ชิวเยี่ยไป๋แลดูเย่ว์หนูแวบหนึ่งด้วยแววตาเย็นชาแล้วชักมือกลับ “ไม่มีอะไร ดูแลราชครูบ้านเจ้าให้ดี”
จากนั้นนางก็หันกายปลายเท้าสะกิดพื้น มือไพล่หลังเหินกายเหยียบเศษกระเบื้องแล้วจากไป
เห็นชิวเยี่ยไป๋จากไป เย่ว์หนูจึงค่อยคลายใจ ผู้เยาว์คนนี้ไปมาราวกับสายลมปุยเมฆ ท่าทางงดงามคล่องแคล่ว เห็นได้ชัดว่าพลังฝีมือบรรลุขั้นสุดยอด แม้นางจะพอมีวิทยายุทธ์อยู่บ้างแต่มิใช่คู่มือเด็ดขาด
นางรีบพยุงหยวนเจ๋อลุกขึ้นนั่ง ดูเหมือนหยวนเจ๋อจะอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว อาศัยมือเย่ว์หนูช่วยพยุงหลายครั้งจึงค่อยนั่งลงบนเบาะนั่งได้ แต่ดูเหมือนยังคงไม่คืนสติ ดวงตางดงามสีเทาเงินยังคงฉายแววซึมเซา
เย่ว์หนูตกใจ คนผู้นั้นคงมิได้ทำอะไรราชครูกระมัง
นางรีบกล่าวอย่างกังวล “ท่านราชครู…”
“ประสกเสี่ยวไป๋…” หยวนเจ๋อเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน จู่ๆ ก็พึมพำเบาๆ
เย่ว์หนูงุนงง แล้วจึงเข้าใจว่าที่หยวนเจ๋อกำลังพูดถึงคือคนผู้นั้น จึงรีบกล่าวว่า “เขาไปแล้ว”
หยวนเจ๋องงงัน แล้วจึงพบว่าเบื้องหน้าตนไม่มีใครแล้ว เขามองฟากฟ้าที่เริ่มสว่าง แววตาเลื่อนลอยอยู่บ้าง
“ไปแล้ว…”
เย่ว์หนูผงกศีรษะ “เจ้าค่ะ”
หยวนเจ๋อพลันร้องเรียกอย่างลังเล “เย่ว์หนู”
เย่ว์หนูชะงัก แย้มยิ้มกล่าวว่า “ท่านราชครู เช้านี้เย่ว์หนูปรนนิบัติท่านราชครูออกมาทำวัตรแต่เช้า เพียงเห็นท่านราชครูนั่งสมาธิอยู่โคนต้นไม้แต่ผู้เดียว”
หยวนเจ๋อพยักหน้า ถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง “ขอบใจ”
“เจ้าค่ะ พวกเสวี่ยหนูน่าจะตื่นกันแล้ว ประเดี๋ยวเย่ว์หนูจะให้พวกนางยกสำรับเข้ามา” เย่ว์หนูยืนกล่าวอย่างนอบน้อมข้างกายเขา
หยวนเจ๋อกำลูกประคำในมืออย่างซึมเซา หลับตาลงเงียบๆ ภาวนาคาถาเบาๆ ไม่ขาดปาก
“เห็นแจ้งว่าสิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นมนุษย์ล้วนว่างเปล่า จึงข้ามพ้นทุกข์ทั้งหลาย สารีบุตร รูปลักษณ์ไม่ต่างจากความว่างเปล่า ความว่างเปล่าไม่ต่างจากรูปลักษณ์ รูปลักษณ์คือความว่างเปล่าโดยแท้ ความว่างเปล่าโดยแท้คือรูปลักษณ์ สารีบุตร ธรรมชาติทั้งปวงล้วนมีลักษณ์ที่ว่างเปล่า ไม่เกิดไม่ดับ ไม่มัวหมองไม่ผ่องแผ้ว…”[1]
ฟ้าเพิ่งสาง ลมเย็นโชยโบก เสียงสวดมนต์ลอยล่อง ทว่ายังคงมีผู้ที่ความผ่องแผ้วในจิตใจแปดเปื้อน ต้นโพธิ์ข้างตัวใครเล่าที่สั่นไหว
ฟังเสียงหยวนเจ๋อทอดถอน ดวงตาของเย่ว์หนูฉายแววเย็นเยือกแวบหนึ่ง
ครึ่งชั่วยามให้หลัง ฟ้าสว่างแล้ว ในตำหนักเทพคึกคักจอแจ เทวะนารีหลายนางนำพาชาววังจำนวนหนึ่งปรนนิบัติหยวนเจ๋อฉันเช้าและตระเตรียมน้ำร้อนชำระกาย
เย่ว์หนูสั่งให้ขันทีน้อยคนหนึ่งไปปรนนิบัติหยวนเจ๋อที่ตำหนักใน ส่วนตนเองหิ้วตะกร้าดอกไม้ใบหนึ่ง เหลียวซ้ายแลขวาแล้วไม่มีคน จึงตรงออกจากประตูตำหนักเทพตามลำพัง สั่งขันทีเฝ้าประตูตำหนักอย่างมิใส่ใจ “ข้าจะไปเก็บดอกไม้ให้ท่านราชครู”
ขันทีคนนั้นผงกศีรษะ กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ขอรับ ท่านเทวะนารีโปรดเดินระวัง”
เขาหยุดลงแล้วประจบว่า “เทวะนารีเย่ว์โปรดระวังด้วย ครั้งที่แล้วเทวะนารีเฟิงไปเก็บดอกไม้ มิทราบเพราะอะไรก็หายตัวไป จนบัดนี้หลายวันแล้วยังหาไม่พบ”
เย่ว์หนูชะงักกาย พยักหน้าแล้วหิ้วตะกร้ามุ่งไปทางราชอุทยาน
นางถึงราชอุทยานซึ่งไม่ไกลนัก มองซ้ายมองขวาแล้วแวบเข้าในตำหนักเล็กๆ แห่งหนึ่งบริเวณนั้น ซึ่งเป็นที่สำหรับเจ้านายชั้นสูงได้พักเท้า ในตำหนักน้อยไม่มีใครเลย นางวางตะกร้าที่ปากประตู แล้วหันกายเข้าไปในห้องเล็กห้องหนึ่ง และแล้วก็เห็นบุรุษเยาว์วัยชุดขาวคนหนึ่งกำลังยืนตัดแต่งกิ่งดอกไม้บนโต๊ะ
“เย่ว์หนูขอคารวะใต้เท้าไป๋”
ซวงไป๋หันมามองนางแวบหนึ่ง ดวงตางดงามกลอกไปมา กล่าวเนือยๆ ว่า “ลุกขึ้นเถิด วานนี้ท่านราชครูสบายดีไหม พบใต้เท้าชิวหรือเปล่า ใต้เท้าชิวพูดอะไรกับท่านราชครูบ้าง”
แม้ราชครูจะรู้ว่าค่งเฮ่อเจียนเป็นคนของฝ่าบาทก็ไม่รังเกียจพวกเขา แต่ไม่ถือว่าใกล้ชิดนัก ดังนั้นเวลาที่ราชครูอยู่ในตำหนักเทพ หากไม่จำเป็นปกติแล้วพวกเขาจะเข้าไปในตำหนักเทพน้อยมาก ในตำหนักเทพได้จัดวางสายลับไว้จำนวนมาก คอยรายงานความเคลื่อนไหวของราชครูทุกวัน ดังนั้นครั้งที่แล้วเสวี่ยหนูจู่ๆ ปีนขึ้นเตียงราชครู กระตุ้นโทสะของฝ่าบาท เขากับอีไป๋จึงรุดไปได้อย่างรวดเร็ว
เย่ว์หนูคือหนึ่งในสายลับ นางคิดจะหาทางได้เป็นเทวะนารีที่ราชครูไว้วางใจที่สุดในตำหนักเทพ ดังนั้นเมื่อวานที่ราชครูกับใต้เท้าชิวมีการติดต่อ เย่ว์หนูย่อมรู้แน่นอน
เย่ว์หนูลุกขึ้นแล้วลังเลครู่หนึ่ง สีหน้าพิกลกล่าวว่า “เรียนใต้เท้า เมื่อวานนี้ท่านราชครูพบกับใต้เท้าชิวจริงและสนทนากับใต้เท้าชิวบ้าง แต่บ่าวยืนห่างไปบ้างจึงฟังไม่ถนัดนัก อีกอย่างใต้เท้าชิวคนนั้นเป็นคนระมัดระวังด้วย แต่…”
นางหยุดลงแล้วจึงรายงานทุกอย่างที่เห็นต่อซวงไป๋
ซวงไป๋ยิ่งฟังยิ่งเงียบงัน หลังเงียบไปครู่หนึ่งก็พยักหน้าด้วยสีหน้าอึมครึม “เอาล่ะ เจ้าไปเถิด ถ้ามีอะไรสำคัญจำไว้ว่าต้องทิ้งสัญญาณให้ทันเวลา”
เย่ว์หนูผงกศีรษะอย่างนอบน้อม “เจ้าค่ะ”
จากนั้นนางก็ถอยออกไปอย่างนอบน้อม
ซวงไป๋แลดูดอกไม้ที่จัดอย่างพิถีพิถันเบื้องหน้าตน ถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง
บางเรื่องพอเริ่มขึ้นก็เหนี่ยวรั้งกลับคืนมิได้ คนเราย่อมยินดีจะใกล้ชิดกับคนที่ดูแล้วทำให้ตนเองรู้สึกปลอดภัยเสมอ
นายท่าน มิรู้ว่าตอนแรกที่วางแผนจะคาดคิดหรือไม่ว่า ทิศทางของเรื่องราวอาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เขาอาจไม่พอใจ
ชิวเยี่ยไป๋ออกจากตำหนักเทพ ฉวยโอกาสที่ฟ้ายังมืดอยู่ตรงไปยังที่รกร้างไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง จนกระทั่งถึงที่รกร้างนั้น นางจึงหยุดฝีเท้า
ในใจยังคงอดนึกถึงสภาพที่เห็นแต่แรกมิได้
เจ้าโง่นั่นท่าทางเหมือนตกใจสุดขีดเพราะอะไร นางต่างหากที่เป็นสตรี คนที่ตกใจน่าจะเป็นนางต่างหาก ทำไมบัดนี้นางกลับกลายเป็นปีศาจที่ล่วงละเมิดต่อหลวงจีนศักดิ์สิทธิ์!
ชิวเยี่ยไป๋สีหน้าไม่พอใจ นั่งขัดสมาธิบนยอดหลังคาวังเย็นแลดูมิเย็นที่รกร้าง อัดอั้นอยู่พักหนึ่งจึงลุกขึ้นก้าวเข้าไปในตำหนักร้างที่เก่าซอมซ่อ
ไม่นานนัก ประตูตำหนักก็เปิดออกอีกครั้ง ที่ออกมาเป็นขันทีน้อยที่สวมชุดครามเทาซึ่งเป็นขันทีชั้นต่ำคนหนึ่ง
ชิวเยี่ยไป๋เหลือบมองคันฉ่องที่บิ่นแตกบานหนึ่ง จนแน่ใจว่าบนตัวไม่มีพิรุธใดๆ แล้วจึงสะบัดแส้ปัดในมือ กระโจนเบาๆ ราวนกนางแอ่นกระโดด หลบเลี่ยงประตูข้างของวังเย็นที่มีคนคอยเฝ้า แล้วลงสู่ทางสายหนึ่งในวังที่ไร้ผู้คน
นางมองซ้ายมองขวา ทางเดินในวังที่รกร้างไม่มีใครผ่าน ก้าวยาวๆ ไปทางแพร่งด้านขวา ตามบันทึกของภาพกระดาษ เลี้ยวไปเลี้ยวมาหลายครั้งก็เห็นผู้คนค่อยๆ มากขึ้น
นางจึงเก็บภาพกระดาษในมือเสียเลย ตรงเข้าหานางกำนัลคนหนึ่ง ถามอย่างสุภาพว่า “แม่นางท่านนี้ ขอเรียนถามว่าวังผิงอวิ๋นอยู่ที่ใด”
นางกำนัลตัวน้อยกำลังอุ้มชุดชาววังหอบใหญ่เดินอย่างรีบเร่ง คิดจะรีบไปให้ถึงจุดหมายก่อนตะวันจะขึ้นสูง จู่ๆ ก็ถูกคนขวางไว้รู้สึกไม่พอใจ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเป็นขันทีน้อยหน้าตาหล่อเหลา นางมองชิวเยี่ยไป๋ขึ้นๆ ลงๆ “เจ้ามาใหม่หรือ ทำงานที่ไหนล่ะ ถึงกับไม่รู้สถานที่ก็ออกมาทำงานหรือ”
ชิวเยี่ยไป๋กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ข้าน้อยเสี่ยวชิวจื่อ หลายวันก่อนเพิ่งเข้าวัง ตอนนี้เป็นคนทำความสะอาดที่ชินเทียนเจียน แต่พี่ชายหลายคนถูกเบื้องบนเรียกตัวไปรับใช้ที่ตำหนักเทพ ท่านขันทีใหญ่ซึ่งเป็นพ่อบ้านจึงใช้ข้าน้อยรับงานนี้”
——
[1] จากปารมิตา หฤทัยสูตร