บทที่ 72: ยามดาราหวนคืน
‘โอ๊ะ?’ หลินเจี๋ยแอบประหลาดใจ ดูเหมือนว่าคำพูดของเขาในช่วงที่โจเซฟแวะมาสองครั้งนั้นจะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและพึ่งพาได้ระดับหนึ่ง
แทนที่เขาจะเลือกหนังสือเอง โจเซฟกลับเชื่อใจหลินเจี๋ยจนขอให้เขาแนะนำสักเล่มให้แทน
‘ท่าทางจะได้ขาประจำแบบเฒ่าไวลด์คนถัดไปเร็ว ๆ นี้แล้วสิ…เป็นความก้าวหน้าที่น่ายินดีจริง ๆ’
“ได้เช่นกันครับ”
หลินเจี๋ยลุกขึ้นและเดินไปยังชั้นวางหนังสือด้านหลังเขา หลังพึมพำกับตัวเองครู่หนึ่ง เขาก็หยิบหนังสือออกมา “ถ้าอย่างนั้น ผมว่าเล่มนี้น่าจะช่วยคุณในตอนนี้ได้นะครับ”
โจเซฟเอื้อมมือไปรับหนังสือ และได้เห็นชื่อปกอันโดดเด่น ยามดาราหวนคืน
‘ยามดารา…หวนคืน?’
หัวใจของโจเซฟสั่นระรัว แขนของเขาเกร็งขึ้นมา เสียงเอี๊ยดอ๊าดจากแขนเทียมจักรกลดังลั่น
โจเซฟเป็นคนประเภทควบคุมความสามารถของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมและไม่เคยคุมแขนเทียมนี้ไม่ได้มาก่อนเลยสักครั้ง นี่จึงแสดงให้เห็นว่าเขาได้รับผลกระทบทางจิตใจมากแค่ไหน แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมาจากความสยองอันไร้คำบรรยายหลังจากเห็นว่ามีอะไรโผล่ออกมาจากชั้นหนังสือนั่น
สำหรับโจเซฟ ‘ศึกระหว่างสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์’ ที่รู้ผลเพียงในเสี้ยววินาทีไม่ต่างกับดอกไม้ไฟยามค่ำคืนที่สลักประกายแสงอันยากจะลืมเลือนลงไปในจิตใจของเขา
พลังอันยากหยั่งถึงซึ่งไร้วิธีรับมือ แต่นั่นกลับเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น…
โจเซฟคิดในใจว่าหากพระเจ้ามีจริงก็คงเป็นแบบนั้น
ในขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจากตำนานใด สวรรค์มักจะหมายถึงของต้องห้ามอย่างแท้จริง
สิ่งที่อยู่ลึกเข้าไปในผืนนภาอันกว้างไกลคือความมืดอนธการที่ทำให้ใจคนสั่นระรัวเพราะไม่มีใครรู้ว่าอะไรอยู่ไกลสุดขอบฟ้านั้น
และยามนี้ ‘พระเจ้า’ ได้สร้างหนังสือเกี่ยวกับ ‘สวรรค์’ เสียแล้ว
ต่อให้โจเซฟไม่กล้าพอจะคิดถึงมันอีก เขาก็หยุดตัวเองไม่ได้ที่จะพลิกหน้าปกดูด้วยนิ้วสั่นระริก ๆ
เจ้าของร้านหนังสือหลังเคาน์เตอร์เอ่ยออกมา “ชีวประวัติพวกนี้…เอ่อ มันอาจจะเข้าใจยากไปหน่อยสำหรับคุณนะครับ แต่คิดซะว่าเป็นนวนิยายเกี่ยวกับบันทึกอารยธรรมสูญหายสักเล่มก็แล้วกัน”
‘หมายถึงโลกอีกใบเรอะ!?’
‘นี่เขาหมายถึงโลกเบื้องหลังสวรรค์นั่น? นี่คืออารยธรรมที่มีจริงเบื้องหลังสวรรค์พวกนั้น? โอ แสงศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน…’
เจ้าของร้านหนังสือกำลังจะบอกความลับเกี่ยวกับอดีตกาล หรือความจริงเกี่ยวกับโลกใบนี้กันแน่
แม้ว่าโจเซฟจะรู้สึกกลัวขึ้นมา แต่ลึก ๆ ก็ยังมีความโหยหาจนทำให้เขาต้องพลิกหน้าหนังสือโดยไม่รู้ตัว
ท่ามกลางคลังคำ ความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่และกำกวมบิดเบี้ยวและหงิกงอ ดวงดาว เนบิวลา กาแล็กซี่ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ความโกลาหลครั้งอดีตกาล ความมืด มิติ เวลา การทำลายล้างและการเกิดใหม่ เมื่อดารามาบรรจบ เปิดดวงตาพร้อมกัน และคลี่ร่างออกก่อนจะปลดปล่อยเสียงร้องอันคร่ำครวญและน่าสยดสยอง
โฮก
“ฮู่ว…”
โจเซฟได้สติคืนมาและสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เขาพยายามปลอบประโลมตัวตนอันสั่นไหวของตนแล้วหลุบตาลง ฝืนให้จิตใจของเขาหยุดคิดถึงเรื่องเหล่านั้น
เขาก้มมองหนังสือที่ปิดอยู่ในมือ แล้วจึงตระหนักได้ว่าเขาอ่านหนังสือเล่มนี้มาประมาณสิบนาทีแล้ว
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าของร้านหนังสือจึงเลือกใช้คำเพื่อไม่ให้เขาตื่นตระหนก ‘นวนิยาย…เรื่องที่แต่งขึ้นเรอะ จะให้ฉันคุมสติที่เหลืออยู่น้อยนิดน่ะสิไม่ว่า…’
โจเซฟรู้สึกว่ามันจะเป็นการดีหากปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าของร้านโดยการไม่อ่านมันเยอะไป ไม่อย่างนั้นเขาคงมีวิ่งไปหอนที่น่านฟ้าด้านนอกแล้ว
โชคดีนักที่เขาไร้จุดหมายมาหลายปี จึงชินกับความวุ่นวายด้วยตัวคนเดียวมานานแล้ว
‘นี่ก็ไม่ได้แย่เท่าไรนี่ ฮ่า ๆ ๆ ๆ …แม่xเอ๊ย!’
หลังจากเข้าใจทุกอย่างและได้รับบัฟติศมาสองครั้ง อดีตอัศวินแห่งแสงโจเซฟอดไม่ได้ที่จะมองว่าตนนั้นช่างไร้ค่าและเฉยเมยขนาดไหน
เป็นอีกครั้งที่เขาอยากแก้การประเมินเจ้าของร้านหนังสือเสียใหม่
ความจริงก็ไม่ใช่ความผิดพวกเขาหรอก แต่เป็นเพราะการประเมินสูงสุดมันตันที่ระดับ S ต่างหาก
โจเซฟถามอย่างระมัดระวัง “ในชีวประวัติ…พวกนี้ เอ่อ…สิ่งมีชีวิตชั้นสูงเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมรึเปล่า”
หลินเจี๋ยหยุดอ่านหนังสือของตัวเองแล้วจึงมองหนังสือเล่มนั้น ‘ช่วงเวลาเปล่งประกายของมวลมนุษยชาติ’ แล้วสงสัยว่านี่มันคำถามประเภทไหนกันแน่
ทว่าหลินเจี๋ยเข้าใจว่าชีวประวัติมากมายแบบนี้อาจเข้าใจยากไปหน่อยสำหรับโจเซฟ จึงไม่แปลกที่เขาจะงุนงง
“แน่นอนครับ พวกเขาต่างก็เป็นผู้ริเริ่มและเป็นสักขีพยานในช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ของประวัติศาสตร์อารยธรรมเก่าน่ะ แต่ไม่มีใครคงอยู่ได้ตลอดกาล และไม่ว่าจะยิ่งใหญ่มาจากไหน พวกเขาก็ยังต้องไหลไปตามแม่น้ำแห่งกาลเวลาอยู่ดี” หลินเจี๋ยตอบไปตามความจริง
โจเซฟจ้องมองหนังสือแล้วพยักหน้าหงึกหงัก
เขาสัมผัสได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตชั้นสูงบางตนถูกผนึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ และตราบใดที่เงื่อนไขตรงกัน สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะสามารถถูกอัญเชิญออกมาได้
แต่การอัญเชิญแบบนี้ย่อมตามมาด้วยความเสี่ยงอันสูงลิ่ว…
ตามคำพูดของเจ้าของร้านหนังสือนั้น เหล่าสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์คือส่วนหนึ่งของอารยธรรมอันสูงส่งกว่า ทว่าอารยธรรมนี้ก็เป็นดั่งอาณาจักรโบราณ มันล่มสลายไปนานแล้ว สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเองก็เสื่อมลง ตกต่ำ และถูกผนึกไว้ในที่สุด
ส่วนคนที่ผนึกพวกเขาเอาไว้…ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นเจ้าของร้านตรงหน้าเขาแน่นอน
หลินเจี๋ยเห็นสีหน้าอับจนหนทางของโจเซฟแล้วอธิบายต่อ “ผมเข้าใจครับว่าคุณอาจจะสับสนไปบ้าง แต่นั่นเป็นเรื่องปกติครับ ยังไงเสีย มีหลายช่วงหลายตอนของหนังสือที่คุณอาจจะตามไม่ทันอยู่เหมือนกัน อย่าจมจ่อมกับมันเยอะไปจะดีกว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณเข้าใจเจตจำนงและจุดประสงค์ของเรื่องราวพวกนี้ และใช้ประโยชน์จากมันนะครับ”
กล้ามเนื้อใบหน้าของโจเซฟกระตุกเล็กน้อย “ผมว่า…มันอาจจะยากไปหน่อยนี่สิ” เขาตอบ
“อย่าเพิ่งท้อไปเลยครับ”
หลินเจี๋ยเก็บดาบยาวเข้าฝักอีกครั้ง บรรยากาศมืดมัวของร้านหนังสือก็กลับมาดังเดิม เขายิ้มพลางเอ่ยต่อ “ในเมื่อนี่เป็นทางที่คุณเลือกแล้ว ก็ลองพยายามทำให้ดีหน่อยสิครับ ปล่อยอดีตไปเถอะ ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดหรือความรุ่งโรจน์นั้น และหันหน้าเข้าหาอนาคตอย่างกล้าหาญซะ”
“ทุกคนมีโชคชะตาเป็นของตัวเองครับ บางทีหนังสือเล่มนี้อาจช่วยให้คุณหาเส้นทางของตัวเองสำเร็จก็ได้ การจะเริ่มชีวิตใหม่มันเลี่ยงความท้าทายไม่ได้หรอก คิดว่าหนังสือเล่มนี้เป็นของขวัญจากผมก็แล้วกันครับ อย่างแรกเลย ใช้มันด้วยเหตุผลแล้วค่อย ๆ เรียนรู้มันไปนะครับ”
โจเซฟนิ่งค้างไปชั่วขณะก่อนพยักหน้า “ขอบคุณสำหรับของขวัญและคำชี้แนะครับ ผมได้รับอะไรมามากมายเหลือเกิน”
หลินเจี๋ยส่ายหน้า “ผมแค่พูดทวนสิ่งที่คนอื่นบอกมาอีกทีเท่านั้นเองครับ
“มีคำพูดหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าน่าจะบอกกับคุณได้อยู่” เขากระแอมและเลือกคำจากช่วงเวลาเปล่งประกายของมวลมนุษยชาติที่เขาติดใจนัก “มีเพียงหนึ่งอัจฉริยภาพจะบังเกิดขึ้นในดินแดนที่มีคนนับล้าน ล้านช่วงเวลาหลั่งไหลได้ผันผ่านจนกระทั่งหนึ่งช่วงเวลาของดวงดาวแห่งมนุษยชาติถือกำเนิด”
“ทว่าเมื่อมันมาถึง อิทธิพลของมันจะส่งผลต่อประวัติศาสตร์ไปอีกหลายศตวรรษหลังจากนั้น เมื่อความดื้อรั้นของคนคนหนึ่งพุ่งชนพรหมลิขิตแล้วไซร้ ประกายไฟซึ่งเกิดจากสิ่งนั้นจะแต่งแต้มท้องฟ้าของทั่วทั้งอารยธรรม”
“และในตอนนั้น…ก็จะเป็นเวทีของเหล่าฮีโร่!”
หลินเจี๋ยหยุดไปชั่วครู่ “แน่นอนครับว่าผมไม่ได้ขอให้คุณเป็นฮีโร่ โลกใบนี้ไม่ได้เปิดโอกาสและเวทีให้คนเป็นฮีโร่มากขนาดนั้น”
เขายิ้มและเอ่ยต่อ “อย่ามองตัวเองสูงส่งเกินไป และอย่าดูถูกตัวเองมากเกินไปด้วยนะครับ คุณเป็นมนุษย์ และเป็นเพียงส่วนหนึ่งของมนุษยชาติ พลังของมนุษย์น่ะมีจำกัดเหมือนกันครับ ทำในสิ่งที่ทำได้ในเวลาที่เหมาะสม และเติมเต็ม ‘พรหมลิขิต’ ที่เป็นของคุณก็พอแล้ว”
โจเซฟรู้สึกเหมือนถูกดึงกลับไปช่วงวัยรุ่นที่ได้ฟังคำสอนของรุ่นพี่ในโถงศักดิ์สิทธิ์ของหอพิธีกรรมต้องห้าม และสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณเดือดพล่านยามลั่นประกาศิตสาบานจะสู้เพื่อแสงสว่าง
เขาจ้องมองดาบปีศาจในมือเจ้าของร้านหนังสือแล้วรู้สึกว่าความโดดเดี่ยวในหลายปีที่ผ่านมาได้ละลายหายไปจนหมดสิ้น
“จะทำครับ…ทำแน่นอน”