บทที่ 64 : ใบคำร้องขอโอนย้าย
โจเซฟกำลังเดินบนทางเดินวงแหวนข้างบนตึกหอพิธีกรรมต้องห้าม ผู้คนมากมายต่างเดินสวนไปมาและโค้งคำนับพร้อมกับคำว่า “อรุณสวัสดิ์ครับ ท่านอัศวิน” ทุกครั้งที่ผ่านเขาไป
ข้างกายโจเซฟคือคล็อดที่กำลังเปิดไฟล์อยู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “อาจารย์ครับ การติดตามและผลสรุปการเคลื่อนไหวของหมาป่าขาวถูกจำกัดลงจนเหลือแค่ตรงนี้แล้วครับ”
โจเซฟพ่นลมหายใจ “ฮึ่ม”
คล็อดรายงานต่อ “นักล่าพวกนี้เข้าใจโครงสร้างของนอร์ซินมากกว่าพวกเรานัก เหมือนกับพวกหนูซ่อนเร้นไปตามกำแพงที่ชอบส่งเสียงจิ๊ด ๆ ออกมาก็ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ไม่มีผิดเลยครับ”
“ทุกทีที่ไล่ตามพวกนักล่าไป พวกเขาก็มักจะหายตัวไปอยู่เรื่อย จนพวกเราทำได้แค่เก็บกวาด แต่ขั้นตอนพวกนี้มันใช้เวลานานเกินไป เราเลยอนุมานจากร่องรอยเอาเพื่อจำกัดพื้นที่ให้แคบลงมาว่าพวกเขาจะไปที่ไหนต่อน่ะครับ”
โจเซฟหรี่ตาลงแล้วตอบ “ไอ้เมืองนี้มันถูกสร้างมานานเกินไปจนแผนที่ของจริงฝังอยู่แต่ในหัวพวกคนแก่น่ะซี่ การเอาแผนที่ฉบับสมบูรณ์มาน่ะเป็นไปไม่ได้เห็น ๆ คนในหมาป่าขาวไม่มีใครทำได้หรอก ฉันเชื่อว่ามีคนช่วยมันว่ะ”
คล็อดรีบบันทึกลงไปทันที และขณะที่เขาพลิกหน้ากระดาษก็พูดเสริมไปด้วย “ไม่กี่วันมานี้ พวกเราบุกเข้าไปในสามแหล่งสุมหัวใหญ่ ๆ และจับนักล่าหมาป่าขาวมาได้ประมาณยี่สิบคนครับ ตอนนี้กำลังสอบสวนพวกเขาอยู่”
“แต่พวกเขาปากหนักกันมาก เราพยายามใช้เวทเกี่ยวกับจิตใจแล้ว แต่สภาพจิตใจพื้นฐานของนักล่าพวกนี้ถือว่า…เปราะบางเป็นพิเศษครับ อาจมาจากการฉีดเลือดอสูรเกือบถึงเกณฑ์ที่กำหนดก็ได้ เพราะแบบนั้นพวกเขาเลยจะเป็นบ้าไปทันทีที่ถูกยั่วโมโห”
“เป็นวิธีเลี่ยงคำถามที่ใกล้เคียงต้นตำรับดีนี่ เป็นบ้าไปก็ไม่ต้องกลัวว่าจะพ่นข้อมูลออกมาแล้วไงเล่า แบบนี้นะฉันว่าแหกกะโหลกพวกมันออกมาดูคงเจอแต่ก้อนเนื้อบดแหง” โจเซฟฮึดฮัดอย่างประชดประชัน
“พวกหมาป่าขาวคงรู้ตัวดีครับว่าไม่มีทางออก ก็เลยยิ่งบ้าคลั่งไร้เหตุผลกันเข้าไปอีก ไม่ใช่แค่จำกัดการเข้าถึงทรัพยากรของตัวเองอย่างเดียว พวกเขายังไล่ทำลายล้างกับฆ่าคนไปทั่วเพื่อสร้างความหวาดกลัวแก่ประชาชนครับ” คล็อดพูดเสริม “แถมช่วงนี้แผนกโลจิสติกส์ก็ยุ่งกว่าเดิมด้วยครับ”
เมื่อเดินใกล้ถึงออฟฟิศของเขา โจเซฟก็ถามขึ้นมา “มีแพตเทิร์นการฆ่าหรือทำลายล้างไหม อัตลักษณ์พิเศษของกระจกมนตราคือการยั่วยวนจิตปรารถนานี่ ความหิวกระหายต่อกระจกมนตรานั่นป่านนี้คงสำคัญกว่าความต้องการของตัวเองแล้วมั้ง และเวลาแบบนี้ความเป็นไปได้ที่พวกมันจะก่อเรื่องแล้วเผ่นคงไม่สูงนักหรอก”
“ปัจจุบันนี้พวกเขาไม่ใช่แค่ไล่ฆ่าอย่างป่าเถื่อนอย่างเดียวหรอกครับ แต่กระชากเอาชิ้นส่วนจากซากศพไปด้วย คิดว่าอาจจะอยากเลียนแบบพิธีกรรมของมอร์เฟย์ก็ได้ แต่หลังจากพวกเราเอามาเทียบกันแล้ว ก็ยังไม่เห็นลานสังเวยที่ตรงตามเงื่อนไขเลย แต่ว่า…ผมมีคำถามครับ”
คล็อดขมวดคิ้วแล้วยิงคำถามไปตรง ๆ “สมาคมแห่งสัจธรรมไม่มีความสามารถพอจะมองโครงสร้างนอร์ซินอย่างทะลุปรุโปร่งจริง ๆ เหรอครับ ถ้าเป็นแบบนั้น ขอแค่ส่วนเดียวก็ทำให้งานพวกเราง่ายขึ้นแล้วนะครับ”
โจเซฟจ้องตรงไปยังนักเรียนของตน ก่อนจะฉีกยิ้ม “เส้นทางลับและจุดซ่อนส่วนหนึ่งน่ะ สมาคมแห่งสัจธรรมเป็นคนสร้างนะ แกคิดว่าพวกมันจะให้แผนที่มาทั้งก้อนเลยเรอะ”
“ไม่ต้องเอามาทั้งหมดก็ได้นี่ครับ แค่ส่วนเดียวก็พอแล้ว”
“แค่ส่วนเดียว!” โจเซฟชูนิ้วขึ้นมานิ้วนึง “คิดว่านั่นมากพอให้พวกฝ่ายวิเคราะห์สถาปัตยกรรมไปชี้ทางได้ว่าทางลับที่เหลืออยู่ไหนบ้างงั้นเรอะ เจ้าคล็อดศิษย์รักเอ๊ย จะโง่ก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ฉันเชื่อว่าถ้าชกสมองแกแตกเป็นเสี่ยง ๆ คงเจอแค่ก้อนฟองน้ำเล็กกระจิริดว่ะ”
“…ครับ”
แม้ว่าเขาจะได้รับคำปรามาสจากอาจารย์ของตน ทว่าคล็อดก็ได้แต่เกาหัวพลางถอนหายใจอย่างหมดหนทาง เขาชินกับท่าทางแบบนี้ของโจเซฟมานานแล้ว
“คิดซะว่าเป็นการฝึกกำลังกายละกัน พวกหมาป่าขาวนั่นทนนานกว่านี้ไม่ไหวหรอก” โจเซฟตบบ่าคล็อดแปะ ๆ แล้วพึมพำ “ถ้าให้ไปถามพวกปากว่าตาขยิบอย่างสมาคมแห่งสัจธรรมละก็ พวกนั้นคงตอกกลับมาแหงว่าการรวบรวมข่าว สรุปเบาะแส และการติดตามความเคลื่อนไหวเป็นหน้าที่ของแผนกข่าวกรองของหอคอยพิธีกรรมต้องห้ามไม่ใช่รึไง ถ้าแค่นี้ยังทำไม่ได้ก็ล้มแผนกข่าวกรองและขนส่งไปเลยดีกว่า”
“การเยาะเย้ยจากคนภายนอกน่ะน่ากำหมัดกว่าที่ฉันพูดกับแกเยอะ”
“แต่มองอีกมุม ถ้าพวกเรารู้จนได้ว่าทางลับกับที่ซ่อนของพวกสมาคมฯ นั่นอยู่ที่ไหนบ้าง ปีหน้างบประมาณพวกเราก็ไม่ขาดเหลือแล้ว”
“สมาคมแห่งสัจธรรมน่ะรวยกันจะตาย เงินที่พวกมันจะใช้ปิดปากพวกเราน่ะไม่น้อยร้อก” โจเซฟเอ่ยพลางพินิจมองลูกศิษย์ตัวเอง
‘ดูท่าแผนขู่กรรโชกใหม่จะมาแล้วล่ะสิ…’
คล็อดอ้าปากเงิบไปชั่วขณะ เขาหุบปากลงแล้วพยักหน้า ก่อนนึกขึ้นได้ว่าต้องพูดว่า “รับทราบครับ” ออกมาด้วย
โจเซฟชักมือกลับแล้วเดินทอดน่องไปออฟฟิศต่อ ขณะที่เปิดประตูเขาก็ถามขึ้น “แล้วพวกลัทธิสีชาดล่ะ”
คล็อดสำลักแบบไม่สบายตัวนัก ก่อนกระแอมไอ “หลังพวกเขาเสียมอร์เฟย์ไป ลัทธิสีชาดก็ไม่เป็นระเบียบและไม่เป็นปึกแผ่นเลยครับ สมาชิกส่วนใหญ่ก็ดันเป็นซากศพเดินได้ที่มอร์เฟย์ควบคุมไว้อีก ตอนนี้มอร์เฟย์ตายแล้ว พวกเขาเลยสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนที่ ส่วนนักเวทมนตร์ดำของลัทธิสีชาดที่เหลือ ถ้าไม่หนีก็ไปหลบกับพวกหมาป่าขาวกันครับ”
“เอาเป็นว่า ลัทธิสีชาดไม่มีตัวตนอีกต่อไปแล้วครับ”
“น่ากลัวจริง ๆ นะผมว่า เอลฟ์นักปราชญ์ระดับภัยพิบัติตนนั้นถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงพลังได้เลยครับ” เขาคร่ำครวญ “ดูจากที่เกิดเหตุ มอร์เฟย์โดนขยี้จนไม่เหลือเลย”
แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวกว่านั้นคือเจ้าของร้านหนังสือระดับ S ที่แม้แต่นักปราชญ์แห่งกลุ่มไอริสยังยอมรับเป็นนาย
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นรู้กันแค่สมาชิกหน่วยข่าวกรองไม่กี่คน และอัศวินยศสูงอีกไม่กี่คนในหอพิธีกรรมต้องห้ามเท่านั้น
ทว่าการคาดเดาและการถกเถียงที่มีต่อเจ้าของร้านหนังสือต่างไปในทิศทางเดียวกันหมด คือน่าหวั่นเกรงและชวนหวาดกลัว
“ครั้งนี้พวกเราต้องขอบคุณคุณหลินจริง ๆ นั่นละครับ ไม่อย่างนั้นกว่าจะรู้ว่ามีนักเวทมนตร์ดำระดับภัยพิบัติที่พลังทำลายล้างสูงกว่าไวลด์แอบอยู่ในนอร์ซิน ถึงตอนนั้นมอร์เฟย์คงสร้างความเสียหายไปเยอะแล้วแน่ ๆ”
“สมาคมแห่งสัจธรรมก็แค่ศูนย์รวมพวกกากละวะ” โจเซฟถอนหายใจพลางวางเอกสารที่คล็อดส่งมาไว้บนโต๊ะ “ไปทำงานต่อไป เดี๋ยวฉันดูต่อเอง”
คล็อดตั้งใจมาส่งเอกสารให้แต่แรก จึงพยักหน้าแล้วออกไปจากออฟฟิศ
ติ๊ง
คอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานพลันแจ้งเตือนขึ้นมา
โจเซฟคลิกเข้าไปดูและพบว่ามันคืออีเมล
[ คุณโจเซฟที่เคารพ ผู้อาวุโสได้ตอบกลับคำร้องของคุณแล้ว โปรดดูด้วยครับ
อัศวินอับราฮัม โจเซฟ ใบคำร้องขอโอนย้ายเจ้าของดาบปีศาจแคนเดลาได้รับการปฏิเสธ หลังจากผ่านการพิจารณาอย่างถ้วนถี่ ทว่าความเห็นของคุณสำคัญต่อมุมมองของผู้อาวุโสในการประเมินโซนระดับ S 0113 เป็นอย่างมาก ดังนั้นผู้อาวุโสจึงส่งพนักงานไปตรวจสอบแล้ว
หากการประเมินขั้นสุดท้ายตรงกับความเห็นของคุณ ใบคำร้องของคุณจะได้รับการพิจารณาใหม่อีกครั้ง]