หยิบหย่งหลายคนนั้นเห็นรอยยิ้มของชิวเยี่ยไป๋รู้สึกว่าใบหน้าที่แสนหล่อเหลาของนางยามนี้ชั่วร้ายเป็นพิเศษ ต้าสู่ที่เป็นหัวโจกไม่ลังเลเลย รีบกระชากพวกหยิบหย่งคุกเข่า โครม ต่อหน้าชิวเยี่ยไป๋ “ใต้เท้าขอรับ พวกเราผิดไปแล้ว พวกเราหลงเชื่อเฝยหลง ได้โปรดเถิด ท่านโปรดทำบุญทำทาน ให้โอกาสพวกเราแก้ตัวเถิด ปล่อยพวกข้าน้อยเถิด!”
ทางด้านนั้นเฝยหลงถูกชกต่อยจนหน้าเขียวหน้าบวมแล้ว พอได้ยินก็โงศีรษะที่เหมือนหมูขึ้นทันที ด่าดังลั่น “ผายลม ตอนแรกบอกว่าจะล้างแค้น เจ้าสารเลวไม่กี่คนนี้แหละเสียงดังที่สุด ต้าสู่เจ้ายังบอกด้วยว่าใต้เท้าจะจัดการพวกเรา ตอนนี้ไม่ยอมรับแล้วหรือ”
ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อเย็นเยียบ “ข้าเคยให้โอกาสพวกเจ้าไปแล้ว คราวนี้ถามกระดานหินในมือข้าก็แล้วกัน ถ้ามันยอมปล่อยพวกเจ้าก็รอดไป”
หยิบหย่งหลายคนเบิ่งตากว้างอย่างงงงัน ยังไม่ทันคืนสติก็เห็นกระดานหินแผ่นหนึ่งลอยใส่หน้าพวกตน ฟาดใส่หน้าคนละทีอย่างไม่เกรงใจ
ได้คำตอบ กระดานหินไม่ยอมปล่อยพวกเขา
พริบตานั้นพวกเขาไม่ครางสักแอะ หัวทิ่มล้มลงกับพื้นเลย
ชิวเยี่ยไป๋เห็นบนพื้นระเกะระกะเต็มไปด้วยบรรดาคนหยิบหย่งที่สุมทับกันครวญครางโหยหวน เหลือบมองกระดานหินในมือที่ทำด้วยข้าวเหนียวผสมอิฐที่บิ่นไปมุมหนึ่งเพราะฟาดใส่คนหลายคน ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “ไม่ได้เล่นตะลุมบอนมานาน ฝีมือข้าด้อยลงไปมากเลย”
นึกถึงครานั้นตอนนางกับท่านอาจารย์ร่อนเร่ไปทั่ว มีช่วงเวลาหนึ่งที่ชอบตะลุมบอนกับพวกอันธพาลตามถนนเป็นที่สุด สัมผัสกับชีวิตตามถนนที่เลือดร้อนฉ่า ไม่ใช้พลังฝีมือประเภทเหินไปเหินมา ใช้วิธีโจมตีและกระบวนท่าต่อยตีพื้นฐานที่สุด ซึ่งก็เป็นความสนุกอย่างหนึ่ง
บรรดาคนหยิบหย่งเห็นนางมัวแต่สะทกสะท้อน แต่พวกเขาอัดอั้นจนแทบกระอักเลือด อะไรคือด้อยฝีมือ แล้วถ้าเจอตอนไอ้สารเลวนี่พลังฝีมือเต็มเปี่ยมพวกเขายังจะรอดหรือ
พวกเขาคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ คนคนนี้เป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ชัดๆ ดูแล้วเหมือนไก่ต้มแต่ทำไมถึงต่อยตีเก่งอย่างนี้ และจงใจเลือกจุดอ่อนของพวกเขาจู่โจมทีละคนอย่างง่ายดาย
อันธพาลยิ่งกว่าพวกเขาเสียอีก!
ความจริงพวกเขาหารู้ไม่ว่า หากจะเปรียบเทียบแล้ว พวกเขาประดานี้เป็นอันธพาลเล็กตามถนน ส่วนชิวเยี่ยไป๋เป็นหัวหน้าสำนักใหญ่บนเส้นทางอันธพาลยุทธจักร อันธพาลเล็กเจอะกับอันธพาลใหญ่ ย่อมจบเห่เป็นธรรมดา
“ถือว่าเจ้าแน่!” ต้าจ้วงที่โดนซัดจนหมอบไปแต่แรกแล้ว พ่นคำพูดเคียดแค้นออกจากปากที่โดนเคาะฟันหน้าร่วงไปหนึ่งซี่
ครั้งนี้ต่อให้เขาขาดประสาทรับรู้ความเจ็บปวด แต่อย่างไรก็เป็นคนย่อมทนทานมิได้กับการที่
ชิวเยี่ยไป๋ซัดลงจุดอ่อนบนตัวด้วยกระดานหินอย่างซ้ำแล้วซ้ำอีก
‘อันธพาลใหญ่’ ชิวเยี่ยไป๋เท้าข้างหนึ่งเหยียบบนม้านั่ง ยืนมองจากข้างบน หัวร่ออย่างดูแคลนกล่าวว่า “จงอย่าคิดว่าคนที่สุภาพเรียบร้อยช่างเกรงอกเกรงใจจะไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน”
บรรดาคนหยิบหย่งเงียบกริบ จริงด้วย เดรัจฉานจริงๆ!
ชิวเยี่ยไป๋นั่งลงบนม้านั่งและโยนกระดานหินที่บรรลุภารกิจทางประวัติศาสตร์แล้วทิ้งไปข้างหลังอย่างไม่ไยดี และไม่สนใจว่าจะไปโดนหัวใครหรือไม่
ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากข้างหลัง นางจึงยกขาอีกข้างขึ้นไขว่ห้างอย่างเกียจคร้านพลางกล่าวว่า “ว่าอย่างไร โมโหนักหรือ รู้สึกว่าข้าหักหลังพวกเจ้า หลอกใช้พวกเจ้าไปตายหรือ หืม”
บรรดาคนหยิบหย่งโดนนางซัดจนไม่มีแรงโมโหแล้ว ยามนี้จะมากหรือน้อยก็ยอมสยบอยู่บ้าง มิใช่เพราะคิดตกแล้ว แต่เพราะกำปั้นของชิวเยี่ยไป๋แข็งพอจะทำให้พวกเขาเจ็บตัว นี่สำคัญมาก เมื่อชิวเยี่ยไป๋เอ่ยปาก พวกเขาจึงไม่กล้าส่งเสียงซึ่งรวมทั้งเฝยหลงคนเจ้าอารมณ์ที่สุดด้วย
ชิวเยี่ยไป๋ยอมรับอย่างองอาจ “ไม่ผิด ต้าสู่พูดถูก ข้าจงใจวางกับดักนี้ แต่ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าถ้าสำเร็จจะได้ดีไม่น้อย แต่กับดักนี้อันตราย ซึ่งข้าก็ให้โอกาสพวกเจ้ากลับใจแล้วนี่นา แต่พวกเจ้าก็จะเอาให้ได้มิใช่หรือ”
“ใครว่าตายไปใต้โบตั๋นเป็นผีก็ยังกรุ้มกริ่ม”
“ใครสาบานแข็งขันว่าเตรียมพร้อมแล้ว บอกว่าไม่มีทางพลาด”
คำพูดเย็นชาทุกประโยคคุกคามจนบรรดาคนหยิบหย่งพูดไม่ออก จริงด้วย ชิวเยี่ยไป๋ตั้งรางวัลเย้ายวนมาก และก็เตือนพวกเขาแล้วว่าอันตราย แต่พวกเขาเองกลับคิดว่าไม่เป็นไร
ก็แค่เรื่องแอบไปลวนลามเล็กๆ น้อยๆ พวกเขาเคยทำมาเยอะแล้ว
นึกไม่ถึงว่า…
“นึกไม่ถึงว่าจะไปเตะเอากระดานเหล็กเข้า จากนั้นก็หวังว่าจะมีคนมาช่วยเก็บกวาด หวังว่าจะมีคนช่วยเช็ดก้นให้พวกเจ้าหรือ” ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อเย็นชา “พวกเจ้าตอนอยู่กับครอบครัวถึงจะไม่มีใครให้ความสำคัญ แต่พอก่อเรื่องข้างนอก บิดาเอยมารดาเอย คนในครอบครัวต่างถือว่าพวกเจ้าเป็นลูกเป็นหลาน จึงช่วยเช็ดก้นให้จะได้ไม่ขายหน้านอกบ้าน ในซือหลี่เจียนก็มีอี้จ่างหลายคนช่วยแบกรับแทน ต่อให้ไม่ได้ความก็ยังเป็นคนของซือหลี่เจียน ถ้าไม่ก่อเรื่องใหญ่โตก็แค่ลงโทษกันเอง ไม่ถึงแก่ชีวิต มาครานี้ซือหลี่เจียนเกิดเรื่องใหญ่ ข้าก็ช่วยจัดแจง พวกเจ้าก็เลยมัวแต่หวังว่าจะมีคนคอยคุ้มครองหรือช่วยรับแทนไปทุกครั้งอย่างนั้นหรือ”
เฝยหลงกับต้าสู่และพรรคพวกถูกคำพูดถากถางของนางกดจนศีรษะต่ำลงเรื่อยๆ แต่เล็กจนโตเฝยหลงเคยถูกคนบีบจนพูดไม่ออกเสียที่ไหน จึงทนอัดอั้นไม่ไหว “เจ้าเป็นนายเหนือหัว คุ้มครองพวกเรามิใช่เรื่องควรทำหรือ เจ้าไม่แบกรับจะให้ใครแบกรับ ถ้าคิดว่าเป็นเชียนจ่งมันลำบากก็อย่าเป็นสิ”
เขาเพิ่งพูดจบก็เห็นว่าต้าสู่ถลึงตาใส่อย่างดุร้าย ในบรรดาพี่น้องที่ฟุบกับพื้นก็มีบางคนมองเขาด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ
แม้พวกเขาจะเป็นอันธพาล แต่อันธพาลก็ยังคงมีวิถีของอันธพาล
เฝยหลงเองก็เริ่มรู้สึกว่าคำพูดของตนเกินไปจนไร้เหตุผล แต่ยังคงแข็งใจไม่ส่งเสียง
ที่ชิวเยี่ยไป๋รอก็คือคำพูดเช่นนี้ จึงเลิกคิ้วแค่นหัวร่อ “เจ้ายังอุตส่าห์รู้ว่าข้าเป็นนายเหนือหัว ตอนเจ้าฟาดใส่ข้า ข้ายังนึกว่าเจ้าลืมแล้วเสียอีก เจ้าพูดถูก ผู้บังคับบัญชาย่อมต้องคุ้มครองคนใต้บังคับบัญชา แล้วพวกเจ้าถือดีอย่างไรมาเคลือบแคลงสิ่งที่ข้าให้พวกเจ้าทำ ซ้ำยังกล้าทำร้ายข้าด้วย พวกเจ้ารู้กฎของรัชกาลนี้หรือไม่ เบื้องล่างโจมตีเบื้องบน โทษสถานเบาติดคุกสามปี สถานหนักขับไปสามพันลี้”
พริบตานั้นเฝยหลงใบ้กิน เรื่องนี้เป็นชิวเยี่ยไป๋ทำผิดเองชัดๆ ทำไมตอนนี้กลายเป็นพวกเขาเป็นฝ่ายผิดไปได้
เขาแค้นนักที่ตนเองมีปากเดียว แต่ก็นึกในใจว่าต่อให้มีสิบปากก็คงเถียงสู้ชิวเยี่ยไป๋มิได้
กลับเป็นต้าสู่ที่เคยปะทะกับชิวเยี่ยไป๋แต่แรก ขณะนี้จึงครุ่นคิดอย่างหนัก
ชิวเยี่ยไป๋เห็นพวกหยิบหย่งเงียบเสียง อารมณ์จึงค่อยสงบลงและออกจะเคว้งคว้างอยู่บ้าง จึงกล่าวเรียบๆ ว่า “ครั้งนี้ หากมิใช่เจ้าของบ้านนั้นรู้จักข้า พวกเจ้าคิดว่าจะรอดชีวิตมาได้หรือ บนโลกใบนี้ไม่มีใครคอยจัดการให้ใครได้ตลอดกาล เป็นหรือตาย ทุกข์หรือสุข ล้วนขึ้นอยู่กับพวกเจ้าเอง ไม่มีใครรับแทนพวกเจ้าได้ ทุกคนต้องรับผิดชอบการตัดสินใจของตนเองเสมอ”
นางหยุดลงแล้วกล่าวเนือยๆ ว่า “ถ้าพวกเจ้ายังคงหวังว่าจะมีคนช่วยพวกเจ้าแบกรับทุกเรื่อง ทางที่ดีจงลาออกจากกองคั่นเฟิงเสีย ไม่เช่นนั้นคราวหน้าคราวหลังข้าคงต้องให้พวกเจ้าได้ลิ้มรสชาติของการตายโดยไม่มีที่กลบฝังดูบ้างว่าเป็นอย่างไร”