ชิวเยี่ยไป๋ไม่ตอบ ปล่อยให้นางอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนตน
ตู้เจินหลานไม่รอคำตอบ ดวงตาฉายแววเย็นเยียบวูบหนึ่งแล้วหัวเราะยั่วยวน กล่าวอย่างเย่อหยิ่งดูแคลนว่า “ไม่เป็นไร บุรุษเช่นพวกเจ้าก็ปากไม่ตรงกับใจเช่นนี้ ทุกคนล้วนเหมือนกันหมด รอให้เจ้าได้ลิ้มรสของข้าก่อน เจ้าจะตามติดพัวพันไม่ห่าง ไล่ให้ไปก็ไม่ยอมไป”
นางเงียบไป เอียงศีรษะ ปลายนิ้วเขี่ยสาบเสื้อของชิวเยี่ยไป๋เล่น ลมหายใจหอมกรุ่น “หากเจ้าดีกับเปิ่นกง[1]สักหน่อย ยอมสยบใต้ชายกระโปรงของเปิ่นกงดีๆ ตามใจเปิ่นกง เปิ่นกงจะช่วยกราบทูลพระพันปีและจักรพรรดินีให้ทรงละเว้นชิวซั่นหนิง ดีหรือไม่”
เดิมตู้เจินหลานใช้คำเรียก ‘ข้า’ และ ‘เจ้า’ เพื่อแสดงความใกล้ชิด บัดนี้พอพูดมากเข้า ความเย่อหยิงถือตนก็เผยออกมา และแทนตนเองว่า ‘เปิ่นกง’ โดยไม่รู้ตัว
ชิวเยี่ยไป๋หลุบตาลงมองสตรีที่แทบจะทอดกายอยู่บนร่างของตนเองทั้งตัวอยู่รอมร่อ มุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มอย่างแฝงนัย “ดี”
ตู้เจินหลานนึกไม่ถึงว่าชิวเยี่ยไป๋จะตอบตกลงอย่างง่ายดาย แรกเริ่มรู้สึกดีใจ ตามมาด้วยความรู้สึกเหมือนสูญเสียอะไรไปอย่างน่าประหลาด
บุรุษทุกคนล้วนคุกเข่าภายใต้อำนาจ!
ไม่สิ ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีล้วนเป็นเช่นนี้
ความหวานเชื่อมในแววตาทอนลงหลายส่วน เปลี่ยนเป็นความเย่อหยิ่งระคนเยาะหยัน “อุ้มข้าเข้าไปในเรือน!”
เพิ่งขาดคำ พลันได้ยินเสียงนุ่มเจือกระแสสั่นเครือแหลมเล็กดังขึ้น “มารดา!”
ตู้เจินหลานพลันชะงักทันทีที่ได้ยิน แล้วก็คิดว่าตนคงจะหูฝาดไปเอง แต่ครั้นหันไปมองช้าๆ ก็เห็นที่บันไดมีเด็กสาวงดงามกำลังมองมาด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ นางอึ้งงันไปทันที
“หยวนเอ๋อร์…เจ้า…เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ฉินต้ากูกู…ฉินต้ากูกู…!”
นางลนลานคลายมือที่ก่ายบนไหล่ชิวเยี่ยไป๋ มือไม้เป็นระวิงกระชับเสื้อผ้าอย่างลวกๆ เพราะลุกลนน้ำเสียงจึงแหลมบาดหู
นางสั่งฉินต้ากูกูไล่พวกบ่าวไพร่ทั้งหมดออกไปแล้ว ทั้งห้ามมิให้ใครเข้าใกล้โดยพลการ หยวนเอ๋อร์เข้ามาได้อย่างไร ทั้งยังมาเห็นเรื่องที่นางกับชิวเยี่ยไป๋ทำกันโดยบังเอิญ
ชิวซั่นหยวนมองสภาพของตู้เจินหลานแล้วยกมือปิดปาก หยดน้ำตาร่วงเผาะ ตัวสั่นเทา ไม่รู้เป็นเพราะหวาดกลัว โกรธเกรี้ยว หรือคับแค้น “มารดา…ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร ใครๆ บอกว่าท่านปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่อยู่ในกรอบ เกลือกกลั้วชายบำเรอในหอสำราญ มีสัมพันธ์ส่วนตัวกับพวกบุตรหลานตระกูลใหญ่ ข้าถือว่าเป็นเพียงข่าวลือ ทำไม่รู้ไม่เห็น และหลับตาข้างหนึ่ง แต่…”
นางชี้นิ้วไปยังชิวเยี่ยไป๋อย่างดุดัน ทั้งเสียใจทั้งคับแค้นใจ “เขาเป็นพี่ชายข้า เป็นลูกเลี้ยงของท่าน ท่านบ้าไปแล้ว หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ท่านจะให้ข้าวางตัวเช่นไร จะให้พี่ห้าวางตัวเช่นไร พวกเราทั้งจวนจะอยู่อย่างไร!”
หากคนที่มาพบเจอเรื่องนี้เป็นชิวเฟิ่งหลานหรือชิวเฟิ่งฉู หรือแม้กระทั่งเป็นพวกชิวซั่นจิงมาเห็นเข้า ตู้เจินหลานยังสามารถวางตัวให้สงบเยือกเย็นได้ทันที และหาวิธีจัดการได้อย่างเหมาะสม แต่บัดนี้คนที่อยู่ตรงหน้าคือบุตรสาวในไส้ของตนเอง!
ตู้เจินหลานรักใคร่โปรดปรานบุตรสาวคนนี้มาแต่เล็ก ไม่อาจทนเห็นน้ำตานางได้แม้แต่หยดเดียว บัดนี้เห็นนางตาแดงก่ำ น้ำตารินเป็นสายฝน ในใจก็ว้าวุ่นจนคิดอะไรไม่ออก ป่วยการจะคิดหาคำอธิบาย “หยวนเอ๋อร์ เจ้าฟังแม่นะ ไม่ใช่ข้า…ข้า…เป็นเขา…”
“เป็นข้าเอง” ชิวเยี่ยไป๋เอ่ยเสียงเนิบ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฮูหยิน เป็นข้ายั่วยวนฮูหยินเอง”
ตู้เจินหลานเดิมคิดจะผลักเรื่องเจตนายั่วยวนให้ชิวเยี่ยไป๋ ไม่นึกว่าเขาจะเปิดปากยอมรับออกมาเอง ทำเอานางตะลึงงัน มองชิวเยี่ยไป๋ด้วยแววตาสับสน
“เจ้า…”
ชิวซั่นหยวนมองชิวเยี่ยไป๋อย่างเย็นชา ตวาดอย่างเดียดฉันท์ว่า “หุบปาก คนไร้ยางอาย เสียดายที่ข้าหลงคิดว่าเจ้าเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่กลับทำเรื่องต่ำช้ายั่วยวนมารดาที่เป็นภรรยาเอกของสกุล ไสหัวไปให้พ้น!”
ชิวเยี่ยไป๋ไม่โต้แย้ง เพียงปรายตามองชิวซั่นหยวนที่โกรธจนไหล่สั่นเทิ้มผาดหนึ่ง แล้วสาวเท้าจากไป
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่า ขณะที่ลงบันได มุมปากของชิวเยี่ยไป๋โค้งขึ้นน้อยๆ เป็นรอยยิ้มเฉยชา
กระทั่งออกจากลานเรือนของตู้เจินหลาน เงยหน้าขึ้นก็เห็นหนิงชุนกำลังยืนรออยู่เหมือนเช่นทุกครั้ง นางหัวเราะเบาๆ “หากช้ากว่านี้ก้าวเดียว เกรงว่านายน้อยสี่ของเจ้าคงต้องถูกเคี้ยวจนไม่เหลือกระดูกแน่”
หนิงชุนเลิกคิ้ว เอ่ยอย่างมินำพาว่า “นายน้อยจะพูดให้น่าสงสารไปทำไมเจ้าคะ ต่อให้บ่าวไม่ได้ชักจูงคุณหนูเจ็ดเข้าไป นายน้อยก็ยังมีความสามารถเอาตัวรอดได้”
ชิวเยี่ยไป๋ได้แต่ยิ้มไม่พูดจา
หนิงชุนเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “แต่ตู้เจินหลานไม่ได้ดั่งใจเช่นนี้ แล้วนางจะยอมฟังข้อเสนอของนายน้อย ละเว้นชิวซั่นหนิงหรือเจ้าคะ”
ชิวเยี่ยไป๋เดินพลางเอ่ยอย่างสบายอารมณ์ว่า “ตู้เจินหลานเพียงต้องการให้ข้าสยบต่อนาง เวลานี้ข้าก็แสดงท่าทียอมสยบแล้ว นางย่อมไม่มีอะไรต้องกังวล ตอนนี้จะปลอบชิวซั่นหยวนอย่างไรต่างหากถึงเป็นเรื่องที่นางต้องปวดหัว ส่วนทางพระพันปีกับจักรพรรดินีนั้น…”
นางมองแสงสายัณห์ แค่นหัวเราะเสียงเย็น “เรื่องฉาวโฉ่เช่นนี้ พระพันปีกับจักรพรรดินีจะยกเลิกคำสั่งได้อย่างไร ก็แค่คำพูดเท่านั้น เรื่องที่พูดปากเปล่าอยากพูดอย่างไรย่อมได้ทั้งสิ้น”
ที่ตู้เจินหลานพูดเช่นนี้ก็เพื่อขู่ให้ตนยอมสยบใต้อำนาจนางโดยเร็วเท่านั้น
หนิงชุนเงียบไปครู่ใหญ่ ยังคงเอ่ยต่อว่า “แม้นายน้อยจะคำนวณมาอย่างเหมาะเจาะแล้ว แต่บ่าวเห็นว่าคนอย่างชิวซั่นหนิงไม่ควรค่าให้นายน้อยต้องขายร่าง”
ชิวเยี่ยไป๋เงียบไป ยิ้มอย่างจนใจ “หนิงชุน นิสัยตรงไปตรงมาของเจ้าทำให้ผู้อื่นไม่รู้จะพูดอย่างไรดีแล้ว”
ขายร่าง?
เอาเถอะ ขายร่างก็ขายร่าง
ชิวเยี่ยไป๋คิดดูแล้วจึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ชิวซั่นหนิงไม่ควรค่า แต่อี๋เหนียงย่อมไม่ยอมให้นางเป็นอะไรไปแน่”
ครั้งนี้จัดการส่งชิวซั่นหนิงติดตามเป่ยเทียนซือไท่ไป นับว่าเป็นการตัดภาระยุ่งยากที่แขวนคอสกุลชิว สำหรับตนแล้วมองว่าเป็นเรื่องดี
เมื่อไม่มีชิวซั่นหนิง เฟิงซื่อก็จะคลายกังวลลงไปได้มาก
อย่างไรเสียหลายปีมานี้ เฟิงซื่อในฐานะมารดาก็นับว่าทำหน้าที่ได้ไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งนางยังเป็นคนเดียวที่ทำให้ตนในวัยเยาว์ได้สัมผัสถึงความอบอุ่นของมารดา
…
แล้วก็เป็นดังคาด ระยะนี้ตู้เจินหลานไม่ได้ให้ใครมาตามตัวชิวเยี่ยไป๋อีก นางมิได้เอ่ยถึงเรื่องที่จะจัดการกับชิวซั่นหนิง ทั้งมิได้ห้ามไม่ให้เป่ยเทียนซือไท่มาเยือนจวนสกุลชิว
นี่เท่ากับยอมรับการจัดการของชิวเยี่ยไป๋โดยดุษณี
เฟิงซื่อสามารถวิงวอนขอชีวิตของชิวซั่นหนิงได้สำเร็จ ก็รู้สึกสำนึกบุญคุณล้นฟ้าแล้ว ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ แม้ภายหน้าจะมิใช่บุตรีตระกูลใหญ่อีกต่อไป แต่ไปจากเมืองหลวง ปิดบังชื่อแซ่ ก้าวไปสู่อีกโลกหนึ่ง เป็นสตรีสามัญ ได้ออกเรือนไปกับคนสามัญ ก็นับว่าดียิ่งแล้ว
เพียงแต่นางรู้สึกผิดต่อชิวเยี่ยไป๋ ทุกครั้งที่เห็นชิวเยี่ยไป๋ก็รู้สึกเสียใจ บุตรสาวคนเล็กไม่รู้ความ แต่บุตรสาวคนโตกลับเป็นคนดีเหลือเกิน
แต่จะอย่างไรชิวซั่นหนิงก็คิดไม่ถึงว่า แม้นางจะรอดตัวไม่ตาย แต่กลับต้องสละเรือนออกบวช
นางยังเป็นหญิงแรกรุ่น ไยต้องละทิ้งวัยสาวไปบำเพ็ญพรตใช้ชีวิตเรียบง่ายเดียวดายด้วยเล่า
แม้เฟิงซื่อจะบอกว่าทำไปเพื่อปิดหูปิดตาผู้คน และจะจัดแจงให้นางได้ไปอยู่ที่บ้านซึ่งเป็นสินเดิมของตน ให้นางมีสถานะคุณหนูตามเดิม นางก็ยังคงไม่ยินยอม
——
[1] แปลว่า ตัวข้าผู้เป็นเจ้าของวังนี้ เป็นคำเรียกแทนตัวของเชื้อพระวงศ์ฝ่ายหญิง เช่น หวงโฮ่ว กุ้ยเฟย องค์หญิง เป็นต้น คำว่า ‘เปิ่น’ หมายถึง ตัวข้า มักวางไว้หน้าคำบอกตำแหน่งหรือสถานะ