ในเมื่อกลายเป็นเสื้อที่ถูกทิ้งแล้ว ทั้งคนของซือหลี่เจียนกับตระกูลตู้ ย่อมทิ้งนางชนิดสะเด็ดน้ำไปเลย
เห็นได้ชัดว่า ไม่เพียงชิวเยี่ยไป๋กับเป๋าเป่าที่นึกถึงผลลัพธ์นี้ แม้แต่โจวอวี่ก็คิดได้เช่นกัน นี่จึงเป็นหมากสังหารอย่างแท้จริง
ทุกคนสีหน้าเคร่งเครียด อากาศรอบข้างพลันหนักอึ้ง
นางกล่าวอย่างครุ่นคิดว่า “ถ้าดูจากแฟ้มเอกสารอย่างเดียว เรื่องโจรสลัดดูเหมือนจะมีอยู่จริง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเดิมทีตระกูลเหมยกับตระกูลตู้พยายามกดไว้ แต่สุดท้ายถูกคนที่มีเจตนาแอบแฝงปูดออกมา ถ้าเป็นเช่นนี้เราก็น่าจะลองสืบคดีดูก่อน!”
เป๋าเป่างงงัน “ใต้เท้าหมายความว่า…”
มือของชิวเยี่ยไป๋ยกจากพนักแขนเก้าอี้มาเท้าคางตนเอง แววตาวิบวับ “ในเมื่อมีคนอยากให้เราสืบคดีนี้ พวกเราก็สืบเลย และไม่เพียงต้องสืบยังจะต้องสาวให้ครบถ้วนด้วย ลากเบาะแสทุกอย่างออกมาจัดการ”
โจวอวี่มึนไปชั่วขณะ ครู่หนึ่งพลันตาเป็นประกายและหัวร่อ “ข้าน้อยเข้าใจความหมายของใต้เท้าแล้ว!”
ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกเหนือความคาดหมายจึงเลิกคิ้วถามว่า “อ้อ เจ้าเข้าใจว่าอย่างไร”
โจวอวี่ลุกขึ้นวิ่งไปที่ประตูชะเง้อมองซ้ายขวา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครแล้วจึงรีบปิดประตูหน้าต่าง และเข้าไปกล่าวเสียงเบาอย่างลึกลับว่า “ใต้เท้าหมายความว่า ในเมื่อคดีนี้อาจมีความนัย ไม่ว่าจะเป็นศัตรูที่แฝงอยู่ในเงามืดหรือคนที่คอยยุแหย่ และยังคนในของซือหลี่เจียนที่ประสงค์ร้ายต่อพวกเรา เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็สืบสาวให้รู้เรื่องไปเลย ‘ความจริง’ ของคดีนี้คือหมากชั้นดี ไม่ว่าจะเป็นใครที่คิดโค่นตระกูลตู้ ก็ยังคงสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับตระกูลตู้และพระโพธิสัตว์เฒ่าพระพันปี”
เขาหยุดลง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดต่อ “ในเมื่อพวกเรารู้เจตนาของพวกมันแต่แรก ก็เท่ากับอยู่ในฐานะเป็นต่อ ถ้าหมากตัวนี้ตกอยู่ในมือเรา เราก็จะมีต้นทุนในการเจรจา แล้วจะได้เห็นดีกันว่าใครเป็นมีดเขียงใครเป็นผักปลา!”
ชิวเยี่ยไป๋แลดูบุรุษเยาว์วัยเบื้องหน้า คราบความสำอางยังลบไม่หมด แต่แววแห่งความเฉลียวฉลาดมิได้ถูกบดบัง
นางยิ้มน้อยๆ กล่าวอย่างมีความหมายว่า “ดูท่าโจวอี้จ่างไม่เหมือนคนที่ชอบทุ่มเทสมองทั้งหมดไปกับเรื่องพรรค์นั้นของหญิงชายเลยนะ ข้าดูเบาโจวอี้จ่างไปแล้ว”
เขาสามารถเข้าใจเจตนาของนางอย่างรวดเร็ว ทำให้นางรู้สึกแปลกใจ
โจวอวี่อึ้งไป เกาศีรษะอย่างขวยเขิน “ข้าสอบติดบัณฑิตตั้งแต่อายุสิบหก แต่ตอนหลังรู้สึกว่าการเรียนหนังสือไม่ค่อยมีความหมายอะไร จึงขี้เกียจเรียนแล้ว”
ชิวเยี่ยไป๋เห็นท่าทางได้ใจระคนถ่อมตัวของเขาก็นึกขันในใจ “อายุสิบหกก็สอบติดระดับหมู่บ้าน โจวอี้จ่างน่าจะเป็นเด็กอัจฉริยะ ถ้าตั้งใจไปในทางที่ถูกต้อง วันนี้คงมิใช่คนสำส่อนแล้ว และคงมิใช่จมอยู่กับหน้าที่ต่ำต้อยเหมือนตอนนี้
โจวอวี่ยิ้มแหยๆ “ใต้เท้าอย่าล้อข้าเล่นนะ ท่านว่ามาเถอะ ขอเพียงพี่น้องเราในกองคั่นเฟิงหลุดจากบ่อตมนี้ได้ ช่วยพี่ซือถูออกมา จะให้ข้าทำอะไรได้ทั้งนั้น”
ที่ชิวเยี่ยไป๋ถากถางไม่หยุดหย่อนก็รอคำนี้เอง ยามนี้จึงรีบตีเหล็กเมื่อยังร้อน กล่าวอย่างมีความหมายลึกซึ้งว่า “โอ้ แม้แต่ต้องใช้อิทธิพลของครอบครัวเจ้า ก็ยินดีหรือ”
โจวอวี่ฟังแล้วก็หน้าเปลี่ยนสี พัวพันถึงอิทธิพลของครอบครัว…
เป๋าเป่าที่อยู่ข้างๆ เห็นเขาลังเล จึงแค่นหัวร่อถากถางว่า “ใต้เท้าท่านอย่าไปเอาจริงเอาจังกับโจวอี้จ่างที่ดีแต่ปากเลย ใครๆ ก็รู้ว่าเขากลัวบิดาเขาจะตาย ครั้งนี้ที่บิดาเฒ่าของเขายอมค้ำประกันเขาก็เพราะเห็นแก่สายเลือดนะ เขาไม่เกี่ยวอะไรกับซือถูอี้จ่างนี่นา โจวอี้จ่างจะยอมโดนบิดาดุด่าเพราะคนไม่มีภูมิหลังอย่างซือถูอี้จ่างเพื่ออะไรกัน”
ชิวเยี่ยไป๋ก็หน้าเครียดลง จิบชาคำหนึ่งถามเนือยๆ ว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ถือว่าข้าคิดไม่รอบคอบพอก็แล้วกัน”
สีหน้าของโจวอวี่เขียวคล้ำแล้วเปลี่ยนเป็นขาวซีด ตบโต๊ะลุกขึ้น ถลึงตาใส่เป๋าเป่าอย่างดุร้าย “ไอ้คนแซ่เจี่ยงมารดาเจ้าเป็นตัวอะไร เจ้าไม่ต้องมาใส่ไฟข้า ข้าจะบอกให้ ขอเพียงเพื่อเหล่าพี่น้อง อะไรที่ข้าทำได้ ต่อให้ต้องสละชีวิต ข้าก็จะทำให้ได้!”
เป๋าเป่าเห็นเขาลั่นวาจาเช่นนี้จึงไม่กระตุ้นอีก แค่นเสียงแล้วเงียบลง
สีหน้าของชิวเยี่ยไป๋ค่อยคลายลง “โจวอี้จ่างมีใจเช่นนี้ย่อมดีที่สุด”
นางหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “เวลานี้มีเรื่องหนักหนาอยู่เรื่องหนึ่ง สภาพระหว่างตระกูลเหมยกับตระกูลตู้ย่อมให้คนนอกรู้ไม่ได้ คนธรรมดาจะสืบเสาะเบาะแสพวกตระกูลใหญ่ก็คงยาก แต่ตระกูลโจวของเจ้าอยู่ในราชสำนักมานานปี โยงใยมากมายและมั่นคง คิดว่าเจ้าน่าจะมีช่องทางการสืบเสาะ เจ้าเป็นสายเลือดโดยตรงของตระกูลโจว ฐานะในตระกูลไม่ต่ำ เรื่องนี้คงต้องขอแรงเจ้าแล้ว”
โจวอวี่นึกไม่ถึงว่าชิวเยี่ยไป๋พอบอกว่าจะใช้สอยเขาก็มอบภารกิจในทันที เขาลังเลแต่เพียงเล็กน้อยแล้วผงกศีรษะทันที
“ขอรับ ข้าน้อยจะทำให้เต็มที่!”
จนกระทั่งโจวอวี่ออกไปปฏิบัติภารกิจ เป๋าเป่าก็หาเรื่องผลักไสเสี่ยวเหยียนจื่อออกไป แล้วขมวดคิ้วมองจ้องชิวเยี่ยไป๋ “นายน้อยสี่ท่านไว้ใจไอ้โจวอี้จ่างจริงหรือ”
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มน้อยๆ ปลายนิ้วคลึงจอกน้ำชา “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน เจ้าโจวอวี่มิใช่คนโง่ ในเมื่อรู้แล้วว่าข้าจะทำอะไร ถึงข้าปิดบังก็ไร้ประโยชน์ หากเขามีใจเป็นอื่น ข้าย่อมมีวิธีจัดการเอง”
เป๋าเป่าย่อมรู้ดีว่าชิวเยี่ยไป๋กำความลับของโจวอวี่ไว้ พอนึกถึงเรื่องนี้ก็อยากหัวร่อ
ตอนแรกที่ชิวเยี่ยไป๋ขู่โจวอวี่คือปล่อยให้โจวอวี่คิดว่าคนที่เขาไปลวนลามนั้นเป็นองครักษ์ค่งเฮ่อเจียน วั่งไฉกับฟาต๋าถูกชิวเยี่ยไป๋วางแผนให้รับบทนี้ ซึ่งพวกเขาก็ไม่กล้าระบายโทสะใส่หน้าชิวเยี่ยไป๋ ย่อมยินดีที่จะถือเอาตัวซวยโจวอวี่เป็นกระสอบทรายในการระบายความเคียดแค้น
ขณะวั่งไฉกับฟาต๋ารุมซ้อมโจวอวี่จนปางตาย นางพลันปรากฏตัวแสร้งทำเป็นยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แล้วจึงขู่ว่าหากเขาไม่เชื่อฟังแต่โดยดี ก็จะปล่อยข่าวนี้ให้ค่งเฮ่อเจียนรู้ ฟ้องร้องว่าตระกูลโจวล่วงละเมิดต่อฝ่าบาท
คนภายนอกเห็นองครักษ์ค่งเฮ่อเจียนล้วนเป็นของรักของหวงของ ‘องค์หญิง’ โจวอวี่เป็นแค่บุตรตระกูลโจวตัวกระจ้อยร่อยถึงกับกล้าลวนลามของรักของหวงของฝ่าบาท คงไม่อยากมีชีวิตแล้ว เกิดฝ่าบาทเซ่อกั๋วพิโรธขึ้นมาจะจัดการกับตระกูลโจวทั้งตระกูล ก็แค่พลิกฝ่ามือเท่านั้นเอง
โจวอวี่ย่อมยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดีอย่างฉับพลัน
“นายน้อยสี่ฝีมือยอดเยี่ยม” เป๋าเป่าหัวร่อคิกคัก เขาไม่ชอบใจโจวอวี่ โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าตอนพบกันครั้งแรก โจวอวี่ก็คิดลวนลามชิวเยี่ยไป๋ จึงย่อมยินดีที่จะเห็นโจวอวี่ตกที่นั่งลำบาก