉินมองเขาอย่างสงบนิ่ง “ไม่ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้จักฉันเลย ตามฉันมา ตอนนี้ไม่ว่างจะคุยเล่นกับนาย”
“โอเคพี่เฉิน……” หนานเกิงเฉินเอ่ยอย่างตื่นเต้น
หนานเกิงเฉินสามารถจำตนเองออก ชิ่งเฉินไม่ได้เหนือคาดเลย
ทั้งสองคนเป็นเพื่อนร่วมชั้นมาตั้งแต่มัธยมปลายปีหนึ่ง หลังจากแยกสายวิทย์สายศิลป์ไม่เพียงเป็นเพื่อนร่วมชั้น ยังเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะ
เด็กหนุ่มที่ยากจนขมขื่นสองคนเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดมาตลอด ชิ่งเฉินถึงจะสามารถปิดใบหน้า แม้กระทั่งจงใจทำทรงผมให้ยุ่ง
แต่หนานเกิงเฉินแค่ต้องมองดวงตา, หุ่นของเขาแวบเดียวก็สามารถมั่นใจในตัวตนของชิ่งเฉินแล้ว
หนานเกิงเฉินตามหลังชิ่งเฉินเตรียมจะจากไป เขางึมงำอย่างตื่นเต้นว่า “คิดไม่ถึงว่านายถึงกับจะมาช่วยฉัน ถ้านายไม่ปรากฏตัว ไม่แน่ว่าฉันจะถูกพวกเขาจับไปแล้ว……”
แต่ตอนที่ชิ่งเฉินตั้งใจจะพอหนานเกิงเฉินออกไปทางประตูหลัง นอกหน้าต่างจู่ ๆ เกิดเสียงเครื่องกลอย่างต่อเนื่อง
มีคนตะโกนว่า “วิ่งเร็ว พวกเขาจะปิดปากแล้ว!”
ชิ่งเฉินหันควับมองไปนอกหน้าต่าง
นั่นเป็นเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของปืนหลังจากติดตั้งอุปกรณ์เก็บเสียง
กองไฟข้างนอกเหมือนกับทะเลเพลิงที่ส่องสะท้อนท้องฟ้า เสียงกรีดร้องของเหล่านักเรียนดุจดั่งน้ำต้มที่กำลังเดือดพล่าน
เขาดึงปืนพกออกมาจากเอวเดินไปที่ข้างหน้าต่าง เถ้าแก่กับพนักงานของรีสอร์ทอวิ๋นซ่านนอนจมกองเลือดไปแล้ว เหล่านักเรียนหนีกระจายอย่างหวาดกลัว
เห็นเพียงสมาชิกคุนหลุนสองคนไม่รู้ว่าถูกยิงล้มไปแล้วตั้งแต่เมื่อใด ประตูใหญ่ของรีสอร์ทอวิ๋นซ่างถูกคนเปิดออกไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด เหล่านักเรียนกำลังหนีไปข้างนอกอย่างชุลมุน
สมาชิกคุนหลุนคนหนึ่งช่องท้องเลือดเนื้อเลอะเลือน นอนหงายบนพื้นคอนกรีตอันเยียบเย็น ดวงตาไร้แวว
สมาชิกคุนหลุนอีกคนหลับตาคุกเข่าอยู่ข้างประตูใหญ่ตัวเอียง ๆ
ในมือเขาถือปืนหนึ่งกระบอก ด้านข้างเป็นคนร้ายที่สิ้นลมไปแต่แรกแล้วคนหนึ่ง ในที่ไกลกว่านั้นยังมีศพของคนร้ายหนึ่งศพ
คนร้ายสองคนถูกยิงรวมทั้งสิ้นสี่นัด บนร่างสมาชิกคุนหลุนเต็มไปด้วยเลือด ไม่อาจแยกแยะว่าถูกยิงไปมากน้อยเท่าไหร่แล้ว
เหมือนกับว่าเขาเสี่ยงชีวิตเปิดประตูใหญ่ เปิดเส้นทางรอดชีวิตสายหนึ่งให้กับเหล่านักเรียน
ณ ขณะนี้เอง เหล่านักเรียนกำลังดิ้นรนลุกขึ้น หนีไปข้างนอกอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
ชิ่งเฉินไม่รู้ว่าพริบตาเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น แม้แต่มันสมองที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ก็คล้ายกับจะมีปฏิกิริยาไม่ทันอยู่บ้าง
ตอนที่เขามาถึงข้างหน้าต่าง สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นล้วนเกิดขึ้นไปแล้ว
แค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น คนก็ตายไปมากขนาดนี้แล้ว
ชิ่งเฉินมองศพที่คลุมไปด้วยเลือดทั้งตัวสองศพนั้น เนื่องจากไม่ได้เห็นกับตา ดังนั้นความรู้สึกก็มาถึงช้าไปบ้าง
ไม่มีความเศร้าโศกอะไร แล้วก็ไม่มีความซาบซึ้งใจอะไร
มีเพียงสิ่งของอะไรบางอย่างที่ติดอยู่ในใจอย่างกะทันหัน ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ติดค้างอยู่คืออะไร
ในความอลหม่าน คนร้ายที่เหลืออยู่ไม่กี่คนถึงกับไม่ได้ไปไล่ล่านักเรียน ทว่าสีหน้าอึมครึมมัดสองมือของหลิวเต๋อจู้, หูเสี่ยวหนิว, จางเทียนเจิน ตั้งใจจะปะปนไปด้านหลังนักเรียน พานักท่องเวลาจากไป
ใช่แล้ว เป้าหมายของคนร้ายคือนักท่องเวลา ตอนนี้แผนการเกิดอุบัติเหตุแล้ว คิดว่าการปิดปากนักเรียนทั้งหมดเป็นไปไม่ได้แล้ว
อย่างนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือหยุดความเสียหายอย่างทันท่วงที
ในวิทยุสื่อสารมาเสียงดังออกมาว่า “เจ้าห้าไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว อาจจะเกิดอุบัติเหตุแล้ว เจ้าสาม แกกับเจ้าสี่พาสองคนนั้นที่ชั้นบนลงมา พวกเรารวมพลกันที่ลานจอดรถ”
เจ้าสี่เจ้าห้าตายไปแล้ว
ชิ่งเฉินสังเกตการณ์ทุกสิ่งเงียบ ๆ จู่ ๆ เขาคิดถึงคำที่เยี่ยหว่านเคยพูด “สิ่งของอย่างความเลือดเดือดนี่ถ้าตัวเองสามารถควบคุมได้ งั้นก็ไม่เรียกว่าความเลือดเดือดแล้ว มีบางเวลา มีแค่ตอนที่คุณเผชิญกับเรื่องอย่างหนึ่งจริง ๆ จึงจะเข้าใจการเลือกของตนเอง”
“รออยู่ที่นี่ จำไว้นะ คืนวันนี้ฉันไม่เคยปรากฏตัว ถ้าฉันไม่ได้กลับมา…… ก็ไม่ต้องบอกพ่อแม่ของฉัน” ชิ่งเฉินลงเสียงพูดจบก็เดินออกไปข้างนอก
อันที่จริงเขาก็ไม่คิดที่จะเสี่ยงอันตรายต่อไปอีก ถึงอย่างไรหนานเกิงเฉินช่วยชีวิตมาได้แล้ว เวลานี้กำลังเป็นโอกาสดีที่ตนเองจะจากไป
แต่ชิ่งเฉินกำลังคิดว่า ตนเองพยายามสุดกำลังแล้วหรือเปล่า
ตอนนี้หมุนตัวจากไป ชีวิตนี้ตอนที่ต่อสู้กับคนเขาอีกจะนึกย้อนถึงว่าวันนี้ตนเองเคยขี้ขลาดทุกครั้งเลยหรือไม่
ในชั่วขณะหนึ่ง เขารู้สึกว่าสิ่งที่แม่เยี่ยพูดถูกต้องมาก ทหารกล้าที่ข้ามแม่น้ำ เปื้อนเลือดแล้วก็ไม่สามารถหันกลับแล้ว
ไม่เกี่ยวกับกฎระเบียบ, คำสั่งทหาร, ผลได้ผลเสีย
นั่นคือความกล้าหาญ
…………………………………
ตอนที่ 90 – สายข่าว