หลินเจี๋ยเพิ่งจะเดินขึ้นบันไดผุพัง ก่อนจะหยุดยืนอยู่ข้างบนตอนได้ยินประโยคเมื่อครู่นี้เอง
มุมปากของชายหนุ่มกระตุกกึก ๆ ตัวละครนี้กำลังเล่นบทอยู่จริง ๆ สินะ?
ทว่านี่ไม่ใช่ฉาก ‘ลาสบอสปรากฏตัว’ อย่างที่นึกไว้ แต่มันเป็น ‘ฉากคัตซีนซีจีที่ NPC สำคัญเปิดตัวเพื่อแนะนำผู้เล่นใหม่เข้าสตอรี่’ ต่างหาก
การเรียกแทนว่า ‘ผู้กอบกู้’ ก็ถือว่าตรงเผง
ในเกมสวมบทบาททั่วไป ตัวละครผู้เล่นสิบในสิบคือผู้กอบกู้กันทั้งนั้น
แต่พอคิดเยอะขึ้น บทในฝันเขาก็คงมีไม่เยอะ เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้เล่นเกมเยอะแยะอะไร
สายตาของหลินเจี๋ยพุ่งตรงไปยัง ‘NPC’ ที่เพิ่งเอ่ยบทของตัวเองไป
ช่างสมกับคำพรรณนาว่าเป็นเอลฟ์เพศชายเสียจริง
เรือนผมสีทองยาวสยายและดวงตาสีเขียวมะกอกรับกับใบหน้างดงามถึงขั้นยากจะแยกแยะเพศ ความงามอย่างเป็นกลางของเขาช่างน่าพรึงเพริด แต่ในขณะเดียวกันก็ยังดูมีไหวพริบที่ทำให้เขาไม่ดูอ่อนโยนมากจนเกินไป
เมื่อรวมเข้ากับซีนพร้อมคำพูดของ ‘NPC’ คนนี้แล้ว หลินเจี๋ยก็แอบเดาพล็อตได้เลย
แน่นอนว่ามหันตภัยอันยิ่งใหญ่ได้บังเกิดขึ้นที่นี่ และเอลฟ์ตรงหน้าก็เป็นตัวต้นเหตุไม่ก็ไร้กำลังมากพอจะหยุดโศกนาฏกรรมนี้ได้
จนกว่าพลังของใครบางคนจะมีมากพอเพื่อช่วยโลก หรือมาช่วยแก้ไขความผิดที่เขาก่อเอาไว้
หลังจากเห็นภาพเบื้องหน้า หลินเจี๋ยมั่นใจว่าเขาพอจะเข้าใจเส้นเรื่องขึ้นมาบ้างแล้ว
หลินเจี๋ยเดินวนรอบตัวเอลฟ์ตนนั้น และพลันเห็นว่าดาบที่ปักอยู่ในอกเขาคือดาบที่โจเซฟมอบให้
นี่แหละสิ่งยืนยันไร้ทางปฏิเสธว่าความฝันยามค่ำคืนล้วนผ่านจิตปรุงแต่งยามกลางวัน
หลินเจี๋ยใช้เวลาทั้งวันไปกับการสังเกตดาบเล่มนี้ตอนกลางวัน และมันก็เริ่มมาถักทอเป็นเรื่องราวในความฝันของเขา
เอลฟ์มองหลินเจี๋ยอย่างใจเย็น เฝ้ารอเขาให้เดินสำรวจจนเสร็จแล้วจึงเอ่ยขึ้นมา “ในฐานะตัวแทนของราชอาณาจักรนี้ เราขอขอบคุณที่ช่วยนำพาแสงประกายแห่งดาบศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมา นี่เป็นบาปซึ่งมิอาจให้อภัยข้อที่สามแห่งเรา”
ดาบศักดิ์สิทธิ์นี่…คงจะหมายถึงเล่มที่ติดอยู่ในตัวเขา แถมยังเป็นดาบที่โจเซฟให้มาด้วยละมั้ง
ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มก็สงสัยว่าทำไมดาบนี้ถึงได้ ‘สกปรก’ นิดหน่อย แต่มารู้ทีหลังว่ารอยดำจะหายไปเมื่อมองจากมุมอื่น นั่นอาจเป็นงานฝีมือแบบพิเศษอย่างหนึ่ง แต่พอมาอยู่ในฝันของหลินเจี๋ยแล้ว มันกลับมีความสำคัญขึ้นมาทันทีเสียอย่างนั้น
มิน่าล่ะถึงฝันได้ ความคิดเล่น ๆ ของหลินเจี๋ยกลายเป็นสิ่งที่เขาภาคภูมิใจไปเสียแล้ว
ทว่าจากบทพูดล่าสุด ดูท่าทางว่าตัวละครเอลฟ์ตนนี้เป็นสาเหตุของมหันตภัยและตอนนี้กำลังลงโทษตัวเองอยู่
“ไม่เป็นไรครับ”
หลินเจี๋ยเอาเครดิตไปหน้าตาเฉย หลังจากนั้นจึงนั่งยอง ๆ เพื่อให้ตัวเองอยู่ระดับสายตาเดียวกับเอลฟ์ พร้อมถามด้วยความสนเท่ห์ “ในเมื่อคุณบอกว่านี่เป็นบาปที่สาม รบกวนช่วยบอกบาปข้ออื่นมาด้วยได้ไหมครับ ผมอยากฟังเรื่องราวของคุณจริง ๆ นะ”
บังเอิญว่าช่วงนี้หลินเจี๋ยไม่ได้พบปะลูกค้าคนไหนเลยนอกจากโจเซฟ ดังนั้นการให้คำปรึกษาแก่ ‘เพื่อน’ ก็ถือเป็นทางเลือกที่ไม่เลว
ว่ากันตามเนื้อผ้า ตัวละครผู้แบกรับความขมขื่นมักจะเป็นคนโดดเดี่ยว การไร้คนคุยก็ยิ่งเพิ่มความทุกข์ในจิตใจ และตัวละครแบบนี้มักจะอยากระบายให้ใครสักคนฟัง
นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมตัวร้ายถึงกระตือรือร้นอยากจะประกาศก้องถึงความรุ่งโรจน์ตอนที่แผนตัวเองใกล้จะสำเร็จเต็มทีเหมือนกัน
ในแง่หนึ่งก็เพราะเหตุผลนี้ แต่อีกแง่ก็…เป็นเพราะคนเขียนบทบางคนต้องเผยความจริงเพื่อให้เวลาตัวละครหลักได้โจมตีกลับนั่นแหละ
ปล่อยให้เขาพูดไม่ใช่เพื่อราดเกลือใส่แผล แต่เป็นการมอบทางระบายให้ตัวละครต่างหาก
อีกอย่าง ในเมื่ออีกฝ่ายกล่าวถึงบาปของตนมาแล้ว ย่อมแปลว่าตัวละครนี้อยากจะพูดถึงมันจริง ๆ
“ถือเป็นเกียรตินักหากท่านสมัครใจฟังคำสารภาพของคนบาปอย่างเรา”
เอลฟ์ตนนั้นยิ้มเรี่ย ๆ ก้มหัวลงด้วยความถ่อมตนและเอ่ยเสียงแผ่ว “หลายพันปีก่อนหน้านี้ ยามเวลายังไร้ซึ่งประกายแสงและเปลวเพลิง เราผู้นี้เต็มไปด้วยความจองหองและเตรียมการเข่นฆ่าพระเจ้าเพื่อขยายดินแดนแก่คนของเรา สุดท้ายแล้ว เมื่อจ้องมองไปยังพระเจ้าโดยตรง เราก็จมลงไปสู่ความบ้าคลั่ง นี่คือตราบาปแห่งความขี้ขลาดของเรา
“เราเป็นถึงราชาพวกเขา แต่กลับเข่นฆ่าพสกนิกรเสียเอง เกือบจะสูญสิ้นทั้งเผ่าพันธุ์อันเป็นเหตุมาจากความคลุ้มคลั่งนี้ ทำลายทุกสิ่งในอาณาจักรด้วยสองมือเราเอง นี่คือตราบาปแห่งความทรยศของเรา
“ดาบศักดิ์สิทธิ์นี้เปรอะเปื้อนด้วยโลหิตจากคนของเรา เราจึงใช้มันผนึกวิญญาณอันโสมมของเรา ทำให้มันสิ้นแสงประกายและสร้างมลทินแก่สัญลักษณ์สุดท้ายแห่งอาณาจักรของเรา นี่คือบาปแห่งความเพิกเฉยของเรา
“เราได้นำอาณาจักรของเราขึ้นสู่จุดสูงสุด และทำลายมันด้วยมือของเราเอง หลายพันปีหลังจากนั้น มงกุฎก็กลายเป็นโซ่ตรวนเสียแล้ว ผู้คนต่างเรียกขานเราว่า แคนเดลา ‘ผู้เนรเทศ’”
หลินเจี๋ยยกมือลูบคาง รู้สึกพอใจที่ตนเดาถูกเสียส่วนใหญ่
มันนับเป็นโศกนาฏกรรมอย่างหนึ่ง ความพยายามจะฆ่าเทพเจ้าได้ย้อนกลับมาทำให้เขาเป็นบ้าถึงขั้นทำลายอาณาจักรของตัวเอง…แถมยังใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ผนึกตัวเองไว้ จนทำให้ตัวเองกลายเป็นจิตวิญญาณแห่งดาบเสียด้วย
“ทำไมถึงเรียกผมว่าผู้กอบกู้ล่ะครับ ผมไม่ได้ช่วยคุณสักหน่อย และอาณาจักรของคุณก็ราบเป็นหน้ากลองไปแล้วด้วย” หลินเจี๋ยชี้ไปยังดาบในตัวอีกฝ่ายพลางมองไปรอบ ๆ “คุณจะขอให้ผมช่วยอะไรหรือเปล่าครับ”
ตอนนั้นเองที่สีหน้าของเอลฟ์ตนนี้ดูน่าเวทนาหนักกว่าเก่า ราวกับว่าความคิดของเขาถูกกางออกมา “ความใจบุญของท่านทำให้เรารู้สึกอับอายนัก แต่โปรดใจเย็น เราไม่เคยคิดจะล้ำเส้นและคิดว่าตัวเราควรได้รับการไถ่บาปเลย”
ไม่ต่างกับเด็กถูกพ่อแม่อบรมสั่งสอนเพราะไปขออะไรโดยไร้เหตุผล ตัวของเขาสั่นเล็กน้อยพลางอธิบาย “ท่านช่วยเรามามากมายเหลือเกิน ราชอาณาจักรเรากลายเป็นผงธุลีในสายธารแห่งประวัติศาสตร์ไปแล้ว เรามิคู่ควรในการทำสิ่งใดเพื่อผืนดินนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร เราก็ไม่มีทางชดใช้บาปกรรมของเราได้เลย…”
หลินเจี๋ยรู้สึกว่าคนคนนี้โทษตัวเองไม่หยุดหย่อนมาหลายพันปีตั้งแต่ที่ถูกผนึก ทำให้มีเกราะป้องกันทางจิตซึ่งทำให้ทุกอย่างที่ได้ยินกลายเป็นคำตำหนิเสียหมด
อีกฝ่ายอาจดูใจเย็นสุขุมหากมองเบื้องหน้า ทว่าคำถามใดก็ตามอาจทำร้ายเขาได้
“ไม่เลยครับ” หลินเจี๋ยสบตากับอีกฝ่าย แทรกคำสารภาพอันไม่ต่อเนื่องของเอลฟ์ตนนี้
“ในเมื่อคุณบอกเองว่าคุณเป็นคนบาป สิ่งที่ทำให้คุณไม่ปลงใจชดใช้ในตอนนี้คือการทอดทิ้งตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่างหากล่ะครับ ความจริงแล้วสิ่งที่คุณทำอยู่นี่ไม่มีความหมายอะไร และตัวคุณก็แค่ขี้ขลาดตาขาวเฉย ๆ เท่านั้นเองนะครับ”
จากคำว่า ‘หลายพันปีต่อมา’ ทำให้หลินเจี๋ยคิดว่าซีนนี้ไม่เป็นความจริงและอาจเป็นแค่สภาพจิตใจหรือความทรงจำของเอลฟ์ตนนี้เท่านั้น
และการใช้คำว่าเกือบสูญสิ้นทั้งเผ่าพันธุ์แปลว่ามีความเป็นไปได้ที่ยังไม่ถูกกวาดล้างทุกคน
“คุณรู้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศของคุณหลังจากนั้น? คนของคุณมีชีวิตรอดไปได้ยังไง พวกเขาต่างเร่ร่อนอย่างน่าอนาถหรืออาจจะไปสร้างบ้านใหม่ที่อื่นก็ได้นะครับ?
“พวกเขายังคงพยายามอย่างสาหัสแม้ว่าจะอ่อนแอกว่าคุณ ในขณะที่คุณน่ะมีพลังอันยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แต่กลับอยู่ที่นี่แล้วคร่ำครวญโดยไม่ยอมทำอะไรสักที
“คุณแค่กำลังหลอกตัวเอง อ้างไปเรื่อยเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรนะครับ
“คุณไม่มีสิทธิเหรอ? สิทธิอะไรก่อน นี่แหละครับคือราคาที่คุณต้องจ่ายให้กับการกระทำของตัวคุณเอง การทนทุกข์ต่อหน้าต่อตาทุกคนควรจะเป็นบทลงโทษของคุณ ไม่ใช่อุดอู้เซื่องซึมแบบนี้สิครับ”
คำพูด ‘ระดับผู้เชี่ยวชาญ’ ของนักจิตบำบัดหลินเจี๋ยยังคงมีต่อไปด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “คุณไม่ได้คืบหน้าไปไหนเลยน่ะสิ สิ่งที่คุณทำก็แค่หนีไปเรื่อยเพื่อรอวันได้รับการให้อภัยเท่านั้นละครับ ไม่เคยคิดเลยสักครั้งว่าระหว่างที่คุณไม่ทำอะไรเลย ความทุกข์ของชาวเมืองของคุณก็มีมากกว่าของตัวเองแล้ว!
“คิดให้ดีจะดีกว่าครับว่าคุณควรจะทำอะไรต่อ ไม่มีใครกอบกู้คุณได้ มีแต่คุณเท่านั้นที่ต้องช่วยเหลือตัวเอง”
แคนเดลานิ่งงัน เขาเหมือนโดนคำพูดของหลินเจี๋ยตีเข้าให้ที่หัวจังงัง
หลังจากนั้น นัยน์ตาของเขาก็เป็นประกายเมื่อมองขึ้นไปยังหลินเจี๋ยราวกับเด็กน้อยมองพ่อตัวเอง “ท่านพูดถูกต้อง หากแต่ความเพิกเฉยของเรานั้นเป็นรากฝังลึกเหลือเกิน หากไร้คำชี้นำจากท่าน เราก็คงไม่รู้ว่าควรทำสิ่งใดต่อไป…เราหวั่นนักว่าจะก่อความผิดพลาดเดิมซ้ำสอง”
เอลฟ์ตนนั้นโน้มตัวลงกราบไปกับพื้น หน้าผากของเขาขนาบเข้ากับฝ่าเท้าของหลินเจี๋ย
“เรา…หวังจะเป็นดาบของท่าน”