บทที่ 53 : ตามล่าไวลด์
ไบรอนจ้องมองเอลฟ์สาวที่กำลังก้าวเท้าเข้ามาหา ก่อนจะพึมพำ “นายท่านเหรอ?”
เขากำลังช็อกจนคิดคำพูดไม่ออก
จากความรู้ที่เขาร่ำเรียนมา คนที่มีความสามารถมากพอที่จะให้เอลฟ์บูชาได้ มีเพียงสี่แม่มดบรรพกาลเท่านั้น
ไม่มีทางหรอกที่จู่ ๆ แม่มดบรรพกาลจะออกมาจากแดนนิมิตแล้วมาอยู่ในร้านหนังสือข้างถนนนี้ได้
“ผู้ที่ได้รับคำอำนวยพรจากท่านหญิงเช่นนายท่าน ย่อมมีสิทธิ์ที่จะเป็นตัวแทนเจตจำนงของท่านหญิง”
โดริสหันไปหาไบรอนและส่งรอยยิ้มให้ “ดูท่าสมาคมแห่งสัจธรรมจะมีไหวพริบด้อยลงทุกวันเลยเสียนี่ เป็นเพราะความอารีแห่งนายท่านของข้างั้นรึ ที่ปล่อยให้พวกเจ้าหาญกล้าเสียจนตาบอด หรือเป็นเพราะพวกเจ้าเองที่สอดรู้สอดเห็นมากเสียจนไร้สติ คิดว่าตนมีสิทธิ์สู่รู้สิ่งที่นายท่านกำลังทำอยู่รึไรกัน”
ไบรอนกำลังสวมเสื้อคลุมนักวิชาการพร้อมปักตราสมาคมแห่งสัจธรรมเอาไว้
เขาย่อมไม่รู้สึกแปลกกับคำพูดคำจาและน้ำเสียงที่เอลฟ์ตนนี้กล่าวเลยสักนิด นี่แหละคือท่าทีของผู้ศรัทธาอย่างเหนียวแน่นต่อ ‘นายท่าน’ ของพวกเขา
มันไม่ได้จำเพาะเจาะจงแค่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดและศาสนานิกายอื่น แม้แต่ในสมาคมแห่งสัจธรรมเองก็ยังมีพวกบ้าชอบพล่ามเกี่ยวกับพลังความรู้เมื่อสบโอกาสเหมือนกัน
พลังอีเธอร์อันมากล้นจนเปล่งประกายดั่งแสงไฟฉายกำลังแผ่ออกมาจากตัวเอลฟ์ตรงหน้าพวกเขา และเธอก็ไม่คิดจะปกปิดรังสีอำมหิตนั้นเลยแม้แต่น้อย
มันทำให้ไบรอนตื่นขึ้นจากความมึนงง แล้วควบคุมความอยากรู้อยากเห็นอันมากล้นเอาไว้ได้ หลังจากที่ชะงักงันไปชั่วขณะ เขาจึงพบว่าแผ่นหลังของตนชุ่มด้วยเหงื่อที่แตกพลั่ก
‘นี่ผมกำลังคิดอะไรอยู่น่ะ’
‘เมินคำเตือนของคุณโจเซฟไม่พอ ยังจะไปเถียงกับเขาอีก ดื้อด้านจะพุ่งไปสถานที่ระดับ S ที่หอพิธีกรรมต้องห้ามแต่งตั้งเอาไว้ลูกเดียวเฉย ขืนอยากรู้ต่อไปมีหวังโดนฆ่าแน่ ต่อให้มีหลายชีวิตก็เถอะ’
ยามนี้ไบรอนกำลังสับสนและประสบกับความหวาดกลัวที่คืบคลานเข้ามา เขากล้าสาบานเลยว่าตนไม่ได้อยากจะทำแบบนี้ตั้งแต่แรก
ต่อให้เขาเป็นแค่คนเดียวที่ได้รับมอบหมายงานมาจาก
สมาคมฯ แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้มีความสามารถในการต่อสู้มากขนาดนั้น แค่มีหน้าที่ต้องจดบันทึกไว้เท่านั้นเอง
ในเมื่อนี่เป็นการห้ำหั่นกันระหว่างระดับภัยพิบัติด้วยกัน คนที่ต้องนำการสืบสวนย่อมต้องเป็นระดับภัยพิบัติอยู่แล้ว อีกอย่าง โจเซฟ อดีตอัศวินแห่งแสงก็อยู่ตรงนี้
ไบรอนไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงไม่รอบคอบเอาซะเลย…
สายตาของเขาจดจ้องไปยังร้านหนังสือขนาดเล็กพลางค้อมหัว “ไม่ ๆ ไม่เลยครับ ผมต้องขอโทษจริง ๆ โปรดยกโทษให้ด้วย ผมแค่พยายามทำหน้าที่ของตัวเองโดยการสืบสวนเรื่องนี้เพื่อนำข้อมูลมาเขียนรายงาน เรื่องมันมีแค่นั้นจริง ๆ ผมเชื่อครับว่านายท่านผู้ใจบุญของคุณคงไม่สนผู้เสาะหาความรู้จนหน้ามืดตามัวอย่างผมหรอก”
เขาเข้าใจแล้วว่าเอลฟ์ตนนี้ก็เป็นหนึ่งในคนที่เข้าร่วมการต่อสู้
ในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ ขอแค่ทำความเข้าใจข้อมูลพื้น ๆ ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็พอ
ส่วนร้านหนังสือนั่นน่ะ…อันตรายเกินไป!
โดริสยิ้มตอบ “เช่นนั้นเจ้าจงปลาบปลื้มเสียเถิด”
เธอสาวเท้าไปตรงหน้าสองหนุ่มแล้วอธิบาย “ด้วยเหตุบางอย่าง พวกนักเวทมนตร์ดำนั่นจู่ ๆ ก็มาใช้มนตราระดับภัยพิบัติอย่าง ‘ลำแสงแห่งความตาย’ กับร้านหนังสือแห่งนี้และบริเวณโดยรอบ ข้าจึงเดินออกไปขัดขวางมันและฆ่าพวกเขาทิ้งเสีย เรื่องก็มีเท่านี้”
โจเซฟก้าวออกไปยืนบังไบรอนไว้ “เธอคิดว่าเหตุผลของพวกนั้นคืออะไร”
เขาได้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าของร้านหนังสือเอาไว้ในใจเรียบร้อย
ดูจากสถานการณ์นี้ พวกนักเวทมนตร์ดำแห่งลัทธิสีชาดกำลังไล่โจมตีสามเป้าหมายที่เป็นอุปสรรคตัวเป้งต่อพวกเขาอยู่ เรียกได้ว่าเป็นการโต้กลับระดับใหญ่เลยทีเดียว
การรบนี้เป็นแค่หนึ่งในสามก็เท่านั้น
ในเดือนก่อน การสืบสวนร่วมกันระหว่างหอพิธีกรรมต้องห้ามและสมาคมแห่งสัจธรรมได้ช่วยเผยที่ซ่อนอันหลากหลายของลัทธิสีชาดและหมาป่าขาวหลายแห่ง
ที่ซ่อนของพวกเขาลดลงเป็นจำนวนมาก ทว่าที่ซ่อนของกระจกมนตรากลับยังไม่ถูกเปิดเผย
สาเหตุหนึ่งก็มาจากการเคลื่อนไหวอันรอบคอบของพวกเขา ที่รีบถอนตัวผ่านประตูเคลื่อนย้ายทุกครั้งเมื่อปฏิบัติการสำเร็จและไม่เคยเอ้อระเหยเลย ต่อให้จับตัวมาได้ พวกนั้นก็ฆ่าตัวตายมันตรงนั้นตลอด
แม้ว่าลัทธิสีชาดจะไม่ใช่ลัทธิจริง ๆ แต่สไตล์การทำภารกิจก็ดูไม่ต่างจากพวกบ้าคลั่งระยะสุดท้ายสักเท่าไร
อีกมุมหนึ่งเป็นเพราะโลงศพบรรทมนิรันดร์กาลของ ‘สาธุคุณ’ มอร์เฟย์ที่คอยชุบชีวิตพวกเขาเรื่อย ๆ ด้วย
พวกหุ่นเชิดที่ถูกชุบขึ้นมามีจำนวนมาก และต่อให้อ่อนแอกว่าร่างดั้งเดิม แต่ก็ถือว่าเป็นอุปสรรคต่อการสืบสวนอยู่ดี
ทว่าอีกหนึ่งการโจมตีของพวกเขากลับพุ่งเป้าไปที่ ‘แมงมุม’ สาขาของเหล่านักล่าที่แตกออกมาจากหมาป่าขาวอีกที
เนื่องจากสูญเสีย ‘หนู’ หน่วยข่าวกรองของรูเอน รวมไปถึง ‘แมงมุม’ ซึ่งมีสมาชิกคุ้นเคยกับองค์กรหมาป่าขาว หมาป่าขาวจึงเสียหายอย่างหนักและเกือบจะล่มสลายไป ก่อนจะหันมาร่วมมือกับลัทธิสีชาดแทน
เป้าหมายสุดท้ายที่เหลืออยู่คือหอพิธีกรรมต้องห้ามและสมาคมแห่งสัจธรรมซึ่งมีเรื่องบาดหมางกันทุกวันอยู่แล้ว แค่ช่วงนี้มันดุดันขึ้นกว่าเดิม
คนมีสมองก็คงเดาได้ง่าย ๆ อยู่แล้วว่าเรื่องบ้าบอทั้งหมดนี่มาจากการฟูมฟักกระจกมนตราในระดับสุดท้าย
ทว่าปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นกับพวกระดับต่ำ แต่กลับเป็นถึงระดับสูงสุดอย่างคาดไม่ถึง
หัวหน้าสูงสุด ‘สาธุคุณ’ มอร์เฟย์ถูกสังหารอย่างที่ควรจะเป็นในการต่อสู้อันแสนเรียบง่ายและตรงไปตรงมา
ดูจากรูปการณ์แล้ว เจ้าของร้านหนังสือน่าจะสร้างเรื่องซึ่งส่งผลต่อลัทธิสีชาดโดยตรงจนถูกเพ่งเล็งเป็นแน่
และตอนนี้เขาก็ส่งลูกน้องมาเพื่อกำจัดหัวหน้าลัทธิสีชาดให้พ้น ๆ ไป
เจ้าของร้านหนังสือคนนี้เลือกจะยืนข้างพวกเราชัด ๆ! โจเซฟคิดเองสรุปเองในใจเสร็จสรรพ
รอยยิ้มงดงามของโดริสไม่ได้เลือนหายไปเลยแม้แต่น้อย เธอรู้ดีว่าอัศวินตรงหน้าตนกำลังพยายามปกป้องหนุ่มน้อยด้านหลังเขาอยู่
หญิงสาวเอียงคอพลางทำหน้าตึงไป “ข้าจะไปรู้รึ? มิใช่ว่าข้าควรถามเจ้าแทนหรอกหรือไร ข้ามาถึงนอร์ซินในฐานะตัวแทนกลุ่มไอริส มาพบตัวแทนของท่านหญิงซึ่งกำลังถูกนักเลงเหล่านั้นลอบโจมตี แล้วจะให้ข้านั่งเฉย ๆ ไม่ตอบโต้อะไรเลยรึ?
“อีกอย่าง ข้าเพิ่งช่วยพวกเจ้าหยุดนักเลงเหล่านั้น แทนที่จะซาบซึ้งน้ำใจ พวกเจ้ากลับพยายามสอบสวนข้าอย่างเอาแต่ได้เสียอย่างนั้น นี่หรือวิถีรับแขกของชาวนอร์ซิน?”
โจเซฟผ่อนแขนกลเขาลงพร้อมพยักหน้า “ไอ้ทางเราก็ยอมรับแหละว่ารับมือเหตุการณ์นี้ได้ไม่เหมาะสม ความจริงแล้วฉันนับถือเจ้าของร้านหนังสือคนนั้นมากและขอบคุณเขาอยู่เหมือนกัน เขาให้ฉันยืมหนังสือที่ช่วยแก้ปัญหาที่ติดค้างมานานสุด ๆ ถ้าไม่ติดว่าเจอเรื่องไม่สะดวกในวันนี้ ฉันก็คงไปเจอเขาแล้ว”
ไบรอนรีบแทรกขึ้นมา “ในเมื่อทุกอย่างกระจ่างแล้ว พวกเราขอกลับไปส่งรายงานเลยนะครับ สมาคมแห่งสัจธรรมขอกล่าวขอบคุณความร่วมมือที่คุณมอบให้กับนอร์ซิน”
เครื่องสื่อสารบนตัวเขาดังขึ้นแทบจะทันทีหลังเอ่ยจบ
ไบรอนยกขึ้นมา นัยน์ตาของเขาหรี่ลงเมื่อเห็นหน้าจอ เขารีบห่อหุ้มพลังอีเธอร์ใส่ลงไปเพื่อรับสายพร้อมกับสูดลมหายใจเข้า “ครับท่านรองหัวหน้า”
“เอ่อ ไบรอน ส่งเครื่องสื่อสารให้นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งกลุ่มไอริสซิ”
ไบรอนถือมันอย่างระมัดระวังพลางมองไปยังโดริสที่รับเครื่องสื่อสารไปด้วยความยินดี
เสียงจากปลายสายฟังดูชราทว่าหนักแน่น “โดริส ไม่ได้เจอกันตั้งสามร้อยปี สบายดีใช่ไหม”
“แอนดรูว์หรือ?”
—
นอร์ซินเขตกลาง ออฟฟิศสมาคมแห่งสัจธรรม
ตึกหินอ่อนสีขาวดีไซน์สุดพิถีพิถันและพื้นกระเบื้องมันเงาจนเหมือนเรืองแสงได้ ภายในนั้นกว้างขวางเต็มไปด้วยโซฟา ที่นั่ง โต๊ะกาแฟ กระดานขาว และโซนแลกเปลี่ยนความคิดซึ่งถูกขนาบด้วยลานกว้างตรงกลางตึก
ตึกสิบสามชั้นอันซับซ้อนนี้ดูจะเป็นการหลอมรวมระหว่างโรงเรียนและห้องสมุดขนาดใหญ่
โครงกระดูกของมังกรบรรพกาลถูกเก็บไว้ในตู้แก้วกลางลานกว้างตรงกลางตึก เป็นอนุสรณ์สถานให้ผู้ผ่านมาได้ตะลึงงัน
ตอนนี้ ออฟฟิศพร้อมด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูหราในชั้นบนสุดนั้นเป็นดั่งศูนย์กิจกรรมสำหรับผู้สูงวัย ชายชราสองคนกำลังนั่งหันหน้าเข้าหากัน โดยมีหมากรุกบนโต๊ะกาแฟคั่นกลาง
“ไม่ได้คิดเลยว่ากลุ่มไอริสจะโผล่มาอีก” หนึ่งในนั้นเอ่ยกลั้วหัวเราะพลางมองไปยังรองหัวหน้าสมาคมแห่งสัจธรรมนามแอนดรูว์ ซึ่งเดินออกไปติดต่อเครื่องสื่อสาร “คนรักเก่าจู่ ๆ ก็ดันโผล่มา แต่น่าเสียดายที่คนหนุ่มในตอนนั้นดันแก่หงำเหงือกซะแล้ว”
“ระวังปากหน่อย ไม่งั้นถูกตัดงบประมาณเล่นแร่แปรธาตุเอาไม่รู้ด้วยนะ” ชายแก่อีกคนแหย่พลางแค่นเสียงขณะที่เอื้อมมือไปเลื่อนหมากตัวหนึ่ง “งานล่าค่าหัวไวลด์มีคนมารับไปทำแล้ว เดี๋ยวเงินก็จะถูกจ่ายออกไปก้อนใหญ่ นายรอโปรเจ็กต์ซกมกนั่นของนายถูกพับเก็บไปได้เลย”