ทางน้ำย่อมรวดเร็วกว่าทางบก
ถ้ามิใช่นางเข้าใจจุดนี้ เหมยซูก็รู้แน่ ดังนั้นบนแม่น้ำจึงเต็มไปด้วยเรือกับดักของเหมยซู และนางคงไม่เปลี่ยนเป็นทางบก
มั่วเสียนแสยะยิ้ม “นั่นนะสิ ถ้าไม่ฉลาดกว่าไอ้พวกหยิบหย่งโง่เง่าของกองคั่นเฟิง ข้าจะให้พวกเจ้าเป็นหินรองบาทได้อย่างไร เดิมทีไม่อยากฉีกหน้ากันเร็วขนาดนี้ แต่เชียนจ่งพวกเจ้าไม่รักดีเอง”
“เจ้ามันไร้ยางอาย!” โจวอวี่อดถ่มถุยไม่ได้
ด้านหยวนเจ๋อสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทุกที แต่กับวิกฤตเบื้องหน้าดูเหมือนเขาไม่ใส่ใจ กลับมองซ้ายมองขวาไปทั่วอย่างเงียบๆ
ชิวเยี่ยไป๋แค่นเสียง “ถ้าอย่างนั้นข้าจะดูว่าในหัวชาญฉลาดของเจ้าจะมีแต่มูลสุนัขหรือไม่”
พูดขาดคำนางก็กระโจนขึ้น พริบตานั้นกระบี่ในมือออกจากฝักจี้ใส่หน้าของมั่วเสียนทันที
จะอย่างไรมั่วเสียนก็นึกไม่ถึงว่านางบอกจะลงมือก็ลงมือเลย แถมยังรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ เขาได้แต่กรีดร้อง “ยิงธนูๆ ยิงมันให้ตาย ยิงพวกมัน!”
พลธนูรอบๆ ปล่อยธนูในมืออย่างมิลังเล คมศรนับไม่ถ้วนแฝงด้วยกลิ่นอายการฆ่าฟันตรงเข้าหาคนของกองคั่นเฟิง
แต่ธนูเร็วคนกลับเร็วกว่า เดิมทีทั้งสองฝ่ายก็ใกล้กันมาก ชั่วพริบตาดังประกายไฟ ชิวเยี่ยไป๋ในท่าไก่ฟ้าม้วนตัวพุ่งลอดคมศร ตวัดดาบสองครั้งกรีดผ่านมือธนูสองคนที่พุ่งขึ้นหมายจะขวางนาง มือหนึ่งคว้ามั่วเสียนที่กลิ้งตัวจะหนีแล้วกระชาก คมกระบี่พาดที่คอเขาอย่างมิเกรงใจ แค่นหัวร่อ “ใต้เท้ามั่ว คราวหน้าจะฆ่าใครอย่ามัวแต่พูดมาก”
มั่วเสียนงงงัน รู้สึกเจ็บที่ลำคอ เห็นได้ชัดว่าคมกระบี่กรีดเอาเลือดไหล กระบี่ในมือของชิวเยี่ยไป๋กรีดเข้าผิวหนังที่คอของเขาอย่างไม่เกรงใจ และทาบกันเส้นเลือดแดงที่คออย่างแม่นยำ
ความรู้สึกที่เส้นเลือดแดงอันอ่อนนุ่มสัมผัสกับคมกระบี่เย็นเยียบทำให้เขาหวาดผวาเป็นอย่างมาก
มั่วเสียพลันขาอ่อนแรง “เจ้า…เจ้าต้องการอย่างไร”
วาจาเขาล้วนระมัดระวัง ไม่กล้าหายใจแรง กลัวว่าจะทำให้เส้นเลือดแดงที่คอตนขาดโดยไม่ตั้งใจ
ชิวเยี่ยไป๋แค่นเสียงเอ่ย “ให้พวกเขาถอยไป โยนอาวุธทั้งหมดลงน้ำ”
มั่วเสียนเวลานี้ถึงเพิ่งได้หันหน้าไปมองสถานการณ์โดยรอบ พลันรู้ว่าเหตุใดชิวเยี่ยไป๋ถึงไม่กลัวว่าลูกธนูจะเสียบคนของนางจนพรุนไปทั้งร่าง ที่แท้ไม่รู้ว่าคนของกองคั่นเฟิงเหล่านั้นมายืนซ้อนกายขวางอยู่ตั้งแต่เมื่อใด ทั้งยังจูงม้ามาล้อมบริเวณโดยรอบเอาไว้ด้วย ให้ม้ากลายเป็นโล่ทางธรรมชาติคอยกันลูกศร ปกป้องร่างกายพวกเขาเอาไว้ให้แคล้วคลาดปลอดภัย
มั่วเสียนพลันโกรธเกรี้ยว “พวก…พวกเจ้าเดินทางหลบหนีกันเอิกเกริกเช่นนี้ ไม่กลัวพวกเหมยซูไล่ตามมาทันหรือ!”
ชิวเยี่ยไป๋แค่นหัวร่อเสียงหนึ่ง “นี่ไม่ใช่มีเรือของพวกเจ้าอยู่หรือ”
มั่วเสียนพลันมองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้า…เจ้าคาดการณ์ไว้แล้วหรือ”
ชิวเยี่ยไป๋แย้มยิ้มเย็นเยียบ มองเขาด้วยสายตามองคนโง่งม “เจ้าคิดว่าข้าจะไม่ได้เตรียมการป้องกัน ‘ขนมเปี๊ยะชิ้นโต’ น่าสงสัยที่ส่งมาถึงหน้าประตูชิ้นนี้เลยอย่างนั้นหรือ”
มั่วเสียนสภาพราวกับไก่ชนแพ้พนัน สีหน้าซีดขาวสลับดำคล้ำ พลันโบกมือไหวคราหนึ่ง เป็นสัญญาณบอกให้เหล่ามือธนูกลุ่มนั้นโยนคันธนูและลูกศรลงน้ำ
เหล่ามือธนูมองหน้าสบตากันและกัน สุดท้ายก็ทำตามคำสั่ง
ชิวเยี่ยไป๋เห็นเหล่ามือธนูโยนคันธนูและลูกศรบนมือทิ้งกันจนหมด นางถึงได้ผ่อนลมหายใจคราหนึ่ง ในขณะที่กำลังจะสั่งถอย กลับได้ยินเสียงแผ่วเบาเสียงหนึ่งลอยมาจากด้านหลัง
นางรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี แต่เพราะมือกำลังรวบจับมั่วเสียนเอาไว้อยู่ อากัปกิริยาของนางจึงช้าไปก้าวหนึ่ง
ในเวลานี้เอง เงาคนสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามา ชนนางกระเด็นออก แต่เขากลับล้มลงกับพื้น
ชิวเยี่ยไป๋ก้มศีรษะมอง หัวใจพลันกระตุกวาบ…
“อาเจ๋อ!”
หยวนเจ๋อไม่ได้โต้ตอบอะไรนาง เข่าข้างหนึ่งยันอยู่กับพื้น ทว่าหัวไหล่มีลูกศรประหลาดปักลึกอยู่บนนั้น ตัวลูกศรชุ่มด้วยสีน้ำเงินเข้ม เพียงมองก็รู้ว่ามีพิษร้าย
นัยน์ตาชิวเยี่ยไป๋วาบประกายเย็นยะเยือก หันกายส่งสายตาค้อนควักไปทางเหล่ามือธนูที่เพิ่งจะทิ้งคันธนูและลูกศรลงน้ำเมื่อครู่
จิตสังหารอันดุร้ายในดวงตานางทำเอาเหล่ามือธนูพลันสยิวกาย ถอยหลังไปก้าวหนึ่งพร้อมกันตามจิตใต้สำนึก ส่ายศีรษะไหวๆ แสดงท่าทางว่าพวกเขาไม่ได้เป็นคนทำ
เด็กหนุ่มที่มองดูแล้วรูปโฉมอัปลักษณ์ผู้นี้เมื่อครู่ยามลงมือฝีมือกลับโหดร้ายดุดัน พลังฝีมือเช่นนั้น ฝนลูกศรยังจนปัญญาทำร้ายเขาได้ เวลานี้พวกเขาล้วนไร้อาวุธติดกาย ไม่อาจเป็นคู่มือกับนางได้เลย!
แม้โจวอวี่จะไม่เห็นหยวนเจ๋อในสายตา แต่ถึงอย่างไรก็รู้จักกันมาหลายวัน ได้เผชิญความยากลำบากมาด้วยกัน อีกทั้งหยวนเจ๋อยังได้รับบาดเจ็บเพราะชิวเยี่ยไป๋ เขาพลันพุ่งกายเข้ามา ตรวจสอบบาดแผลของหยวนเจ๋อ
หยวนเจ๋อใบหน้าซีดขาวไปทั้งใบ สีหน้ากลับสงบนิ่งอย่างประหลาด เขายกมือขวางมือของโจวอวี่ เอ่ยเสียงเบา “อย่าโดน ข้าไม่เป็นไร”
เห็นเขาขวางเอาไว้เช่นนี้ โจวอวี่ก็นึกอยากจะด่าเขาอย่างอดไม่ได้ แต่เมื่อพิจารณาให้ดี เขามือเปล่าไร้แผนการ ลูกศรดอกนั้นเพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่ามีพิษร้าย เขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าใช้มือสัมผัสมันได้หรือไม่ แต่หยวนเจ๋อร่างกายทรุดฮวบลงไปอย่างเห็นได้ชัด เขาทำได้เพียงพยุงหยวนเจ๋อเอาไว้ แล้วมองไปทางชิวเยี่ยไป๋อย่างร้อนรน
แม้ชิวเยี่ยไป๋เมื่อครู่จะถูกหยวนเจ๋อพลักออกไป กระบี่ที่จ่อคอมั่วเสียนไว้จึงเลื่อนออก แต่นางกลับเปลี่ยนท่วงกดเข้ากดจุดเขาอย่างว่องไว เตะเขาล้มลงกับพื้น เวลานี้นางพลันคว้าสาบเสื้อของเขาขึ้นมา แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงน่าหวั่นเกรง “มั่วเสียน ข้าให้โอกาสเจ้าสามครา เอายาถอนพิษออกมา”
มั่วเสียนมองคนตรงหน้าอย่างขวัญผวา “ข้าไม่มี ไม่ใช่ข้า…โอ๊ย!”
วาจาเขายังเอ่ยไม่ทันจบ พลันส่งเสียงร้องน่าอนาถขึ้นมาในพริบตา
ชิวเยี่ยไป๋ยกกระบี่ออกจากคอเขา หันปลายกระบี่แหลมแทงลงบนขาเขา เอ่ยขึ้นช้าๆ ชัดๆ ทีละคำ “ยาถอนพิษ”
มั่วเสียนเจ็บจนนำตานองหน้า อ้าปากเอ่ยด้วยความขลาดกลัว “ไม่ใช่…โอ๊ย!”
เขาพลันร้องเสียงหลงขึ้นมาอีกคราหนึ่ง ขาถูกชิวเยี่ยไป๋ปักบี่จนเป็นรูโหว่ พลันกอดขาตัวเองเอาไว้แล้วล้มลงกับพื้น
ปลายกระบี่ของชิวเยี่ยไป๋ในครานี้…แทงลงบนรอยเดิม
คมกระบี่เยียบเย็นไม่ไว้ไมตรีต่อฝ่ายตรงข้ามแม้แต่เสี้ยวหนึ่ง ชั่วพริบตาเขาพลันสั่นเทาไปทั้งร่าง คนผู้นี้ไม่มีทางจะเชื่อคำพูดเขา
เขาไม่กล้าเอ่ยวาจาอีก นี่คือครั้งแรกที่เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าอะไรที่เรียกว่าสิ้นหวัง
ไฟชีวีคงดับลง ณ ตรงนี้!
ชิวเยี่ยไป๋มองเขาอย่างเหยียดหยามครู่หนึ่ง ก่อนจะเก็บกระบี่อาบเลือดในมือกลับ “ข้าเชื่อเจ้า”
มั่วเสียนไม่กล้าแม้แต่จะเชื่อหูตน เขาได้ยินว่าอะไรนะ
“เจ้า…เชื่อข้าหรือ”
คิดไม่ถึงว่าเพชฌฆาตที่เกือบสังหารเขาตรงหน้าจะเอ่ยว่าเชื่อเขาด้วยใบหน้าสงบนิ่ง
ชิวเยี่ยไป๋มองเขาอย่างเฉยชาปราดหนึ่ง “เจ้าไม่ได้เด็ดเดี่ยวถึงเพียงนั้น รอยแผลสองรูนี้ ก็ถือว่าเป็นของที่ระลึกที่ข้าเชียวจ่งให้เจ้าแล้วกัน บอกนายเจ้า หากครั้งหน้าไร้ความจริงใจในการร่วมงานกันอีก ข้าจะฝากรอยแผลสองรูนี่ไว้บนศีรษะเขาอย่างไม่กังวลใจ”