เฝยหลงรับตั๋วเงิน นึกในใจว่าในเมื่อออกมาคนเดียวก็พาไปก่อนแล้วกัน เขาจึงยิ้มให้โจวอวี่ที่สีหน้าตะลึงงัน “พี่ชายท่านนี้ ท่านมีสหายแซ่ชิวใช่ไหม”
เวลานี้โจวอวี่เก็บงำท่าทางของตนแล้ว มองดูเฝยหลงพยักหน้า “ใช่”
เขาฟื้นมาสองสามวันแล้ว แต่ถูกคนกักไว้ในห้องเล็กอ้างว่าให้พักฟื้น และมีคนส่งข่าวให้เขาไม่ต้องร้อนรนและบอกว่าทั้งชิวเยี่ยไป๋และหลวงจีนก็พักฟื้นอยู่เช่นกัน ไว้หายดีแล้วจะให้พวกเขาได้พบกัน
แม้เขาจะร้อนใจ สงสัยว่าพวกที่จับเขาไว้อาจเป็นคนของเหมยซู แต่ดูท่าทางไม่เหมือน หลายวันนี้เขาจึงพยายามเดาว่าเป็นใคร วันนี้จู่ๆ ก็ถูกพาตัวออกมาและฟังว่าเป็นคนที่ชิวเยี่ยไป๋ส่งมา ก็ไม่ได้คิดมากรู้สึกพลุ่งพล่านทันที พอออกมาก็เห็นเฝยหลง แล้วเขาจะยังไม่เข้าใจได้อย่างไร
“ใต้เท้า…พี่ชิวสบายดีไหม” โจวอวี่พยายามระงับความพลุ่งพล่าน
เฝยหลงพยักหน้า “ข้าดูแล้วเขาสบายดี ท่านจะไปพบเขาก่อนไหม ออกไปที่ปากทางจะเห็นขอทานอีกคน เป็นคนที่พี่น้องชิวส่งมารับช่วง ตามเขาไปก็แล้วกัน พวกเราจะอยู่ที่นี่รอไต้ซือคนนั้น”
โจวอวี่ลังเลแต่ยังคงผงกศีรษะ “ได้”
อีไป๋มองดูพวกเขาสนทนากันอย่างเย็นชา รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง ดูเหมือนพวกเขาจะรู้จักกัน แต่เขามิได้ยับยั้งการตัดสินใจของโจวอวี่ เจ้านายสั่งไว้แต่แรก…ปล่อยพวกเขาไป
โจวอวี่สบตากับเฝยหลงแล้วก้าวยาวๆ มุ่งไปมุมถนน
ยามนี้เฝยหลงกลับพลันโซเซแล้วร้อง “ไอ้หยา” ‘ทรุดฮวบ’ ลงข้างหน้า
เขาคิดเอาเองว่าเป็นธรรมดาที่อีไป๋หรือองครักษ์อีกสองคนต้องรีบรับเขาไว้ แต่นึกไม่ถึงว่าที่องครักษ์ค่งเฮ่อเจียนยึดถือปฏิบัติคือ เฝ้ามองอย่างเย็นชา อะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนไม่มีทางสอดมือเข้าไปยุ่งด้วยง่ายๆ ต่อให้มีคนตายลงต่อหน้าพวกเขา เลือดสาดเต็มหน้า พวกเขายังคงเหมือนไม่รู้ไม่เห็น
เฝยหลงล้มฟาด โครม ลงกับพื้น บังเอิญกระแทกถูกบาดแผลเดิมจึงเจ็บจนหน้าซีดตัวสั่นแทบจะเป็นลมหมดสติ
แม้ต้าจ้วงจะกลัวแววตาของอีไป๋ แต่คุณธรรมฉันพี่น้องยังเหลืออยู่ จึงรีบพุ่งเข้าไปพยุงเฝยหลง “เฝยหลง เป็นอย่างไรบ้าง”
เฝยหลงแอบบิดเขาคราหนึ่งแล้ว ‘สลบ’ ไป
ต้าจ้วงพลันหน้าตาตื่นมองดูอีไป๋ “พี่ชายท่านนี้ แย่แล้ว พี่ใหญ่ข้าหมดสติไปแล้ว”
อีไป๋เลิกคิ้ว “ต่อให้ตายไปแล้วอย่างไร”
ต้าจ้วงเห็นแล้วน้ำตาไหลพราก “เสียทีที่ท่านหน้าตาหล่อเหลา เหตุใดถึงใจร้ายนัก ถ้าพี่ใหญ่ข้าสิ้นสติ แล้วใครจะช่วยพวกท่านพาคนไป ข้าแบกพี่ใหญ่ไหวเสียที่ไหน แล้วข้าก็ไม่รู้ว่าจะให้พาคนไปที่ใด พวกท่านก็เห็นแล้วนี่นาว่าคนที่อยู่ปากทางเมื่อครู่พาพี่ชายคนนั้นไปแล้ว”
พริบตานั้นอีไป๋ถูกสารรูป ‘ฝนพรำดอกแพร์’ ของต้าจ้วงทำเอาขยะแขยง จึงถอยไปก้าวหนึ่ง มองดูพวกเขาอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “พวกเจ้าเข้าไปในบ้านก่อนก็แล้วกัน”
พูดจบก็พยักหน้าให้องครักษ์ข้างกายพาพวกเขาเข้าไป
องครักษ์ค่งเฮ่อเจียนลังเลวูบหนึ่งยังคงจนปัญญา จึงช่วยกันหิ้วปีกคนละข้างนำ ‘เฝยหลง’ ที่สลบเหมือดเข้าไปในบ้าน
ชิวเยี่ยไป๋เห็นแต่ไกล รู้ว่าพวกเฝยหลงเข้าไปอย่างราบรื่นแล้ว และซวงไป๋ที่กำลังตัดเล็มกิ่งไม้ก็เดินไปหา มุมปากจึงปรากฏรอยยิ้มวูบหนึ่ง
ซวงไป๋กำลังเล็มกิ่งใบดอกไม้ เห็นมีคนเข้ามาก็นึกแปลกใจและเดินไปดู เห็นเฝยหลงที่ถูกหิ้วปีกอยู่ที่ม้าหิน เขาเหลือบมองแวบหนึ่งแล้วใช้วิชาส่งเสียงทางลมปราณถามว่า “เจ้าเอาคนเข้ามาทำไม”
อีไป๋แค่นเสียง “ในเมื่อพวกมันวางแผนจะเข้ามา ก็ให้มันเข้ามาเสียเลย จะได้รู้ว่าพวกมันจะทำอะไรกันแน่”
ซวงไป๋แลดูเฝยหลง พลันเห็นบาดแผลตามตัว จึงถามอย่างข้องใจว่า “บาดแผลพวกนี้มันอะไรกัน”
เขาเป็นหัวหน้าแผนกลงทัณฑ์ของค่งเฮ่อเจียน มองปราดเดียวย่อมรู้ว่าบาดแผลพวกนี้ไม่ธรรมดา
ฝ่ายต้าจ้วงเห็นบุรุษรูปงามมือถือกิ่งดอกไม้เดินมา บุปผางามคนยิ่งงาม ก็รู้สึกหลงเสน่ห์จนยืนตะลึงอยู่กับที่
ซวงไป๋เห็นท่าทางของเขาก็มิขุ่นเคือง เพียงกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “น้องชายตื่นได้แล้ว”
ต้าจ้วงเห็นซวงไป๋นุ่มนวลถึงเพียงนี้ ถึงกับมิได้รังเกียจว่าตนละลาบละล้วง จึงกล่าวอย่างเขินอายว่า “คืออย่างนี้ พวกเราได้รับคำไหว้วานจากพี่น้องแซ่ชิวให้มารับคน แต่เมื่อคืนตอนมื้อเย็น ไม่รู้ทหารกลุ่มหนึ่งโผล่มาจากไหน และแล้วพี่น้องแซ่ชิวของเราจึงต่อยตีกับพวกเขา…”
พูดได้ครึ่งหนึ่ง ก็ทำท่าทำทางซู้ดปาก
อย่าคิดว่าต้าจ้วงจะเป็นคนหลงเสน่ห์ใครง่ายๆ พอโกหกพกลมขึ้นมากลับเหมือนจริงเหมือนจัง พูดก็ไม่พูดให้จบ ปล่อยให้คนฟังคิดเอาเองช่วยเขาเติมเต็มคำโกหก
พริบตานั้นซวงไป๋สะท้าน “เจ้าว่า…คืนวานพวกเจ้าปะกับทหารทางการและบาดแผลนี่เป็นพวกทหารทิ้งไว้หรือ แล้วพี่น้องแซ่ชิวของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ต้าจ้วงมองดูซวงไป๋ตาแดงก่ำในพริบตา “เขา…เขาถูกทหารจับไป แต่ยังทิ้งเงินไว้ให้พวกเรา สั่งให้พวกเรามารับเพื่อนของเขาวันนี้ ช่างเป็นคนคุณธรรมหนักแน่นหาที่เปรียบมิได้จริงเชียว!”
ซวงไป๋ขมวดคิ้วสบตากับอีไป๋ แววตาของพวกเขาสงสัยจุดเดียวกัน…คนที่สั่งเคลื่อนทหารทางการได้ หรือจะเป็นเหมยซู
แต่ทหารท้องถิ่นนี้ก็อยู่ในการควบคุมของพวกเขาเช่นกัน ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง เป็นไปมิได้ที่พวกเขาจะไม่รู้!
ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับคนที่เจ้านายของตนห่วงใยที่สุด ไม่ว่าอย่างไรก็ปล่อยปละมิได้ หลังซวงไป๋กับอีไป๋สบตากันอีกครั้ง ซวงไป๋ก็กล่าวว่า “เจ้ารอข้าตรงนี้ ข้าจะไปกราบเรียนเจ้านาย”
พูดจบก็หันกายเดินไปทางหอน้อย
ต้าจ้วงมองตามเงาหลังที่จากไป ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์…หึ ติดกับแล้ว!
ประเดี๋ยวจะได้ยลโฉมคนงาม
แต่ดูเหมือนใต้เท้าของตนมิใช่จะไม่รู้จักคุณหนูใหญ่โดยสิ้นเชิง ไม่เช่นนั้นทำไมอีกฝ่ายจึงมีท่าทางเช่นนี้
ใต้เท้าทำการนี้คงเพราะจะหยอกเย้าคุณหนูใหญ่กระมัง
แม้แต่เฝยหลงที่นอนอยู่กับเก้าอี้ก็ยังคิดตรงกับต้าจ้วง แม้จะ ‘สลบไสล’ ยังคงไม่ลืมหรี่ตาแอบมองคราหนึ่ง
และแล้วครู่เดียวก็ได้ยินเสียงชายเสื้อพึ่บพั่บ เสียงเย็นเยือกโหวงเหวงดังขึ้น “ใครเป็นคนให้ข่าวนี้”
เฝยหลงกับต้าจ้วงได้ยินเสียง แม้จะรู้สึกว่าต่างจากความอ่อนหวานของสตรีอยู่บ้าง แม้น้ำเสียงจะน่าฟังแต่ยังคงค่อนข้างทุ้มหนัก แต่พอได้เห็นหน้าของเจ้าของเสียงก็พากันตะลึง…