บทที่ 41 : ชาวนากับงูเห่า
6.30 น. หลินเจี๋ยลืมตาตื่นขึ้นเพราะเสียงนาฬิกาปลุก และเริ่มกิจวัตรประจำวันของเขาตามปกติ
เป็นกิจวัตรซ้ำ ๆ เดิม ๆ ตลอดสามปี ตื่นขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อแล้วล้างหน้า
“แต่ตอนนี้มันแหม่ง ๆ ยังไงก็ไม่รู้แฮะ…” หลินเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะล้อเลียนตัวเองในกระจก
รูปร่างหน้าตาดูไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมเท่าไร และเขายังคงมีความสามารถในการล่อลว…แค่ก ในการเชิญชวนอยู่ ทว่าหลังจากเพ่งมาแล้วหนึ่งนาที ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
แต่ไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปตรงไหน
ราวกับหลินเจี๋ยได้รับการเปลี่ยนซอฟต์แวร์แล้วถูกบังคับให้พูดออกมา ในมุมมองของเขามันไม่ต่างกับการที่ตัวเองกลายเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดรอบด้านเลยสักนิด
ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร แค่ว่าปกติแล้วเขาจะพูดคุยก่อน แล้วให้คำแนะนำนิดหน่อย ตามด้วยรอยยิ้มอย่างเชี่ยวชาญจนอีกฝ่ายมองไลฟ์โค้ชหลินเจี๋ยด้วยแววตาเปล่งประกาย
แต่ตอนนี้ ถ้าให้โม้อีกนิดคือ หากมีคนมาขอให้หลินเจี๋ยเป็นนักบวชละก็ สิ่งที่เขาต้องทำคงมีแค่สวมผ้าคลุมนักบวชพร้อมส่งยิ้มให้อย่างเหมาะสมก็พอ
“เผลอ ๆ คงมีคนสารภาพบาปมันตรงนั้นเลยด้วยซ้ำมั้งเนี่ย” เขาประชดกลั้วหัวเราะพลางนวดแก้ม และรู้สึกได้ถึงรอยของจำนวนฟันที่เกินออกมา
หลินเจี๋ยเชื่อในสายตาและความจำของตัวเอง เขามั่นใจว่าตนไม่ได้มองผิดไป
ทว่าการที่จู่ ๆ ฟันแปดซี่ก็โผล่มาแบบนี้ หลินเจี๋ยกลับไม่เห็นว่าเป็นการพัฒนาอันน่าตื่นตาตื่นใจสักเท่าไรเลย แถมจะมีปัญหาตามมาอีกด้วย
ในศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าถูกกล่าวว่าเป็นผู้มี ‘สามสิบสองสัญลักษณ์ของผู้ยิ่งใหญ่’ อยู่ในตัว และ ‘ฟันสี่สิบซี่’ ถือเป็นหนึ่งในนั้น
ฟันสี่สิบซี่สื่อถึงการละซึ่งคำหยาบคายของพระพุทธเจ้า และการปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความเอื้ออารีและมีน้ำใจ
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ไม่เป็นทางการก็กล่าวไว้ว่าเล่าจื๊อ[1]เองก็มีฟันสี่สิบซี่เช่นกัน
ฟันสี่สิบซี่สื่อถึง ‘ผู้ไร้ซึ่งที่ติ’
เป็นเรื่องปกติหากผู้เชี่ยวชาญเรื่องคติชนวิทยาอย่างหลินเจี๋ยจะรู้ที่มาของฟันแปดซี่ที่เกินมา เขาแค่ไม่ได้ค้นคว้าลึกลงไปขนาดนั้น
ระหว่างการเรียนรู้เรื่องนิทานพื้นบ้านและธรรมเนียมอันโด่งดัง หลินเจี๋ยมักจะเผชิญหน้ากับบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก แต่เขาแค่มองมันเป็นสิ่งไม่จำเป็น และบันทึกแหล่งที่มาเพียงอย่างเดียว
ก็เขาเป็นนักศึกษาคติชนวิทยา ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ที่ต้องตามหาคำตอบสักหน่อย
“แต่นี่มันไม่เกินไปหน่อยรึไง” หลินเจี๋ยถอนหายใจพลางเดินลงไปข้างล่าง “เอาไว้ถามเจ้าดำตอนโผล่มาอีกรอบละกัน”
ไม่ว่าจะขบคิดสักแค่ไหน เจ้าดำอาจเป็นคนเดียวที่ให้คำตอบเรื่องที่ติดค้างในใจของเขาได้
สุดท้ายหลินเจี๋ยก็ไม่ได้รู้จักคนในโลกนี้เยอะขนาดนั้น แถมส่วนใหญ่ยังเป็นลูกค้าของเขาเสียอีก คนเหล่านั้นต้องการให้เขาเยียวยาหัวใจเรื่อย ๆ เสียด้วย ในฐานะเสาค้ำจุนทางอารมณ์และไลฟ์โค้ชของพวกเขา จะให้ไปถามคำถามแบบนี้ก็ไม่ต่างกับการทำลายภาพลักษณ์ที่พวกเขามีต่อหลินเจี๋ยเลยไม่ใช่หรือ?
อีกอย่าง เขาจะไปพูดเรื่องแบบนี้กับคนอื่นได้อย่างไรกัน จู่ ๆ ไปโพล่งใส่ใครเขาได้เรอะว่ามีฟันแปดซี่งอกออกมาแล้วน่ะ
‘เฮ้อ แบบนั้นคนอื่นได้กลัวตายชัก ช่างมันเถอะ ไม่อยากเป็นแบบเจ้าเด็กโข่งเมลิสซ่าที่ทำให้คนอื่นเป็นห่วงและลำบากไม่เข้าเรื่องซะด้วย’ หลินเจี๋ยส่ายหน้าพลางคิดในใจ
เขาเดินไปที่เคาน์เตอร์แล้วทำความสะอาดเล็กน้อย ในระหว่างที่รอหม้อต้มไฟฟ้าเดือด ชายหนุ่มพลันได้ยินเสียงเคาะประตู
หลินเจี๋ยหันไปมองทางเข้าด้วยความสงสัย ปกติแล้วเวลานี้จะยังไม่มีลูกค้ามาเลยสักคน อีกทั้งคงไม่มีใครตื่นเช้าปานนี้มาร้านหนังสือโทรม ๆ ในสภาพอากาศไม่เป็นใจแบบนี้หรอก
เมื่อมาคิดดูแล้ว เขามองว่าน่าจะเป็นลูกค้าประจำกระมัง
ท้องฟ้ายังคงขมุกขมัวเช่นเคย หลินเจี๋ยมองเห็นเงาของคนข้างนอกแล้วรู้สึกคุ้นเคย
“เฒ่าไวลด์เหรอ”
เงาด้านนอกตอบรับพลางหุบร่มเก็บไป
เมื่อยืนยันได้แล้วว่าตนเดาถูก หลินเจี๋ยจึงสาวเท้าเข้าไปหาและเปิดประตู “ยินดีต้อนรับครับ…”
เขาแอบคิดอยู่ลึก ๆ ‘ไหงเฒ่าไวลด์กลับมาไวจังล่ะ มาที่นี่สามครั้งในสองสัปดาห์ แทบจะถึงโควตาของสองปีที่แล้วเลยนะนั่น’
หลินเจี๋ยรู้สึกว่าเวลาครึ่งเดือนไม่มากพอสำหรับเฒ่าไวลด์ในการศึกษาพิธีกรรมและขนบธรรมเนียมอย่างถ่องแท้ด้วยซ้ำ อีกทั้งหัวข้อนี้ไม่ใช่สิ่งที่เฒ่าไวลด์ชำนาญด้วย ดังนั้นอาจเป็นบางอย่างที่ไขว่คว้าไม่ได้
ในเมื่อหนังสือเล่มนั้นได้กล่าวถึงสองวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ถ้าไม่รู้เรื่องพื้นฐานมาก่อน มันก็ไม่ต่างกับการเรียนรู้เรื่องโบราณในยุคปัจจุบัน แล้วคนเรียนจะเข้าใจแค่พื้นผิวของมันเท่านั้น
แต่จากที่เฒ่าไวลด์เคยว่าไว้เมื่อครั้งที่แล้ว ว่าหนังสือเล่มนี้ได้มอบแรงบันดาลใจและความกระจ่างรู้เป็นอย่างมาก บางทีอาจหมายถึงในแง่งานวิจัยของเขาละมั้ง
หลินเจี๋ยเองก็เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน ในเวลาแบบนี้ต้องรีบคว้าโอกาสงมอยู่กับงานวิจัยจนกว่าผลลัพธ์จะออกมาเลยทีเดียว
เฒ่าไวลด์เองก็เป็นแบบนั้นมาก่อน เขาสามารถหายตัวได้นานเป็นเดือนหลังยืมหนังสือไป แล้วนำกลับมาคืนในอีกหลายเดือนถัดมา
การที่เขากลับมาเยือนในเวลาสั้น ๆ แบบนี้ดูไม่ปกติเลยสักนิด มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
กริ๊ง ๆ
หลินเจี๋ยเปิดประตูพลางคิดไม่ตก แน่นอนว่าเฒ่าไวลด์กำลังยืนอยู่ข้างนอก
เฒ่าไวลด์ยังคงสวมชุดสูตเนี้ยบตัวเก่งและหมวกสุภาพบุรุษเช่นเดิม ร่มสีดำถูกวางเอาไว้ข้างประตู แถมยังมีหยดน้ำหยดลงมาอยู่เลย
เขาหันไปหาหลินเจี๋ย นัยน์ตาใต้หน้ากากเปี่ยมไปด้วยความเคารพ ชายแก่ถอดหมวกออกแล้วโค้งให้เล็กน้อย “อรุณสวัสดิ์ คุณหลิน”
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
หลินเจี๋ยยิ้มตอบพลางเปิดประตูต้อนรับเพื่อให้เฒ่าไวลด์เข้ามา ก่อนจะเดินกลับไปยังเคาน์เตอร์ ปิดสวิตช์หม้อต้มน้ำไฟฟ้า แล้วรินน้ำร้อนให้อีกฝ่ายเสร็จสรรพ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นแต่เช้าขนาดนี้เหรอครับเฒ่าไวลด์? ถ้าผมยังนอนอยู่คุณน่าจะยืนตัวแข็งอยู่ข้างนอกเลยนะครับ อัตราการเกิดอุบัติเหตุในอายุไล่เลี่ยคุณถือว่าสูงซะด้วย รบกวนดูแลตัวเองหน่อยก็ดีนะครับ”
“หลายคนในยุคนี้น่ะเย็นชากันจะตาย ไม่ค่อยอยากจะช่วยคนแก่คนเฒ่ากันสักเท่าไรหรอกเพราะพวกเขาไม่อยากเจอเรื่องยุ่งยาก”
“เฮ้อ…แต่เราจะไปโทษเขาก็ไม่ได้เหมือนกันสินะครับ เฒ่าไวลด์…คุณเคยได้ยินนิทานเรื่อง ‘ชาวนากับงูเห่า’ มาก่อนรึเปล่าครับ”
การพูดคุยกับลูกค้าถือว่าเป็นการประคบประหงมความ
สัมพันธ์อันดี
อีกอย่าง เฒ่าไวลด์อุตส่าห์ถ่อมาถึงนี่แต่เช้าคงเหนื่อยน่าดู การโพล่งถามเขาไปว่า ‘สนใจยืมหนังสือไหมครับ’ ก็ดูจะใจจืดใจดำไปหน่อย หลินเจี๋ยจึงเลือกจะเล่านิทานสักนิดเพื่อสานต่อบทสนทนา
ไวลด์ส่ายหน้า
“เป็นนิทานที่เนื้อเรื่องเรียบง่ายมากเลยละครับ แต่ก็ถือว่าคุ้มจะให้คิดเหมือนกัน”
“วันหนึ่งในฤดูหนาว ชาวนาได้พบกับงูเห่าตัวแข็งทื่อและด้านชาเพราะความหนาวเหน็บ ความสงสารกัดกินจิตใจ ชาวนาจึงตัดสินใจเก็บมันมาเลี้ยงดูในที่อยู่ของเขา”
“หลังได้รับความอบอุ่น ไม่นานงูเห่าตัวนั้นก็ฟื้นกำลังวังชากลับมา มันหันไปหาผู้มีพระคุณของมัน แล้วแว้งกัดเขาด้วยคมเขี้ยวแห่งความตาย”
หลินเจี๋ยหัวเราะเล็กน้อยแล้วรินน้ำให้ตัวเองพลางเอ่ยต่อ “แต่ว่า ถ้าเป็นคุณมาทรุดตัวอยู่หน้าบ้านผมละก็ ผมจะไม่มีวันทิ้งคุณไว้ตรงนั้นแน่นอนครับ ก็พวกเราเป็นเพื่อนกันนี่นา”
แน่นอนว่าอาจารย์ที่ดีย่อมไม่ลืมให้คำถามชวนคิดเป็นแบบทดสอบหลังเลิกเรียนด้วย
“เฒ่าไวลด์ครับ คุณว่าในเรื่องนี้ใครผิดเหรอ ชาวนา? รึว่างูเห่า? ตอนที่เขาใกล้ตาย ชาวนาจะโทษตัวเองที่ไร้เดียงสาหรือจะโทษเจ้างูที่โหดเหี้ยมไร้หัวใจกัน?”
ไวลด์เงยหน้าและจ้องมองไปยังสายตาอันลึกซึ้งของเจ้าของร้านหนังสือ ร่างทั้งร่างของเขาสั่นระรัวเสียจนหยดน้ำบางส่วนหกออกมาจากถ้วยชาในมือ
[1] นักปรัชญาชาวจีนโบราณ ผู้ก่อตั้งปรัชญาเต๋า