วัลเพอร์กิส?
มูเอนกะพริบตาอย่างเหม่อลอยระคนระแวง
เห็นได้ชัดว่าความรู้พื้นฐานที่เธอได้รับจากกุญแจสู่ประตู พื้นฐานแห่งปัญญาและสัญลักษณ์นั้นไม่ได้รวมข้อมูลเกี่ยวกับแม่มดบรรพกาลไว้ด้วย
ตำนานและความลับโบราณเหล่านี้ไม่ได้จัดเป็นความรู้พื้นฐาน และตัวตนเหนือธรรมชาติส่วนใหญ่ก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้ด้วย
กระทั่งคนที่มีพื้นหลังอย่างจี้จือซู่ยังรู้เพียงข้อมูลยิบย่อยบางอย่าง…
มีเพียงคนแบบโดริสที่อยู่มานานและมีฐานะสำคัญเท่านั้นที่จะสามารถเข้าใจเรื่องพวกนี้ และทำให้แน่ใจได้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ
ทว่าตระกูลของเธอนั้นเป็นผู้ได้รับการเจิมจากค่ำคืนแห่งวัลเพอร์กิสที่เชื่ออย่างหนักแน่นว่าท่านซิลเวอร์ยังมีชีวิตอยู่ในแดนนิมิตและจะยังปกป้องพวกเขาเมื่อเธอลืมตาตื่น…
สิ่งเหนือธรรมชาติอื่น ๆ มีความเห็นต่างกันในตำนานโบราณเหล่านี้ แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาไม่เชื่อกัน
เพราะถึงอย่างไร เวลาก็ผ่านไปนานมากแล้ว และตำนานโบราณเหล่านี้ก็เหลือเพียงเสี้ยวเล็กจ้อยเสียจนพวกเขาบางคนก็ถูกมองว่าเป็นสิ่งต้องห้ามและนอกรีตไปแล้ว
ยกตัวอย่างเช่นโบสถ์แห่งโรคระบาดที่ปฏิเสธการมีอยู่ของแม่มดบรรพกาลและปฏิเสธแนวคิดเหล่านั้นว่าเป็นสิ่งนอกรีต
โบสถ์แห่งจุดสูงสุดบูชาดวงจันทร์ แต่ไม่มีคำสอนใจที่เกี่ยวกับค่ำคืนแห่งวัลเพอร์กิสเลย และแยกพวกมันออกเป็นสองสิ่งอย่างสมบูรณ์
พูดได้ว่าผู้ที่นับถือศาสนานั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวัลเพอร์กิเลย
ในระหว่างนั้น ในใจของนักศึกษามูเอนที่รักก็ยังเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามเมื่อได้ยินศัพท์ ‘ผู้ได้รับการเจิม’ และวัลเพอร์กิส เพราะเธอไม่สามารถจับเค้าลางได้เลยว่าคำพวกนี้หมายถึงอะไร
วัลเพอร์กิสพอจะมองออก เธอปล่อยชายกระโปรงของเธอแล้วเดินตรงมาอย่างนุ่มนวลพร้อมด้วยคลื่นกระเพื่อมใต้ร่าง พร้อมพูดด้วยเสียงที่ไพเราะราวกับนกไนติงเกล
“บุตรที่รักเอ๋ย เจ้ามิรู้ทั้งชื่อหรือประวัติของข้าเลย”
“ข้าคือวัลเพอร์กิส ผู้สลับวันคืน ผู้เรียกหายามพลบค่ำ ตะวันและจันทราคือบุตรคนโตและบุตรีคนรองแห่งข้า ดวงดาราและผืนลำธารต่างสรรเสริญข้า”
“ข้าอำนวยพรทุกสิ่งสรรพอันอยู่ภายใต้การหมุนเวียนแห่งทิวาและราตรี และข้าก็ทำพันธสัญญากับทุกชีวิตที่มีเวทมนตร์ด้วยว่า
‘ทุกผู้ที่ขานนามแห่งตะวันจักเป็นที่รักแห่งข้า
ทุกผู้ที่สาบานต่อข้าจักได้รับความช่วยเหลือจากข้า
ทุกผู้ที่ข้าทะนุถนอมจักปลอดภัยจากความมืดและความโกลาหล’”
เธอเคลื่อนกายเข้าหามูเอนขณะร่ายคำเหล่านี้ออกมาอย่างไพเราะ เด็กสาวระแวงและพยายามหดตัวหนี แต่วินาทีต่อมา หญิงสาวชุดดำก็หายไป แล้วเสียงอันไพเราะก็ดังขึ้นอีกครั้งจากเบื้องหลังของเธอ
มือในถุงมือสีดำวางบนบ่าของมูเอน วัลเพอร์กิสขยับเข้ามาใกล้หลังของเด็กสาว พลันเห็นแผลเป็นที่ต้นคอของเธอ จากนั้นก็กระซิบเบา ๆ ด้วยเสียงปกติของเธอ “ข้าชอบเด็กที่ปรารถนาอยากเป็นอิสระ”
“ฉันไม่ใช่คนของคุณ” เมื่อตระหนักว่าเธอไม่สามารถกำจัดอีกฝ่ายได้ มูเอนจึงหันมาเผชิญหน้า “คุณลากฉันเข้ามาในแดนนิมิตของคุณแบบนี้ ต้องการจะทำอะไรกันแน่คะ?”
เด็กสาวมนุษย์ประดิษฐ์ผู้อ่อนเยาว์นั้นขาดความรู้ เธอไม่ได้ตระหนักเลยว่าคำพูดที่วัลเพอร์กิสพูดนั้นเกินพอที่จะล้มล้างทุกความคิดทั่วไปเกี่ยวกับแม่มดบรรพกาลได้!
วัลเพอร์กิสไม่ได้แค่ควบคุมรัตติกาล ขอบเขตการควบคุมของเธอกว้างไกลกว่านั้นมาก
กลางวัน กลางคืน และพลบค่ำ การควบคุมของเธอต่อการหมุนเวียนของช่วงเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอำนาจของเธอคือสิทธิ์เหนือกาลเวลา
ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวและลำธาร สิ่งเหล่านี้แทนผู้ใต้บัญชาของเธอ ด้วยระดับของเธอที่เหนือล้ำกว่าสิ่งเหล่านี้มาก และกระทั่งควบคุมพวกมันได้
อีกทั้งขอบเขตผู้ศรัทธาในเธอก็ไม่ได้มีเพียงเอลฟ์ราตรี แต่ทุกสิ่งมีชีวิตรวมไปถึงตัวตนที่มีพลังเวทมนตร์ด้วย
เทียบกับดวงจันทร์และกำแพงหมอกแล้ว แม่มดบรรพกาลวัลเพอร์กิสนั้นดูเหมือนเทพเจ้าที่แท้จริงมากกว่า
วัลเพอร์กิสชะงัก แล้วเธอก็ขำคิก “เป็นเจ้าต่างหากที่เข้าสู่แดนนิมิตแห่งข้า”
และนั่นคือเหตุที่เธอคิดว่ามูเอนคือผู้ได้รับการเจิมที่มาขอความคุ้มครองจากเธอ จากพันธสัญญาที่เธอทำไว้เมื่อหลายพันปีก่อน แม้ว่าความแข็งแกร่งปัจจุบันของเธอจะเสื่อมถอยลงไปมาก และโลกก็จำชื่อของเธอไม่ได้แล้วก็ตามที
มูเอนเองก็ชะงักงัน แล้วเธอก็ระลึกได้ว่าเห็นขนนกของตาข่ายดักฝันแวบหนึ่งก่อนจะหลับไป แล้วเธอก็เข้าใจทันที…เธอหลงเข้ามาในความฝันที่ตาข่ายดักฝันจับได้!
และสื่อกลางก็คงเป็นตรานักบวชของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดที่เธอเก็บไว้ในกล่อง
เมื่อระลึกถึงบทสนทนาระหว่างหลินเจี๋ยและคุณพ่อวินเซนต์ แล้วปะติดปะต่อมันเข้ากับคำพูดของวัลเพอร์กิสแล้ว มูเอนก็ค้นพบความขัดแย้งบางเรื่อง
“คุณคือดวงจันทร์เหรอคะ?” เธอถาม
วัลเพอร์กิสลูบหัวของมูเอนราวกับว่าเธอเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรด แล้วแย้มยิ้ม “ข้ามิใช่ แต่ดวงจันทร์คือลูกรักของข้าเช่นเดียวกับเจ้า”
มูเอนคิดแล้วมองไปรอบ ๆ “มันไม่ได้อยู่นี่”
“เมื่อความมืดกลืนกินทุกสรรพสิ่ง ข้าก็ฝังมันที่นี่กับดวงอาทิตย์” วัลเพอร์กิสเอื้อนเอ่ยพลางทอดสายตามองเส้นขอบฟ้าอันไกลโพ้น
“แต่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดเชื่อในดวงจันทร์จนพวกเขาไม่กล้ามองมันตรง ๆ เลยนะคะ” มูเอนตอบ
รอยยิ้มของวัลเพอร์กิสจางลงในขณะที่เธอจ้องมูเอนเขม็ง “นั่นคือของปลอม ดวงจันทร์ที่แท้จริงนั้นมิหวาดกลัวต่อสายตาผู้ศรัทธาหรอก”
“กลัว?”
“ความเชื่อผิด ๆ ทำให้คนบ้าคลั่งได้ มันกลัวจักถูกเปิดโปงว่าเป็นตัวปลอมจอมลวงโลก และเพราะเหตุนั้นมันจึงให้ผู้คนสาบานที่จะไม่มองร่างจริงอันอัปลักษณ์ของมัน หากข้ายังมีอำนาจ ข้าจักมิยอมให้มันดำเนินตามทางอันโง่เขลาของมันต่อแน่”
“น่าเสียดาย…ข้าในยามนี้มีตัวตนได้เพียงในแดนนิมิตนี้เท่านั้น”
วัลเพอร์กิสพลันมองไปทางมูเอน “บางทีเจ้าอาจเป็นโอกาสของข้าก็ได้”
“อ๋า?” มูเอนกะพริบตาปริบ ๆ
วัลเพอร์กิสหยิกแก้มของเด็กสาว “ลูกเอ๋ย เจ้ามีวิญญาณที่บริสุทธิ์ราวน้ำใส ราวภาชนะที่ดัดแปลงง่ายที่สุด…เจ้ายินยอมจักรับความฝันนี้ไว้หรือไม่? ข้าจักมอบเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ทั้งหมดนี้ให้ และให้เจ้าแทนที่ข้าในฐานะนายแห่งแดนนิมิตนี้”
มูเอนถามอย่างระแวดระวัง “คุณอยากให้ฉันทำอะไรคะ?”
วัลเพอร์กิสแสยะยิ้ม “สังหารดวงจันทร์จอมปลอมนั่นเสีย”
—
คอลินนั่งอยู่กับที่เป็นชั่วโมง ๆ ล่วงเข้าดึกดื่นจนเกือบจะเช้า
กระทั่งเมื่อแสงอาทิตย์ส่องเข้ามาในร้าน แขนขาของเขายังเย็นเฉียบ และร่างของเขาก็ยังสั่นเทา
เมื่อคืน เขารออยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็เปิดประตูรับบาทหลวงที่กลับมาอย่างความคาดหวังว่าจะได้ยินข่าวดีที่ปัดรังควานสำเร็จ
ตลอดทั้งช่วงเย็น คอลินไม่ได้ยินเสียงการต่อสู้ เสียงกรีดร้องจากร้านข้าง ๆ หรือเห็นอะไรผิดปกติอย่างเลือดสาดที่หน้าต่างหรือแสงเจิดจ้าสีขาวที่แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ที่ดุเดือดเลยสักนิด
เมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของบาทหลวงที่กลับมา คอลินก็รู้ว่าสถานการณ์นั้นอันตรายจริง ๆ
ทว่า…เรื่องราวนั้นกลับตาลปัตรกับสิ่งที่เขาคาดหวังเลย!
แทนที่จะได้รับข่าวว่าสถานการณ์คลี่คลายแล้ว คอลินกลับได้รับคำพูดว่า “ลูกเข้าใจผิดแล้วล่ะ เจ้าของร้านหนังสือร้านข้าง ๆ เป็นคนธรรมดาที่ใจดี อบอุ่นและชอบช่วยเหลือคนเท่านั้นเอง”
กระทั่งคุณพ่อวินเซนต์ยังแปดเปื้อน!
นรกนั้นว่างเปล่าเพราะปีศาจพวกนั้นเดินอยู่ในหมู่พวกเรา!
ความประสาทเสียของคอลินพุ่งถึงขีดสุดจนมันกลายเป็นโทสะไป
ทำไมคนพวกนี้ถึงปฏิเสธที่จะเชื่อเขานัก!
เจ้าของร้านสื่อวีดิทัศน์เปิดประตูร้านออกแล้วตั้งมั่นจะเผชิญหน้ากับปีศาจที่ร้านข้าง ๆ
เขาต้องเปิดโปงร่างจริงของเจ้าของร้านหนังสือให้ได้!
ต่อให้เขาต้องตายก็ตาม!