กลับถึงจวน นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าท่าทีของคนเฝ้าประตูแปลกไป ดูนอบน้อมกว่าแต่ก่อน ทว่าแววตาประหลาดพิกล ไม่เฉพาะยามเฝ้าประตูเท่านั้น แม้แต่พวกบ่าวไพร่ในจวนก็เช่นเดียวกัน ท่าทีที่ดูใส่ใจยิ่งทำให้รู้สึกไม่ชอบมาพากล
“ใต้เท้าขอรับ ข้าน้อยเห็นสายตาคนในจวนท่านแล้ว…” เสี่ยวเหยียนจื่อมองรอบตัว รู้สึกถึงความผิดปกติ
นางทำเหมือนไม่เห็น เอ่ยเสียงเรียบว่า “ที่พวกเขาเคารพนบนอบก็เพราะนอกจากพี่ชายใหญ่ของข้าที่ไปรับตำแหน่งอยู่ต่างเมืองแล้ว ก็มีข้าเป็นคนแรกในจวนที่มีตำแหน่งขุนนาง ทั้งยังเป็นขุนนางที่มีอำนาจจริงๆ ด้วย เป็นขุนนางขั้นสี่ ต่อให้พบพี่ใหญ่ของข้าที่เป็นถึงแม่ทัพขั้นสาม ข้าก็ไม่จำเป็นต้องคารวะด้วยซ้ำ พวกเขาจึงไม่กล้ามองข้าด้วยสายตาดูแคลน”
เสี่ยวเหยียนจื่อฟังแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก แต่ในใจรู้สึกอุ่นวาบ ใต้เท้าเห็นเขาเป็นคนของตัวเอง จึงได้บอกเล่าเรื่องที่ไม่แพร่งพรายในจวนให้เขาฟัง เห็นได้ชัดว่าใต้เท้าใช่ว่าจะมีชีวิตที่ดีในจวนตนเอง ทั้งยังเผยความในใจออกมาตรงๆ เช่นนี้
คิดเช่นนี้แล้ว เสี่ยวเหยียนจื่อก็รู้สึกซาบซึ้งที่ใต้เท้ายอมรับและเห็นคุณค่าของตน ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะไม่ยอมให้คนนอกมารังแกใต้เท้าของตนแน่ แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ทันรู้ตัวว่าตนได้วางตัวเป็นคนในเสียแล้ว
ด้านชิวเยี่ยไป๋ แม้ไม่อยากใส่ใจกับท่าทีและสายตาประหลาดของคนในจวน แต่เห็นมากเข้าก็ชักเบื่อ จึงตัดสินใจใช้ทางเล็กในสวนไปยังเรือนของนางเฟิงซื่อ นึกไม่ถึงว่าจะเจอคนผู้หนึ่งระหว่างทาง
“น้องสี่ จะรีบไปหาอี๋เหนียงห้าเพื่อดูน้องหกหรือ” หญิงสาวผู้อ่อนโยนสง่างามในชุดชวีจวี[1]สีม่วงดอกติงเซียง ยืนอยู่ริมทะเลสาบหันหน้ามา ใบหน้าค่อนข้างกลมดั่งจานหยกระบายยิ้มจางๆ ทั้งร่างยังคงแผ่กลิ่นอายของสตรีสูงศักดิ์ในหอห้องที่อยู่กับตำรับตำรา
ชิวเยี่ยไป๋มองหญิงสาวที่โผล่มาหยุดนางไว้กลางทาง เอ่ยเสียงเรียบว่า “พี่สาม วันนี้ข้ามีธุระ หากท่านจะพูดคุยฉันพี่น้อง รอให้ข้าไปคารวะอี๋เหนียงห้าก่อนค่อยมาคุยกับท่าน”
ชิวซั่นจิงมองนาง ยิ้มให้แล้วเดินเข้ามาขวางตรงหน้านาง เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “น้องสี่คงกังวลเรื่องน้องหกกระมัง เดิมวันนั้นข้าคิดจะเกลี้ยกล่อมนางไม่ให้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก แต่เจ้าก็รู้ว่าน้องหกเป็นบุตรสาวอนุที่ถูกเลี้ยงดูเสมือนบุตรสาวภรรยาเอก มีหรือจะฟังข้า”
ได้ฟังเช่นนั้น แววตาชิวเยี่ยไป๋สาดประกายเย็นเยียบวูบหนึ่ง นางจ้องชิวซั่นจิง เอ่ยเสียงเย็นว่า “พี่สาม ท่านคิดจะพูดอะไร”
เห็นทีเหตุการณ์ในวันนั้นนางคงมีส่วนร่วมด้วยเป็นแน่
ชิวซั่นจิงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เอ่ยเสียงเบาว่า “ยังจำได้หรือไม่ ตอนงานเลี้ยงรับวสันต์ เจ้าให้ฮูหยินใหญ่สอนมารยาทการวางตัวให้ข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าการฝึกนั้นมันไม่ง่ายเลย ทว่าบัดนี้ข้าคิดว่าน้องหกต่างหากที่ต้องรับการอบรมเรื่องการวางตัว”
ชิวเยี่ยไป๋สะดุ้งในใจ จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ “พี่สาม แล้วท่านคิดว่าอย่างไรเล่า”
จะว่าไปแล้ว นางยังคงไม่เข้าใจนักว่าชิวซั่นจิงคิดจะทำอะไรกันแน่
ดวงตาชิวซั่นจิงหรี่โค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยว “ข้าจะไปคิดอย่างไร ข้าก็คิดเช่นนี้เท่านั้นเอง”
ทันใดนั้นนางก็มองชิวเยี่ยไป๋อย่างไม่อยากเชื่อสายตา ตัวสั่นกรีดร้องเสียงแหลมว่า “น้องสี่ ข้า…ข้ามิได้คิดร้ายต่อน้องหกนะ ข้าเตือนนางแล้ว แต่…อ๊ะ!”
ไม่ทันขาดคำ ร่างก็ร่วงลงไปในทะเลสาบ
มุมปากของชิวเยี่ยไป๋โค้งขึ้นอย่างเย้ยหยัน โน้มกายไปข้างหน้าด้วยท่าทีสง่างาม ยื่นมือคว้าชิวซั่นจิงไว้
ชั้นเชิงการแย่งชิงความเป็นที่โปรดปรานของสตรีในหอห้องเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเอามาใช้กับนาง
แม้ชิวซั่นจิงจะค้างเติ่งอยู่เหนือผิวน้ำ นางก็ยังสามารถทำให้ร่างของอีกฝ่ายไม่สัมผัสน้ำแม้แต่หยดเดียวได้
ทว่าชั่วขณะที่ตนคว้าชิวซั่นจิงไว้ กลับคล้ายเห็นรอยยิ้มของผู้มีชัยปรากฏขึ้นในแววตานางวูบหนึ่ง ชิวเยี่ยไป๋พลันรู้สึกถึงสายตาคมกริบที่จับจ้องอยู่ไม่ไกลออกไปนัก
มือของชิวเยี่ยไป๋ที่คว้าร่างชิวซั่นจิงไว้จึงพลันเปลี่ยนเป็นพลิกฝ่ามือ ใช้กำลังภายในหนึ่งส่วนผลักอย่างแรงแล้วหัวเราะอย่างเย็นชา
“ในเมื่อพี่สามชอบเล่นละครนัก ข้าจะให้ท่านเล่นเสียให้พอ”
ชิวซั่นจิงเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ แววตาได้ใจเมื่อครู่ยังค้างอยู่
ตูม! เสียงตกน้ำดังลั่น
ชิวเยี่ยไป๋เอี้ยวเอว อาศัยแรงสะท้อนจากการผลักชิวซั่นจิงตกน้ำพลิกตัวกลับอย่างคล่องแคล่วนุ่มนวล
นางมองชิวซั่นจิงที่ถูกแรงฝ่ามือของตนกดจมลึกลงไปในน้ำอย่างเย็นชา กำลังกระเสือกกระสนด้วยความทรมาน ด้านหลังมีเสียงวิ่งและเสียงกรีดร้องดังขึ้น
“แย่แล้ว! คุณหนูสามตกน้ำ!”
“ใครก็ได้ ช่วยที!”
เสียงฝีเท้าหนักๆ ค่อยๆ ใกล้เข้ามา สุดท้ายหยุดยืนห่างข้างหลังนางสามจั้ง[2]
กลิ่นอายเย็นเยียบแผ่ออกจากร่างของคนผู้นั้น
“เมื่อครู่เจ้าทำอะไร!”
ชิวเยี่ยไป๋หันกายช้าๆ ยืนเอามือไพล่หลัง มองบุรุษร่างสูงใหญ่สงบนิ่งเบื้องหน้า รูปหน้าค่อนข้างเหลี่ยมดูห้าวหาญ จมูกโด่งเป็นสัน นัยน์ตาดุจเหยี่ยว ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรงคมกริบดุจใบมีด แม้จะอยู่ในชุดลำลอง แต่กลับเปี่ยมกลิ่นอายเย็นเยียบของศาสตรา บุรุษเช่นนี้ต่อให้มิได้สวมชุดเกราะก็ยังมิอาจปิดบังความเป็นจอมทัพผู้บัญชาการรบทั่วทั้งสี่ทิศ
ชิวเยี่ยไป๋มองเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเนิบ “ท่านคิดว่าข้าทำอะไร ข้าก็ทำเช่นนั้น”
นัยน์ตาเหยี่ยวของบุรุษร่างสูงใหญ่สาดประกายดุดัน “น้องสี่ นั่นเป็นพี่สาวเจ้านะ!”
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้ม เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่สาวที่เป็นบุตรีอนุ ในเมื่อพี่ใหญ่กลับมาแล้วและเห็นแล้ว ก็ตรองดูให้ดีว่าจะจัดการกับข้าเช่นไร น้องสี่ขอตัวไปพบอี๋เหนียงห้าก่อน หากคิดได้อย่างไรแล้ววานพี่ใหญ่บอกข้าสักคำ!”
กล่าวจบนางก็หันกายจากไป
ชิวเฟิ่งหลานมองตามร่างที่สะบัดแขนเสื้อจากไปปุบปับ ดวงตาฉายแววลึกล้ำ
องครักษ์ที่ติดตามมาด้วยรีบสั่งการให้คนไปช่วยชิวซั่นจิง ปากก็พึมพำด้วยความตกใจอย่างอดไม่ได้ว่า “ซื่อหลางสกุลชิวผู้นี้นี่ คนเราไม่อาจมองที่ภายนอกจริงๆ”
คนในกองทัพนิยมเรียกบุรุษว่าเอ๋อร์หลางโดยไม่ใช้คุณชาย เพราะให้ความรู้สึกเป็นบุรุษ องครักษ์ผู้นี้ตรงไปตรงมาจนเคย ถึงกับจึงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องในบ้านของเจ้านายออกมา
ชิวเฟิ่งหลานเหลือบมองอย่างเย็นชาผาดหนึ่ง ทำเอาองครักษ์คอหดไม่กล้าพูดมากอีก
เขามองตามแผ่นหลังของชิวเยี่ยไป๋ที่ค่อยๆ เดินลับไป สีหน้ามิอาจหยั่งคะเน เขาจำได้ว่าชิวเยี่ยไป๋ยืนอยู่ริมทะเลสาบ ทั้งร่างแผ่กลิ่นอายเย็นเยียบเฉยชา ชุดเขียวครามดูสูงส่งดั่งวิญญูชน ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่จะลงมือทำร้ายน้องสาวของตน
ทว่าทุกคนต่างเห็นกับตาว่าน้องสี่วิญญูชนผู้นี้แหละที่ผลักชิวซั่นจิงตกน้ำ
คนมากมายพากันตกตะลึง
ถึงอย่างไรภาพลักษณ์สุภาพอ่อนน้อมของชิวเยี่ยไป๋ก็ตราตรึงในใจทุกคน แม้จะได้ยินมาว่านายน้อยสี่กำราบพยัคฆ์ร้ายด้วยกระบวนท่าเดียวในงานประลองสัตว์ แต่ก็ไม่เคยได้เห็นกับตา ทว่าเมื่อมาเห็นนายน้อยสี่ลงมืออย่างอำมหิตเช่นนี้ ก็ช่างน่าตกใจจริงๆ
ชิวเยี่ยไป๋คร้านจะใส่ใจกับความปั่นป่วนในใจของผู้คนด้านหลัง มุ่งตรงไปยังเรือนของเฟิงซื่อ
หญิงรับใช้เฒ่าที่เฝ้าประตูเรือนเห็นนางก็ทั้งยินดีทั้งร้อนรน กระวีกระวาดเข้ามาต้อนรับทันที
“นายน้อยสี่เจ้าคะ หลายวันมานี้อี๋เหนียงน้ำตาอาบหน้าทุกวัน แต่คุณหนูหก…เฮ้อ”
——
[1] เป็นชุดคลุมยาวที่นิยมสวมใส่ทั้งชายและหญิงในยุคราชวงศ์ฮั่น มีลักษณะสาบเสื้อทับไขว้กันมิดชิด ส่วนสาบเสื้อที่ป้ายทับด้านบนจะยาวจนพันเป็นเกลียวรอบตัวได้ ก่อให้เกิดลวดลายที่งดงาม
[2] 1 จั้ง เท่ากับประมาณ 3.3 เมตร