เขาหรี่ตาลง แววตาอ่อนโยนอย่างไม่รู้ตัว ปลายนิ้วไล้ไรผมนางถามต่อว่า “เทียนซูกับเจ้าเป็นอะไรกัน เจ้าเคยส้องเสพเขาหรือ”
ครั้งนี้ชิวเยี่ยไป๋สั่นศีรษะอย่างแรง “เปล่า”
คำตอบนี้ฟังแล้วไป๋หลี่ชูก็ยิ้มแย้ม อารมณ์ดีเป็นพิเศษ พออารมณ์ดีมือที่ลูบคลำอยู่ก็ยิ่งนุ่มนวล “ถ้าเช่นนั้นทำไมเขาจึงยอมช่วยเจ้าเสี่ยงอันตรายเช่นนี้เล่า”
ไป๋หลี่ชูเป็นคนที่ไม่มีใครตบตาได้อยู่แล้ว จึงมิได้หยุดการซักไซ้เพียงเพราะคำตอบนี้
ชิวเยี่ยไป๋มองดูไป๋หลี่ชูด้วยดวงตาหรี่ปรือ พึมพำว่า “เพราะเขาเป็นคนของข้านี่นา…โอย”
เพิ่งขาดคำนางพลันรู้สึกเจ็บที่ศีรษะ “อูย…!”
ไป๋หลี่ชูกระชากผมของนาง บังคับให้นางเงยหน้าขึ้น เขาก้มลงจ้องนางอย่างคาดคั้น ตาต่อตา จมูกต่อจมูก หางตาส่อแววดุร้าย แต่น้ำเสียงกลับนุ่มนวลสุดขีด “อืม เสี่ยวไป๋ ช่วยอธิบายหน่อยสิ อะไรที่เรียกว่าคนของเจ้า”
ชิวเยี่ยไป๋แลดูใบหน้างดงามชั่วร้ายนั่น รู้สึกลมหายใจติดขัด คิดจะดิ้นให้หลุด กลับถูกรั้งให้อยู่กับอ้อมอกในท่าที่ไม่สบายเอาเสียเลย มือเท้าถูกหนีบไว้จนเจ็บ นางอดโวยวายไม่ได้ “เทียนซูเดิมก็เป็นคนของข้าอยู่แล้ว ข้าจ่ายไปเยอะขนาดนั้นเขาจะกล้าไม่ช่วยข้าหรือ โอ้ย…ปล่อยข้า ข้า…เจ็บ!”
ไป๋หลี่ชูยังคงจ้องนางเขม็ง ดูเหมือนกำลังพิเคราะห์ว่านางพูดจริงหรือพูดเท็จ ครู่หนึ่งจึงคลายมือจากการบีบนาง ปล่อยให้นางฟุบในอ้อมอก ปลายนิ้วไล้หลังศีรษะนางเบาๆ “เจ็บหรือ”
เขาหัวร่อเบาๆ แล้วหัวร่ออีกคราเหมือนจนปัญญา “เฮ้อ เสี่ยวไป๋ ข้ามันคนใจอ่อน ไม่ชอบให้ใครโกหก ถ้ามีคนโกหกข้าจะอารมณ์เสีย ถ้าเจ้าเป็นคนรู้ใจของข้า ย่อมจะรู้สึกลำบากใจไปกับข้าด้วยจริงไหม”
น้ำเสียงนุ่มนวลแหบพร่า แต่กลับเย็นเยือกจนผู้คนหายใจไม่ออก
ดูเหมือนชิวเยี่ยไป๋จะไม่รู้สึกรู้สา หลับตาพึมพำว่า “อืม อารมณ์ดี”
จากนั้นนางก็ดึงแขนเสื้อเขาเบาๆ เพียงแต่ตอนที่ซุกหน้ากับท่อนแขนเขา ริมฝีปากนางปรากฏยิ้มเย็นชาหยามหยัน
ดูเหมือนไป๋หลี่ชูจะยังไม่พอใจกับคำตอบของนาง จึงถามต่ออย่างนุ่มนวลว่า “เจ้าเคยพบเจ้าของหอไผ่เขียวไหม”
ชิวเยี่ยไป๋คว้าปลายนิ้วที่เย็นเยียบของเขา พึมพำว่า “อืม เคยพบสิ”
ไป๋หลี่ชูเลิกคิ้ว “อ้อ มันเป็นใคร”
นางเงยหน้าขึ้นยิ้มอย่างได้ใจ “ต้องเป็นข้าสิ คนงามทั้งหอไผ่เขียวล้วนเป็นของข้า วันหลังไม่ต้องห่วงเรื่องดื่มกินแล้ว ไม่มีใครกล้ามาเก็บเงินข้าแน่!”
ไป๋หลี่ชูเห็นอากัปกริยาของนาง ดวงตาที่ไม่เหมือนมนุษย์จ้องนางเขม็ง เผยอยิ้มอย่างเย็นชาและมินำพาว่าชิวเยี่ยไป๋ที่กำลังเลอะเลือนจะฟังรู้เรื่องหรือไม่ ยังคงกล่าวอย่างซ่อนความนัยว่า “เสี่ยวไป๋ วางใจเถิด ข้าจะป้อนเจ้าให้อิ่มเองน่า”
ชิวเยี่ยไป๋โงนเงนซุกหน้าที่คางเขา พึมพำว่า “อืม…อูย…กินเหล้า”
ไป๋หลี่ชูไม่สนใจที่นางตอบไม่ตรงคำถาม เพ่งมองลำคอของนาง แววตานุ่มนวลจนชวนขนลุก เนิ่นนานจึงหลุดปากช้าๆ ว่า “เจ้าเป็นของข้า”
ครั้งนี้น้ำเสียงไม่แหลมสูง คล้ายทะนุถนอมสุดขีด แต่กลับคล้ายราตรีของฤดูร้อนที่จู่ๆ ก็เย็นลง ราวกับเปลี่ยนฤดูจากร้อนเป็นหนาวเย็น
ชิวเยี่ยไป๋ยังคงไม่รู้สึก ยังคงมึนเมาเลอะเลือน กระแซะตัวในอ้อมอกและพึมพำโดยไม่ต้องมีใครถาม เรื่องที่พึมพำออกมาล้วนเป็นเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง บางครั้งก็แทรกด้วยความอัดอั้นต่อตระกูลตู้และตัดพ้อที่ให้นางสืบคดีไหวหนาน เรื่องอะไรต่อมิอะไรผสมปนเปกัน
ไป๋หลี่ชูก็ไม่ถามอีก เพียงอุ้มแมวน้อยที่กลายร่างมาจากเสือดาวขึ้น ปลายนิ้วดึงปิ่นหยกบนศีรษะของชิวเยี่ยไป๋ออก ปล่อยให้ผมยาวสยายแล้วไล้ปลายนิ้วไปตามไรผม เหมือนช่วยสางให้อย่างช้าๆ
ดูเหมือนชิวเยี่ยไป๋จะพิศวาสต่ออ้อมกอดเย็นเยียบของเขา ใบหน้าที่ซุกกับแขนยิ่งแนบสนิทกว่าเดิม ปากพึมพำตลอดเวลาราวกับสูญเสียสติไปแล้ว
แว่วเสียงเคาะประตู แต่ข้างในไร้ปฏิกิริยาคล้ายไม่มีใครได้ยิน และแล้วเสียงเคาะก็จางหายไป
เวลาผ่านไปทีละเล็กทีละน้อย ไส้ตะเกียงถูกเผาจนเถ้ายาวขึ้นเรื่อยๆ เสียงพึมพำอู้อี้ไม่ได้ศัพท์ของชิวเยี่ยไป๋ค่อยๆ จางหายไป คล้ายอ่อนล้าจนหลับใหลไปในอ้อมอกของไป๋หลี่ชู ผมสยายเต็มศีรษะปิดใบหน้าเหลือเพียงใบหูขาวผ่องราวกับหยกให้เห็นเพียงเล็กน้อย
ไป๋หลี่ชูลูบผมนางเบาๆ จนกระทั่งเสียงเคาะเกราะบอกโมงยามดังขึ้นจากถนนด้านนอก “ยามสามแล้ว อากาศแห้ง โปรดระวังฟืนไฟ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครา เสียงหลี่หมัวมัวดังขึ้นอย่างเกรงใจ “นายน้อยสี่เจ้าขา พวกเราจะ…”
มือจึงหยุดการเคลื่อนไหว ลุกขึ้นอุ้มนางเหมือนอุ้มแมวตัวน้อยเดินไปที่เตียงแล้ววางลงอย่างทะนุถนอม
พอหลังแตะที่นอน ชิวเยี่ยไป๋ก็พลิกตัวและสะบัดรองเท้าออกเอง ซุกหน้าลงกับผ้าห่มแพรผืนบาง ราวกับแมวเหมียวที่พบรังของตนเอง หันหลังให้ไป๋หลี่ชู พึมพำเบาๆ ไม่กี่คำแล้วก็เงียบเสียงไป
ไป๋หลี่ชูเห็นแล้วก็มิได้โกรธขึ้ง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงดึงผ้าห่มแพรบางมาคลุมให้ แล้วพึมพำกับตัวเองว่า “เจ้ามิต้องกังวลกับคดีไหวหนาน อยากสืบก็ไปสืบเลย”
พูดจบดูเหมือนจะนึกได้ หัวร่อเบาๆ กล่าวว่า “ถ้าเจ้าลงมือเอง น้ำที่ขุ่นอยู่แล้วน่าจะขุ่นยิ่งขึ้น อาจมีละครให้ดูชมมากขึ้น ก็แค่หมากัดกันเท่านั้นเอง แต่ถ้าใครกล้ากัดเสี่ยวไป๋ ข้าจะตีขาสุนัขของมันให้หัก ล้างแค้นแทนเจ้าเอง”
พูดจบก็ก้มลงงับติ่งหูชิวเยี่ยไป๋เบาๆ “ข้าจะกลับวังแล้ว เสี่ยวไป๋ ราตรียังอีกยาวนาน ต้องฝันถึงข้านะ หืม”
พูดจบก็ลุกขึ้น แลดูร่างของชิวเยี่ยไป๋ที่ดูเหมือนจะหลับสนิท ปลายเท้าจิกพื้นแล้วเหินออกจากหน้าต่าง เสื้อคลุมหรูหราสีดำพ้นจากกรอบหน้าต่างหายลับไปในความมืดมิดของราตรีกาล
ในห้องเงียบสงบลงอย่างแท้จริง คนที่น่าจะนอนหลับอยู่กลับลืมตาโพลง แววตาเย็นเยียบไม่มีแววของคนถูกมอมด้วยยาเมาใจแม้แต่น้อย
ชิวเยี่ยไป๋เลิกผ้าห่มออกลุกขึ้นนั่ง มองดูผ้าเช็ดหน้าของไป๋หลี่ชูที่ทิ้งอยู่ข้างเตียงจึงหยิบขึ้นมา เช็ดติ่งหูที่ถูกงับเมื่อครู่ช้าๆ อย่างละเอียดลออ จากนั้นขยำผ้าผืนนั้นโยนเข้าในเตาเผาเครื่องหอมเล็กด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก พริบตาเดียวผ้าเช็ดหน้าก็ลุกไหม้เป็นเปลวเพลิง