“ว่าไงนะ?”
ชั่วครู่หนึ่ง นักวิจัยซึ่งถือแฟ้มในมือนึกว่าตนได้ยินผิดไป เขาเงยหน้ามองด้วยสีหน้าปั้นยาก “ที่บอกว่าพวกเราถูกโจมตีนี่หมายความว่าไงน่ะ”
“แล้วใครมันสั่งให้นายไม่พกเครื่องสื่อสารล่ะวะเฮ้ย โรงงาน ‘โปรเจกต์เทวรูปโคลน’ แจ้งว่ามีการถูกโจมตีอยู่เนี่ย!”
นักวิจัยบนบันไดลิงปีนลงมาไวปานลิงเอ่ยช้า ๆ ชัด ๆ ได้ใจความมันทุกคำ
“มีคนบุกเข้ามาในเครื่องลูป โรงงาน 01 07 และ 13 ถูกทำลายเรียบ ไม่ต้องพูดถึงทรัพยากรและวัตถุดิบที่สต๊อกไว้เลย มนุษย์เทียมที่ใกล้เสร็จไปแล้วสามล็อตกับพวกศิลานักปราชญ์น่ะหายหมด เรื่องใหญ่โคตร ๆ!”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเอ่ยต่อ “ต้องรีบเผ่นไปเซฟโซนแล้ว! โรงงาน 07 ห่างจากนี่ไม่ไกลเลยนะ ถ้าศิลานักปราชญ์ที่ยังไม่เสถียรเกิดระเบิดขึ้นมาละก็ ที่นี่ได้ราบเป็นหน้ากลองแหง”
คู่หูเขาหน้าซีดเผือดทันควันและรีบชี้ไปยังทิศทางหนึ่งด้วยสีหน้าหวาดผวา “ไมซ์ ไปทางนี้เหอะ ไวกว่า”
ไมซ์หยิบกล่องเครื่องมือบนพื้นแล้วเริ่มสาวเท้าไป ระหว่างทางก็บ่นไปด้วย “เฮ้อ น่าเสียดายเป็นบ้า ตัวอย่างมนุษย์เทียมพวกนั้นน่ะสมบูรณ์ที่สุดเลยแท้ ๆ เชียว ถึงส่วนใหญ่จะยังอยู่ในระยะเอ็มบริโอก็เถอะ แต่ชีพจรก็เริ่มเสถียรแล้วเชียวน้า ความเข้ากันได้ของอีเธอร์เองก็พุ่งสูงไปถึงระดับ 150% เลย…”
เขาพล่ามไปพลางก็ถามคู่หูไปด้วย “ริค นายว่าใครโจมตีพวกเราเหรอ เลือกเวลาที่พวกเราเอากำลังคนกับความสนใจพุ่งไปที่สัตว์มายาระดับ S ที่มาเยือนใหม่ ๆ แบบนี้มันดูเกินเหตุบังเอิญนะว่ามั้ย”
ริคก้มตัวลงหยิบกระดาษที่กระจัดกระจายเพราะลนลานจนเผลอทำร่วงแล้วตอบ “ไม่ต้องไปคิดเยอะเลย กังวลแบบนี้จะช่วยให้เบื้องบนคิดแผนการรับมือได้หรือไง?
“ต้องรีบแล้วนะ! ถ้ามันระเบิดขึ้นมาได้ซี้แหงกันพอดี!”
ทันทีที่เอ่ยจบ สองนักวิจัยต่างก็ได้ยินเสียงตูมตาม
ทั้งคู่หันไปมองด้านหลังซึ่งเป็นที่มาของเสียงอย่างพร้อมเพรียง และพบว่าประตูหนากำลังหล่นลงมาจากที่สูง จากจุดที่พวกเขาอยู่ก็สามารถเห็นได้ราง ๆ ว่าประตูที่ระเบิดขึ้นมีรูปร่างบิดเบี้ยว
พวกเขามองประตูหล่นลงมาตรงหน้า ตามมาด้วยเสียงเหล็กกระทบจนสั่นไหวไปทั่ว
ที่นี่คือจุดเชื่อมต่อระหว่างโรงงาน ซึ่งมีท่อวงแหวนคอยซัพพอร์ตและมีทางเชื่อมมากมาย
ทั้งคู่ก้มมองไปครู่หนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นมาจากข้างบนอีกครั้ง
คราวนี้ มันดังกึกก้องกว่าเดิมเสียอีก
ไกลออกไปมีควันโขมงลอยออกมาจากสุดทางเดิน ซึ่งปกคลุมชั้นบนในไม่กี่อึดใจ
สองนักวิจัยต่างส่งสายตาให้กันและพบร่องรอยความกลัวบนใบหน้าของอีกฝ่าย แม่งระเบิดจริงว่ะ!
“หนีเร็ว!”
พวกเขาใส่เกียร์หมาเผ่นแน่บทันควัน
ระหว่างทางหนี เครื่องมือสื่อสารของไมซ์จู่ ๆ ก็ส่งเสียงปิ๊บอีกครั้ง
ไมซ์พลิกเครื่องมือสื่อสารและเบรกเท้าทันทีที่เห็นข้อความบนหน้าจอ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?!”
ริคกำลังเปิดประตูตอนที่หันมาถาม เมื่อเห็นใบหน้าไม่สู้ดีของไมซ์ เขาก็รู้สึกลางไม่ดีอย่างไรชอบกล
“ปืนใหญ่ทลายอีเธอร์ถูกทำลายแล้ว” ไมซ์เอ่ยเสียงสั่น ฟันกรามกระทบกันกึก ๆ
ริคนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะพุ่งไปแย่งเครื่องมือสื่อสารเพื่อดูข้อความ
“พนักงานทุกคนโปรดทราบ ปืนใหญ่ทลายอีเธอร์ถูกทำลาย สถานการณ์ระมัดระวังเพิ่มขึ้นมาหนึ่งระดับ หน่วยงานระดับ D และสูงกว่าโปรดอยู่กับที่ ระดับ P และ A โปรดเข้าสถานที่หลบภัยโดยด่วน…”
ข้อความที่สองเด้งเข้ามาเมื่อเขาอ่านจบ
“พนักงานทุกคนโปรดทราบ”
ข้อความที่สามเด้งเข้ามาอีกครั้ง
สามข้อความที่ถูกส่งมาติด ๆ มีใจความเหมือนกันเปี๊ยบ
แม้ว่าริคจะช็อกไปแล้ว แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามอยู่ดี “ทำไมข้อความนี้ถูกส่งมาตั้งสามรอบล่ะ เพื่อย้ำงั้นเหรอ”
“นี่นายเคยอ่านระบบการส่งข้อความในแมนวลโรงงานสำหรับเรื่องสำคัญบ้างมั้ย ฉันถามจริง ๆ!”
ไมซ์ยังคงเผยสีหน้าไร้อารมณ์เมื่อริคส่ายหน้าพร้อมพึมพำ “จะมีข้อความเดียวส่งมาในเรื่องเดียวกัน”
ริคนิ่งไปพักหนึ่งก่อนเผยสีหน้ามืดมนออกมา “งี้ก็แปลว่าแบตเตอรี่ปืนใหญ่ทลายอีเธอร์สามกระบอกถูกทำลายน่ะสิ”
เมื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้ามืดมนที่ไร้ซึ่งหยาดฝนอีกต่อไป ไมซ์ก็ได้ยินเสียงครืนของโรงงานถล่มลงในจุดที่ไกลออกไป
เขารู้สึกราวกับท้องฟ้า… กำลังถล่มลงมาจริง ๆ
—
ตู้ม…!!
โครงเหล็กถล่มลงมาพร้อมกับเสียงระเบิดดังขึ้น เปลวไฟผุดขึ้นมาจากเศษซากอาคาร หลอมละลายทุกสิ่งและย้อมอากาศด้วยกลิ่นควันอันขมคอ
น้ำยาซึ่งถูกฉีดไปทั่วพื้นและวัตถุไวไฟรอบด้านต่างกลายเป็นเชื้อเพลิงให้เปลวไฟหนาแน่นขึ้นไปอีก
วัสดุแก้วทุกชิ้นถูกทำลายทิ้งจนสิ้น ของเหลวสีฟ้าห่อหุ้มเอ็มบริโอไหลออกมาจากภาชนะที่ถูกทำลาย เศษแก้วเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้น เอ็มบริโอบางชิ้นซีดลงจนไร้ซึ่งชีพจรอีกต่อไป ในขณะที่บางอันยังคงถูกแขวนอยู่บนท่อยังชีพและมีของเหลวหยดลงมา
“เร็ว! ตรวจสอบซะว่ามีศิลานักปราชญ์เหลือเท่าไหร่? แล้วตามหาผู้บาดเจ็บและความเสียหายแล้วปฐมพยาบาลหรือรับมือตามสมควร”
ปัง!
ประตูถูกเปิดออก และทีมนักวิชาการในชุดเต็มยศได้เดินเข้ามา ชุดเกราะกลที่พวกเขาสวมใส่เป็นสีดำด้านและกว่าครึ่งถูกติดเข้ากับร่างกายเพื่อให้มีความมั่นคงด้านนอก
พวกเขาตรวจสอบซ้ายไปขวาเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีความผิดปกติของพลังงานอีเธอร์ ก่อนจะลดอาวุธลงและเริ่มการกู้ภัยและดับเพลิง
“วินิจฉัยให้ดี แล้วเจออะไรให้มาบอกฉัน อย่าทำรายละเอียดตกหล่นไปล่ะ”
คนที่ยืนอยู่ริมประตูคือผู้รับผิดชอบเขตนี้ ยามนี้สีหน้าของเขาดูไม่ได้เอาเสียเลยเมื่อมองไปยังสภาพห้องทดลองซึ่งพังทลายจนน่าอนาถา
มีคนลอบเข้ามาที่นี่และทำลายตัวทดลองมนุษย์เทียมทุกชิ้น
“แจ้งข่าวครับ พบนักวิจัยห้าคนเสียชีวิต ส่วนอีกหนึ่งกำลังหายใจอยู่ และกำลังรักษาอย่างถึงที่สุดอยู่ครับ”
“แจ้งข่าวครับ พบเศษเสี้ยวพลังอีเธอร์ กำลังส่งบทสรุปภาพสมมติครับ”
“แจ้งข่าวครับ ตัวทดลองหมายเลข 1372 1383 567 และ 277 หายไป กำลังส่งข้อมูลการทดลองให้ครับ”
สีหน้าของผู้รับผิดชอบเปลี่ยนสีเมื่อเห็นดาต้าของสี่ตัวทดลองจากฐานข้อมูลของห้องทดลอง
ข้อมูลของสี่ตัวทดลองนี้ถูกจัดให้โดดเด่นอย่างมาก ตัวทดลองสามตัวแรกมาจากล็อตที่สาม และตัวสุดท้ายมาจากล็อตสอง
ท่ามกลางเจ้าพวกนี้ หนึ่งในนั้นจากล็อตสามมีตัวที่สมบูรณ์ที่สุดในขณะนี้อยู่ด้วย ชัดเจนแล้วว่าเป้าหมายของผู้บุกรุกคืออะไร?
อีกทั้งเศษเสี้ยวพลังอีเธอร์มาจากการระเบิดของศิลานักปราชญ์ ณ จุดกึ่งกลางของห้องทดลอง ดูจากมาตรการรักษาความปลอดภัยของห้องทดลองแล้ว เรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่คนนอกจะเข้ามายืนอยู่ใจกลางของห้องทดลองเพื่อมาทำอะไรแบบนี้ได้
นั่นหมายความว่า…
คนที่เพิ่งจะทำลายและขโมยของในห้องทดลองอาจไม่ใช่ผู้บุกรุกอย่างที่คิด แต่เป็นสมาชิกของสมาคมแห่งสัจธรรมต่างหาก
—
“เฮ้อ แย่จริง ๆ นะเนี่ย”
นักวิชาการผู้เคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บบนเปลพึมพำพลางมองหยาดเลือดไหลจากแผลทั่วร่างออกมาเป็นทาง
เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยความเห็น “โชคดีแฮะที่พวกเราแค่มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องช่วยเหลือทางการแพทย์ ทำงานอันตราย ๆ อย่างห้องแล็บนี่ยากแท้”
คู่หูด้านหน้าเหลือบมามองอย่างไว ใบหน้าของผู้เคราะห์ร้ายถูกระเบิดออกไปครึ่งหน้า และเขารู้สึกทำใจยากเนื่องจากผู้เคราะห์ร้ายคนนี้ยังเป็นเด็กสาวอยู่เลย “โชคร้ายเรื่องเดียวจนต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดเลย”
นักวิชาการด้านหลังอยากรู้อยากเห็นและเอ่ยถาม “ว่าก็ว่าเถอะ เคยเห็นเธอมาก่อนมั้ย ฉันไม่เคยเห็นสาวน้อยแบบนี้ในห้องแล็บมาก่อนเลย…”
เขาเอ่ยจบก็เอื้อมมือไปหยิบบัตรประจำตัวซึ่งห้อยอยู่รอบคอผู้เคราะห์ร้าย
ฉัวะ!
แขนเพรียวบางจู่ ๆ ก็พุ่งขึ้นมา แทงทะลุคอหอยของเขาดั่งคมมีด ทันทีที่เลือดพุ่งกระจาย ผู้เคราะห์ร้ายก็ลุกขึ้นมาไขว้แขนรอบลำคอนักวิจัยคนข้างหน้าเมื่อเขาหันเข้ามา และหักคอของเขาทิ้ง
สองซากศพไร้ชีวิตทรุดตัวลงไปกับพื้น
ผู้เคราะห์ร้ายในเสื้อโค้ตนักวิชาการสีขาวเด้งตัวออกอย่างคล่องแคล่วเฉกเช่นแมว ก่อนจะหายตัวไปอย่างเงียบงันผ่านท่อระบายอากาศ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นคาวเลือดไว้ด้านหลัง