บทที่ 61 : ธุรกรรมไร้ต้นทุน
เมื่อหลินเจี๋ยหมุนตัวไปหยิบหนังสือ ใจของแอคเกอร์แมนก็หมุนวนอยู่กับความคิด
เมื่อกี้นี้เจ้าของร้านหนังสือบอกว่าจี้จือซู่ยืมหนังสือเขาและจะกลับมาคืนเร็ว ๆ นี้
จี้จือซู่เองก็ได้รับคำชี้แนะและพลังจากเจ้าของร้านหนังสือจนถีบตัวเองขึ้นมาอยู่เหนือหมาป่าขาวในความขัดแย้งภายในได้
เมื่อจับมาเชื่อมโยงกันก็จะเห็นชัดว่าเจ้าของร้านหนังสือได้มอบพลังและคำชี้แนะแก่จี้จือซู่ผ่านหนังสือ
แอคเกอร์แมนตัวสั่นระริกยามมองไปยังชั้นวางรอบตัวซึ่งอัดแน่นไปด้วยสันหนังสือ
‘หนังสือพวกนี้…เป็นหนังสือต้องห้ามหมดเลยงั้นเหรอ’
เป็นอีกครั้งที่เขาตระหนักได้ว่าตนเลินเล่อไม่แยแสมากแค่ไหน
สถานที่เก็บหนังสือใหญ่ขนาดนี้ย่อมต้องเต็มไปด้วยพลังเกินจินตนาการและน่ากลัวเป็นแน่
แอคเกอร์แมนได้ตรวจสอบร้านหนังสืออย่างระมัดระวังแล้ว แต่กลับไม่พบอะไรผิดแปลกไปเลยสักอย่าง ช่วงเวลาที่ผ่านมา เขานึกว่าที่นี่เป็นแค่ร้านหนังสือธรรมดามาโดยตลอด
สิ่งนี้สิ่งเดียวก็ชี้ชัดแล้วว่าเจ้าของร้านหนังสือมีฝีมือเหนือกว่าเขามาก
แอคเกอร์แมนสัมผัสสิ่งแปลกปลอมไม่ได้เลย ทว่าเจ้าของร้านหนังสือกลับควบคุมเขาได้ตั้งแต่ที่เขาก้าวเข้ามาในร้าน
แอคเกอร์แมนแอบเหลือบมองกุหลาบดอกนั้น
มันทำตัวไม่ต่างจากเด็กดื้อ เปิดตาขึ้นมาจ้องแอคเกอร์แมนอย่างดุร้ายตั้งแต่ที่เจ้าของร้านผละออกจากเก้าอี้ไป
‘ดอกไม้’ มองแอคเกอร์แมนราวกับกำลังประเมินเหยื่ออย่างไรชอบกล
สายตานั้นสามารถบรรยายออกมาได้เลยว่า ‘เย็นชา’ ราวกับมีลิ้นมาโลมเลียทั่วใบหน้าและร่างกายของแอคเกอร์แมน จนเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขยะแขยงขึ้นมา
โชคดีที่เจอเข้ากับเรื่องสยดสยองตอนที่เจอกันครั้งแรกไปแล้ว ตอนนี้เขาเลยไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรขนาดนั้นอีกต่อไป
เพราะอย่างไรเสีย มันดูจะสวาปามความปรารถนาของคน แต่ไม่ได้จะกลืนคนเข้าไปทั้งตัว
ในเวลาเช่นนี้ แอคเกอร์แมนรู้สึกโล่งใจที่เจ้าของร้านหนังสือดูจะอารมณ์ดีอยู่ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เลื่อน ‘เจ้าดอกไม้’ นั่นออกไปเป็นเชิงห้ามไม่ให้มันกัดกินความปรารถนาของแอคเกอร์แมนต่อ
ถ้าหาก ‘เจ้าดอกไม้’ กัดกินความปรารถนาในใจเขาจนหมดสิ้นแล้ว ผู้ไร้ซึ่งกิเลสใดจะยังเรียกว่าตนเป็นคนอยู่อีกหรือ
หากเกิดเรื่องแบบนั้น ไม่แคล้วแอคเกอร์แมนคงไร้ความปรารถนาจะกิน หายใจ หรือแม้แต่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป เขาจะกลายเป็นเปลือกนอกอันแสนกลวงเปล่า และต้องทนทุกข์กับโชคชะตาที่แย่กว่าความตายเสียอีก
แต่ตอนนี้เขาเลือกจะเดินตามเจ้าของร้านหนังสือคนนี้แล้ว แอคเกอร์แมนจึงหลีกเลี่ยงชะตาที่จะกลายเป็นสารอาหารของ ‘เจ้าดอกไม้’ นี้ได้สำเร็จ
แม้ว่าดอกกุหลาบดูจะตะกละตะกลามเช่นทุกที แต่ร่างกายของเขากลับไม่แข็งทื่อหรือรู้สึกถึงอันตรายอีกต่อไป ในตอนนี้แอคเกอร์แมนได้รับการยอมรับจากมันแล้ว
จังหวะที่เขาลอบถอนใจโล่งอก เจ้าของร้านหนังสือก็กลับมาพร้อมหนังสือที่เขาดันมาให้ผ่านเคาน์เตอร์
“หนังสือเล่มนี้เหมาะกับสถานการณ์ของคุณในตอนนี้มาก ผมเชื่อว่าหากอ่านหนังสือนี่แล้ว คุณจะเจอวิธีที่ทำให้ฝันของคุณเป็นจริงได้แน่ครับ ถึงตอนนั้นก็จะได้รับความเคารพรวมถึงสินน้ำใจที่คุณควรได้รับ และไม่ต้องถูกพวกเขาใช้อีกครับ”
ภายใต้แสงอันมืดสลัว รอยยิ้มของเจ้าของร้านและดอกกุหลาบอันแปลกประหลาดทว่าสวยงามนี้กลับสร้างบรรยากาศแสนลึกลับที่ไม่อาจพรรณนาออกมาได้
แอคเกอร์แมนรับหนังสือมาด้วยสองมือ ความยำเกรงและความตื่นเต้นผสมปนเปกันไปหมด
เขาก้มลงมองหน้าปกท่ามกลางแสงสลัวนี้
สังเวยต่อความว่างเปล่า
‘สังเวย…ต่อความว่างเปล่าเรอะ?’
แอคเกอร์แมนอดไม่ได้ที่จะอ่านทวนอีกครั้ง หลังจากนั้นแรงดลใจอะไรสักอย่างก็ครอบงำเขา ชายหนุ่มรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้มีเวทมนตร์แปลก ๆ บางอย่าง ขณะเดียวกันก็มีเสียงกระซิบพึมพำเบา ๆ แว่วซ้ำไปซ้ำมาในหู เขาควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป มือของเขาสั่นระริกยามที่เปิดหน้าปกออก
พรึ่บ…
หน้ากระดาษเหล่านั้นดูจะพลิกอย่างรวดเร็วด้วยตัวมันเอง
แอคเกอร์แมนตกอยู่ในภวังค์ เขาจ้องมองหนังสือในมือไม่ไหวติงแม้ใบหน้าจะค่อย ๆ ชาดิกก็ตาม ราวกับว่าเขากำลังจมจ่อมอยู่ในโลกจินตนาการบางอย่างไม่มีผิด
มันไม่ต่างกับมีประตูบานใหญ่เปิดออก เบื้องหลังประตูบานนั้นคือความมืดอนธการอันไร้ซึ่งเศษเสี้ยวแสงใด ทว่ามันกำลังยั่วยวนจิตใต้สำนึกให้คนออกไปสำรวจว่ามีอะไรอยู่ภายใต้ความมืดมิดนั้น…
จะเป็นความตายชั่วนิรันดร์หรือความว่างเปล่าอันร่วงโรยหรือไร
แผนการอันงดงามและน่าหวั่นเกรงนับไม่ถ้วนกะพริบไปมาชั่วพริบตา โหมกระหน่ำให้ชวนสับสนระหว่างจินตภาพและความเป็นจริง
จิตใจของแอคเกอร์แมนราวกับกำลังแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และเสียงคำรามของอสุรกายในตัวเขาจุกขึ้นมาในอก ทว่าตัวเขาเองกลับบอกไม่ได้ว่าตนกำลังอ่านหนังสือในร้านหนังสือ หรือว่ากำลังลอยละล่องท่ามกลางอนธการอันกว้างใหญ่นี้กันแน่
เป็นความรู้สึกอันแสนคุ้นเคย คืนวันผันผ่านไปหลายครา สัตว์อสูรกลายพันธุ์นำภาพหลอนลวงตานี้มาทรมานเขาตลอด
ทว่าครั้งนี้กลับต่างออกไป
แอคเกอร์แมนสัมผัสได้ชัดเจนว่ามีอะไรบางอย่าง ‘เจาะทะลุผ่านไป’ และมีอะไรบางอย่างเชื่อมกับตัวพร้อมกับความเจ็บปวดนั้น
จุดเชื่อมหนึ่งคือตัวเขา ส่วนปลายทางคือความว่างเปล่าไร้จุดจบ
ท่ามกลางจักรวาลอันไร้ขอบเขตและกว้างใหญ่ไพศาลนี้ เหล่าเทพเจ้าไร้นามต่างมีร่างอันมโหฬาร บิดเบี้ยวและกลายเป็นมวลอันยุ่งเหยิง ในความมืดมนนี้ สายตาโลภโมโทสันต่างมองลงมายังแอคเกอร์แมนทั้งสิ้น
ปึก!
หนังสือทั้งเล่มถูกเปิดออกจนหมดสิ้นในเวลาไม่นาน
แอคเกอร์แมนได้สติกลับมาและพบว่าภาพหลอนเหล่านั้นหายไปหมดแล้ว
เขาสัมผัสว่าตนเพิ่งจะเห็นความรู้ต้องห้ามมากมาย ทว่าในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกเหมือนเพิ่งเห็นหน้าหนังสือที่ว่างเปล่ามา
มีเพียงตัวเชื่อมซึ่งเชื่อมต่อกับความว่างเปล่าเท่านั้นที่แจ่มชัดในความทรงจำ
“ทางเลือกใหม่…”
ร่างกายของแอคเกอร์แมนสั่นระริกพลางพึมพำกับตัวเอง
หลินเจี๋ยพยักหน้า “ใช่แล้วครับ หากคุณเลือกเส้นทางนี้แน่ ๆ แล้วละก็ การไขว่คว้าทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามาก็ถือว่าเป็นความสามารถที่จำเป็นเหมือนกันนะครับ ใครมันจะไม่อยากทำธุรกรรมไร้ต้นทุนกันบ้างล่ะจริงไหม”
“สิ่งเหล่านี้คือของขวัญจากคนที่ถึงจุดปลายทางได้สำเร็จทั้งนั้นเลยครับ คว้ามันให้ดี แล้วทุกอย่างจะง่ายขึ้นเยอะ”
แอคเกอร์แมนหลุบตาลง สัมผัสได้ถึงเส้นเชื่อมต่อกับความว่างเปล่าซึ่งตอนนี้มันเปิดอยู่ตลอดเวลา แล้วจึงเข้าใจขึ้นมา
เขารับรู้แล้วว่าตนกำลังถูกตัวตนจำนวนหนึ่งจ้องมองอยู่
ตราบใดที่เขาใช้เส้นเชื่อมต่อนี้และมอบเครื่องเซ่นอันเหมาะสมแก่สิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ เขาก็จะได้รับสิ่งที่เขาต้องการ แต่แน่นอนว่ามันขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเหล่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วย
นี่เรียกว่าการไขว่คว้าทุกโอกาสจริง ๆ แถมยัง…เป็นธุรกรรมไร้ต้นทุนอันมหึมาอีกต่างหาก
หลินเจี๋ยว่าต่ออย่างตรงไปตรงมา “แต่แค่คว้าโอกาสอย่างเดียว ประสบความสำเร็จไม่ได้หรอกครับ เส้นทางนี้ยาวไกลมาก คุณต้องแข็งแกร่งกว่านี้อีกไม่ว่าจะในแง่จิตวิญญาณหรือแง่อื่น คุณในตอนนี้ไปไม่ถึงหรอก…ผมหวังว่าคุณจะได้ในสิ่งที่ต้องการตอนเราพบกันอีกครั้งนะครับ”
แอคเกอร์แมนพยายามอย่างยิ่งที่จะคุมร่างกายตัวเองไม่ให้สั่น “ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะครับ ผมรู้แล้วว่าผมต้องทำอะไร”
เขาไม่มีคำใดจะบรรยายถึงความแข็งแกร่งของเจ้าของร้านหนังสือคนนี้อีกแล้ว
ในที่สุดเขาก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของอีเธอร์ของเหล่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในความว่างเปล่านั้นเสียที
‘ไม่ต้องสงสัยเลย…ระดับเหนือนภาแน่ ๆ’
สิ่งมีชีวิตระดับนี้แค่ตนเดียวก็ก่อให้เกิดวินาศสันตะโรได้ง่าย ๆ แล้ว
ทว่าเจ้าของร้านคนนี้กลับมีทัศนคติอันเฉื่อยชา และเรียกพวกเขาว่า ‘คนที่ถึงจุดปลายทาง’ เพียงเท่านั้น
แอคเกอร์แมนเชื่อว่าตนโชคดีมากที่ถูกเลือกเป็นหมากบนกระดานแบบนี้ หนทางข้างหน้าจะต้องน่าสนใจมากกว่านี้แน่นอน
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของลูกค้าเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นตอนเดินออกไป หลังทำสมุดรายชื่อเสร็จ หลินเจี๋ยก็พยักหน้าหงึกหงัก สีหน้าเปื้อนยิ้มแปะอยู่เต็มใบหน้า
เป็นอีกครั้งแล้วที่คำสอนของอาจารย์หลินได้ช่วยเหลือวิญญาณหลงทางให้ปลอดภัย
นี่สิความดีงามที่ชีวิตควรจะมี!