บทที่ 70 : ถ้าขอชักดาบเพื่อเห็นมันชัดขึ้นหน่อยจะว่าอะไรไหม
ท่ามกลางบรรยากาศมืดมน ดาบอันหรูหราเล่มนี้ดูราวกับติดฟิลเตอร์เปล่งแสงก็มิปาน
ต่อให้ถอดเรื่องคุณค่าของด้ามจับทองคำและอัญมณีออกไป แต่แค่การประดับประดาของมันและภาพรวมก็เพียงพอที่จะทำให้คนทั่วไปรู้สึกตื่นตากับงานฝีมือสุดประณีตนี้แล้ว
ทุกองศามุมโค้งนั้นงดงามพอดี แม้แต่ฝักดาบยังถูกสลักไว้ด้วยลวดลายอันซับซ้อน ตรงกลางของโกร่งดาบถูกฝังไว้ด้วยอัญมณีสีดำไม่ผิดแน่
เมื่อมองภาพรวม โมเดลดาบนี้ก็ไม่ได้ดูอลังการอะไรขนาดนั้น
ดู ๆ แล้ว ดาบเล่มนี้อาจยาวประมาณ 1.3 เมตร น่าจะเป็นดาบสองมือได้ด้วย โกร่งดาบรูปกากบาทเองก็ไม่ได้ดูอลังการขนาดนั้น แถมมองแล้วถือว่าเหมาะสมกับดาบความยาวประมาณนี้ด้วยซ้ำ
แค่การประดับประดาดูเวอร์วังไปหน่อยเท่านั้นเอง
แม้ว่าหลินเจี๋ยจะไม่ได้เป็นมืออาชีพในด้านตีราคาวัตถุ แต่เขาก็บอกได้ว่าคุณค่าของดาบเล่มนี้ไม่มีทางธรรมดาเมื่อมองจากฝีมือผู้หลอม ต่อให้วัสดุการตกแต่งเป็นทองเก๊และอัญมณีปลอมก็ตาม
‘ในสถานการณ์ปกติแบบนี้ คงไม่มีใครเอาดาบมาสู้กันหรอกใช่ไหม’
‘ถ้ามันเผลอเคาะโดนอะไรขึ้นมา…’
มุมปากหลินเจี๋ยกระตุกกึก ๆ พลางพินิจดูดาบยาวเปล่งประกายบนเคาน์เตอร์
‘เดี๋ยวก่อนเซ่…ฉันบอกให้นายเชื่อใจแล้วเอาภาระกับความกังวลมาไว้ที่ฉันก็จริง แต่เอาดาบล้ำค่ามาให้งี้คือคิดอะไรอยู่มิทราบ?’
‘นี่คือการตัดสินใจนายเรอะ’
‘ตัดสินใจบ้านไหนครับเนี่ย’
หลินเจี๋ยเลื่อนสายตาไปสังเกตท่าทีของโจเซฟ สายตาของชายแก่เปี่ยมไปด้วยเจตจำนงและความโล่งใจ
สีหน้าวิตกปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของหลินเจี๋ย
นี่ดูจะไม่ใช่มุกตลก และถ้ามองจากการสนทนาครั้งที่แล้ว โจเซฟไม่ใช่ประเภทที่จะเล่นมุกไปทั่วเสียด้วย
การมอบดาบนี้ให้อาจเป็นคำตอบของโจเซฟจากคำแนะนำของหลินเจี๋ยเมื่อครั้งก่อนก็ได้
และดูจากระดับความวิจิตรตระการตาของมัน หลินเจี๋ยจึงแยกแยะได้ว่าดาบนี้เป็นอาวุธที่ไม่ค่อยได้ใช้จริง
ดูเป็นอะไรคล้าย ๆ กับดาบพระราชพิธีมากกว่า
‘งั้นแสดงว่าบางที ดาบนี่จะหมายถึงประสบการณ์ ความรับผิดชอบ และเกียรติยศของโจเซฟในช่วงประจำการอยู่สินะ’
หลินเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเมลิสซ่า เด็กคนนั้นเป็นเด็กโข่งโดยกำเนิดก็จริง แต่เมื่อมองจากภายนอกเพียงอย่างเดียว หลินเจี๋ยก็บอกได้เลยว่าเธอมีการเลี้ยงดูซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมาจากสภาพแวดล้อมของครอบครัวธรรมดา อีกทั้งโจเซฟเองก็ตั้งความหวังต่อเมลิสซ่าไว้สูงมาก
ด้วยเหตุนี้ หลินเจี๋ยจึงรู้สึกว่าโจเซฟอาจมาจากตระกูลทหารขุนนางที่มียศถาบรรดาศักดิ์ก็เป็นได้
ทหารผ่านศึกธรรมดาอาจไม่หมกมุ่นกับอะไรแบบนี้ แต่ถ้าเกิดจากคำสอนของตระกูลตั้งแต่เด็กก็ถือว่าเข้าเค้า
แม้ว่าหลินเจี๋ยจะรู้ว่าขุนนางที่อยู่ในเขตตอนกลางของนอร์ซินจะมีแค่ชื่อ แต่สถานะทางสังคมก็ยังถือว่าสูงศักดิ์กว่าคนทั่วไปนัก
ประวัติศาสตร์และเกียรติยศในกาลก่อนเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้
ตอนนี้ โจเซฟทำท่าจะมอบดาบเล่มนี้แก่หลินเจี๋ย นี่แปลว่าเขาจะยอมแพ้แล้วหรือ
หลินเจี๋ยกระแอมก่อนเอ่ยถามด้วยความระมัดระวังและความเคารพ “แน่ใจแล้วหรือครับว่าการตัดสินใจของคุณคือการมอบดาบเล่มนี้ให้ผม?
“ดาบเล่มนี้ถูกส่งต่อมาให้คุณนี่ครับ ลองเก็บกลับไปคิดอีกทีไหม”
“แน่ใจแล้ว” โจเซฟพยักหน้า
เขาจ้องมองดาบตรงหน้าแล้วพูดต่อ “คุณพูดถูก ร่างกายผมยังคงทน แต่วิญญาณผมเหนื่อยล้าเหลือเกิน แม้จะส่งต่อมาให้ผม ผมก็ไม่มีสิทธิจะครอบครองมันอีกแล้ว มันถึงเวลาที่ผมต้องรู้จักการยอมแพ้สักที ดาบเล่มนี้มันหนักเกินไปสำหรับผม และอาจจะไม่มีใครในพวกเราสืบทอดมันได้อีก”
“พวกเราต้องขอขอบคุณจริง ๆ ที่ยอมเอามันไป”
คำสาปของดาบปีศาจนั้นเต็มไปด้วยความแค้นเคืองของราชอาณาจักรเอลฟ์ที่ล่มสลายจนแม้แต่ระดับเหนือนภายังจนปัญญา
พวกเขาพยายามหยุดยั้งมันมาอย่างยาวนาน แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยความล้มเหลวเสมอ
ทว่าพวกเขายังไม่ยอมแพ้เพราะความศรัทธาและความเชื่อของหอพิธีกรรมต้องห้าม เพิ่งจะมารู้ความจริงก็ตอนนี้ว่า เบื้องบนเองก็ยอมรับความล้มเหลวและเห็นด้วยกับคำร้องของโจเซฟในการส่งต่อดาบเล่มนี้ไป
หลินเจี๋ยถอนหายใจ ดูท่าจะมีตระกูลล่มสลายไปอีกแล้วสินะ…
อีกอย่าง พวกเขาดูจะเจอหนทางใหม่แล้ว จึงตัดสินใจมอบดาบเล่มนี้ให้แก่เขา
ทว่านี่เองก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง และเผลอ ๆ จะสมจริงกว่าเรื่องราวของตระกูลโดริส ในแง่ที่เป้าหมายของทั้งตระกูลเลือนหายเสียอีก
อย่างไรเสีย ในอาซีร์นี้ก็ไม่มีสงครามอีกต่อไปแล้ว แม้แต่ครอบครัวขุนนางก็ยังเสื่อมโทรมลง นับประสาอะไรกับตระกูลขุนนางทหารที่โจเซฟจากมากัน
เส้นทางใหม่ที่ต้องเพิ่มเข้ามาคือพวกเขายังต้องการคงอยู่หรือไม่ต่างหาก
แต่โจเซฟยังสุภาพขนาดนี้แม้แต่ตอนให้ของขวัญหลินเจี๋ย นี่เล่นเอาเจ้าของร้านซึ่งได้กำไรจากพ่อลูกคู่นี้รู้สึก…ละอายหน่อย ๆ
หลินเจี๋ยยิ้มและเอื้อมมือไปหยิบดาบเพื่อดูใกล้ ๆ “นี่ ไม่ต้องสุภาพอะไรขนาดนั้นหรอกครับ การช่วยเหลือลูกค้าน่ะเป็นสิ่งที่ผมยินดีทำอยู่แล้ว ผมแค่ปลื้มใจมากที่ช่วยพวกคุณได้ก็เท่านั้นเอง”
‘อืม…เบากว่าที่คิดอีกนะเนี่ย’
‘ดาบราชพิธีจริงด้วย’
หลินเจี๋ยพยักหน้าอยู่หลายครั้งพลางเพ่งมองดาบตั้งแต่ต้นจรดปลาย ยิ่งมองมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกประทับใจกับรายละเอียดในตัวดาบมากเท่านั้น
คิ้วของโจเซฟกระตุกขึ้นเมื่อเห็นเจ้าของร้านหนังสือยกด้ามดาบปีศาจแคนเดลาขึ้นมาด้วยมือเดียว และใช้มืออีกข้างลูบไปตามตัวดาบ ขนาดโจเซฟยังรู้สึกถูกกินแรงกับแค่การยกดาบเล่มนี้ขึ้นมาเลย…
แม้ว่ามันจะมีความยาวเฉกเช่นดาบยาวทั่วไป แต่วัตถุดิบในการสร้างมาจากแดนนิมิตทั้งสิ้น มันหนักเสียจนแม้แต่ระดับภัยพิบัติอย่างโจเซฟ ยังต้องใช้เรี่ยวแรงมหาศาลในการถือมันด้วยมือข้างเดียวหากเขาไม่ใช้พลังอีเธอร์ช่วยเลย
จนถึงตอนนี้ เขายังสัมผัสถึงความผันผวนของอีเธอร์จากตัวเจ้าของร้านหนังสือไม่ได้เลยสักนิด
โจเซฟยังคงเห็นพลังงานอันชั่วร้ายพลุ่งพล่านภายใน ‘ตาปีศาจ’ ของดาบเล่มนั้น เป็นความมืดอันผันผวนที่จะกลืนกินทุกอย่างที่มาแตะตัวมัน
“มันงดงามมากจริง ๆ นะครับ!” หลินเจี๋ยเอ่ยชมไม่หยุดปาก
ไม่ว่าจะร้อนหรือเย็น อาวุธย่อมเป็นสิ่งปลุกเร้าการต่อสู้ในสายเลือดลูกผู้ชายได้เสมอ
ลึก ๆ แล้วเขาชอบดาบอันวิจิตรเล่มนี้จนอดไม่ได้ที่จะถาม “ถ้าผมขอชักดาบเพื่อเห็นมันให้ชัดขึ้นสักหน่อยจะได้ไหมครับ”
หัวใจของโจเซฟเต้นไม่เป็นส่ำ คำสาปของดาบปีศาจส่วนใหญ่อยู่ที่คมดาบเสียด้วย
เพราะราชาเอลฟ์แคนเดลาผู้เสียสติ ได้ปลิดชีพตนด้วยดาบเล่มนี้นั่นเอง
ดาบเล่มนี้เป็นดั่งลิ่มซึ่งตอกดวงวิญญาณของแคนเดลาลงไปในคมดาบชั่วกัลปาวสาน
อีกทั้งเดิมที ดาบเล่มนี้ไม่มีฝักด้วยซ้ำ
ฝักในตอนนี้ถูกหอพิธีกรรมต้องห้ามสร้างขึ้นมาทีหลัง และมันมีผลในการตรึงคำสาปเอาไว้ แต่เมื่อดาบถูกชักออกมา คำสาปจะเริ่มแพร่ไปยังผู้ถือครองก่อน และหากเจตจำนงของคนคนนั้นไม่มั่นคงพอ อาจเป็นบ้าไปตรงนั้นเลยก็ได้
ขนาดอัศวินแห่งแสงผู้ยิ่งใหญ่ยังต้องสวมชุดครบครันก่อนจะได้รับอนุญาตให้แตะดาบปีศาจ
ทว่า…
คนตรงหน้าโจเซฟนี้เป็นเจ้าของร้านหนังสือนี่นา
โจเซฟพยักหน้า “ได้แน่นอน…โปรดระวังด้วยครับ”
หลินเจี๋ยพยักหน้า การเผลอทำดาบบาดตัวเองคงแย่น่าดู เขาต้องระมัดระวังให้มากจริง ๆ
เขาจึงค่อย ๆ ชักดาบยาวออกมาจากฝัก
ชิ้ง…
แสงสีขาวระเบิดและส่องแสงจ้าไปทั่วร้านหนังสือฉับพลัน
คมดาบยาวใสดั่งกระจกนี้บางเฉียบทว่าแหลมคมนัก มันส่องแสงเป็นประกายเงาวับและมีรอยสลักของภาษาลึกลับฝังอยู่
ทว่าโจเซฟเห็นพลังงานปีศาจสีดำไหลออกมาจากส่วนปลายดาบราวกับยาพิษก็มิปาน