หลินเจี๋ยให้มูเอนปลด ‘ชุดเกราะส่วนตัว’ ของพวกคนที่นอนแอ้งแม้งกับพื้นออก หลังจากเกราะใบหน้าถูกปลดออกไป ก็เห็นได้ว่าผู้บุกรุกที่น้ำตานองหน้าพวกนี้ยังถือว่าเด็กกันอยู่ทั้งนั้น
เป็นอย่างที่เขาสงสัย ฮู้ดที่ขึ้นชั้นสองไปเป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนี้ อายุเฉลี่ยอยู่ที่ราว ๆ ยี่สิบปี ดังนั้นจึงนับได้ว่าเป็นแก๊งวัยรุ่น
ทว่าจุดประสงค์ที่น่าขำอย่าง ‘ขโมยหนังสือ’ นั้นลดโทสะที่หลินเจี๋ยมีลงเล็กน้อย
หากเจ้าพวกนั้นตั้งใจจะบุกเข้ามาแล้วปล้นบ้านคนด้วยปืน หลินเจี๋ยก็คงสั่งสอนพวกเขาว่าเป็นคนดี ๆ เขาทำยังไง แทนที่จะมัดพวกเขาแล้วอยากชวนคุยอย่างเป็นกันเองแบบนี้
ฮู้ดที่ได้รับการปฏิบัติด้วย ‘อย่างเป็นกันเอง’ เขาหลบสายตาจากชิ้นส่วนชุดเกราะที่ถูกปลดออกอย่างโหดร้ายบนพื้นแล้วมองคมดาบที่คอของเขาเอง
พวกนักวิชาการกับนักเวทนั้นคล้ายคลึงกันตรงที่พวกเขาต่างพึ่งพาอำนาจภายนอกในการควบคุมอีเธอร์โดยไม่ฝึกฝนร่างกายของพวกเขาเป็นพิเศษ คุณภาพทางกายภาพของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาเพียงนิดหน่อยเท่านั้น อย่างมากก็มีความแข็งแกร่งทางกายภาพเทียบเท่าระดับผิดปกติ
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ตอนนี้พวกเขาเป็นแค่แกะที่รอถูกเชือด
ยิ่งกว่านั้น ในตอนที่ฮู้ดได้มองเพื่อนฝูงที่เจ็บปวดทรมานของเขาดี ๆ เขาก็ตระหนักถึงความจริงที่โหดร้ายว่ามันไม่ได้เกิดจากการโจมตีจากมนุษย์ประดิษฐ์เลย
ไม่มีบาดแผลทางกายภาพเลยสักแผล แล้วพวกเขาก็โหยหวนพร่ำเพ้อฟังไม่ได้ศัพท์พลางอาเจียนในขณะที่ข่วนขูดตัวเองไปทั่วราวกับเป็นบ้ากันไปหมดแล้ว
นี่…ดูเหมือนความพยายามที่ล้มเหลวในการปล้นความรู้ และวิญญาณของพวกเขาก็กำลังได้รับผลข้างเคียง
ฮู้ดมองเพื่อนพ้องของเขาอย่างกังวลใจสุด ๆ เขาพบว่ามันยากที่จะทำความเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น โอกาสผิดพลาดในการปล้นความรู้นั้นต่ำมากและพวกเขาแต่ละคนต่างอ่านหนังสือเพียงเล่มเดียว แล้วมันจะผิดพลาดไปได้อย่างไรกัน?
อีเธอร์คือหน่วยเงินของเลือดและวิญญาณ เป็นสิ่งที่สื่อถึงเส้นทางการพัฒนาอีเธอร์สองสาย
ในฐานะนักวิชาการที่เด่นเรื่องวิญญาณ จำนวน ปริมาณและพลังวิญญาณของพวกเขาสูงกว่านักเวทส่วนใหญ่ไปมาก
มีคำกล่าวว่านักวิชาการที่ดีจะเป็นนักเวทที่ดีได้แน่นอน แต่นักเวทที่ดีไม่จำเป็นว่าจะเป็นนักวิชาการที่ดีได้
ในสถานการณ์ส่วนใหญ่แล้ว มีสองเหตุผลที่จะเกิดความล้มเหลวเมื่อเป็นเรื่องของการปล้นความรู้
อย่างแรกคือความรู้ที่ปล้นมามีสิ่งที่อยู่เหนือความรู้ความเข้าใจของพวกเขาไปไกลโข เช่นความรู้ต้องห้าม ความรู้โบราณหรือความรู้ชั้นสูงที่เกินกว่าที่วิญญาณของพวกเขาจะรับไหวมาก
ในกรณีเหล่านี้ ผลกระทบจะรุนแรงกว่าและอาจจะทำให้วิญญาณของพวกเขาบาดเจ็บหรือฉีกขาด รวมไปถึงก่อให้เกิดผลที่ไม่คาดฝันกับร่างกายของพวกเขาด้วย
อย่างที่สองก็คือความรู้ที่มากเกินไปจนวิญญาณไม่สามารถกักเก็บไว้ได้หมด เหมือนการกินอาหารมากเกินไป มันอาจส่งผลให้เกิดการใช้งานจิตใจเกินขนาด ทำให้เกิดการเสียความทรงจำหรือการขับความทรงจำออกในเวลาเดียวกัน
ถ้าเป็นทั้งสองเหตุผล งั้นผลของมันก็คงเหมือนเจ้าพวกนี้ที่คืบคลานไปทั่วแบบเสียสติ
นั่นก็คือจะบอกกันว่า ในร้านที่เต็มไปด้วยหนังสือนี้ ขอแค่ลองปล้นความรู้จากหนังสือสักเล่มก็เกินพอแล้วที่จะเปลี่ยนใครสักคนเป็นคนปัญญาอ่อนชั่วคราวได้
“พวกคุณมาจากสมาคมแห่งสัจธรรมกันสินะครับ?”
หลินเจี๋ยนั่งลงบนม้านั่งแล้วจ่อดาบของเขาเข้าที่คอของฮู้ดเป็นครั้งคราว
พวกผู้บุกรุกที่ถูกมัดค่อย ๆ หยุดเสียงกรีดร้องโหยหวนลงทีละคน คงเป็นเพราะพวกเขาได้สติกลับมาเล็กน้อยแล้ว และตอนนี้พวกเขาก็นอนแอ้งแม้งบนพื้นด้วยสายตาว่างเปล่า พึมพำไม่ได้ศัพท์ มีเพียงฮู้ดที่ยังนั่งอยู่บนพื้น
ฮู้ดหดตัวอย่างขนลุก ภาพอาวุธและชุดเกราะของเขาถูกทำลายในดาบเดียวยังเป็นแผลใจของเขาอยู่
“ใช่” ในที่สุดเขาก็ตอบ
สายตาที่หลินเจี๋ยมองมาที่เขานั้นดูราวกับเขากำลังมองนักเรียนจากสถาบันมีชื่อเสียงที่ทำเรื่องลักขโมย แม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างการมีการศึกษาดีกับสันดานคนก็ตามที มันก็ยังแปลกอยู่ดี…
การเลือกหนทางที่เอาแต่ใจแบบนี้ในขณะที่มีทางตรงถูกปูไว้ให้แล้วนี้ช่างน่าเศร้าใจนัก
ฮู้ดคุ้นเคยกับสายตาประมาณนี้ดี สมาชิกคนอื่นในสมาคมแห่งสัจธรรมมักจะมองพวก ‘ผู้แสวงหาความจริง’ ด้วยสายตาแบบนี้แหละ
ลึก ๆ แล้วเขาย่อมรู้สึกโกรธ ไม่พอใจ และไม่เต็มใจที่จะยอมรับมัน
ทว่าเมื่อเขาระลึกถึงคำเตือนของหลินเจี๋ยได้ เขาก็เลือกจะหุบปากอย่างว่าง่าย
แต่นี่ไม่ใช่เพราะเขากลัวหรอก
หาก ‘ผู้แสวงหาความจริง’ รู้จักความกลัว พวกเขาคงไม่ถูกเรียกว่าคนบ้าได้
และคนบ้าไม่ได้หมายความว่าพวกเขาโง่เง่า และคนฉลาดรู้ว่าต้องยอมสยบในสถานการณ์ใด?
ฮู้ดรู้คำพูดนี้ดี และเขาจะแค่อดทน…
หลินเจี๋ยตั้งคำถามต่อไป “พริทท์ ฮอลกับทรอลโลป รูเพิร์ด พวกคุณเคยได้ยินชื่อนักวิจัยสองคนนี้ไหม?”
ฮู้ดนิ่งงัน เขาไม่รู้ว่าร้านหนังสือจะทำอะไร
แต่ว่าเขาก็สงบตัวเองลงก่อนจะตอบ “พริทท์ ฮอลเป็นอดีตหัวหน้าฝ่ายการแพทย์ รูเพิร์ดเป็นหัวหน้าฝ่ายโบราณคดีคนสุดท้าย แต่เขาตายไปนานกว่าร้อยปีแล้ว”
“ทั้งฝ่ายโบราณคดีเละเทะหลังเขาตาย และไม่มีใครเต็มใจจะมาเป็นผู้นำ เพราะอย่างนั้นทั้งฝ่ายจึงถูกประธานคนก่อนของสมาคมแห่งสัจธรรมยุบไป”
ใครจะรู้ว่านักวิจัยทั้งสองจากชิ้นส่วนเอกสารนั้นที่จริงแล้วจะเป็นนักวิชาการระดับหัวหน้าฝ่าย แต่ขนาดพวกเขายังยืมหนังสือยุคมืด การรุ่งเรืองและการล่มสลายของอัลฟอร์ดเล่มนั้นไม่ได้
ดูเหมือนหนังสือเล่มนี้จะมีระดับสูงจริง ๆ เราต้องมองเรื่องนี้ในมุมมองระยะยาวแล้ว…
ทว่าการตายของรูเพิร์ดดูจะมีปัญหาอยู่ แม้ว่าเขาจะตายด้วยเหตุผลทางธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรถ้าจะไม่มีใครยินยอมนำทีมขึ้นมากะทันหัน หรือกระทั่งยุบฝ่ายทั้งฝ่ายไปเลย
หืม…บางทีสองอย่างนี้อาจจะไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ประโยคสุดท้ายก็ดูเกินไปหน่อย
ต้องมีบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่
หลินเจี๋ยตระหนักได้ว่าฮู้ดดูจะมีความปรารถนาพิเศษที่จะแสดงความรู้ของเขา เขามีสีหน้าที่ดูพอใจอย่างเป็นธรรมชาติในตอนที่เขาพูดถึงส่วนหลัง
“รูเพิร์ดตายยังไง?” หลินเจี๋ยโพล่งถามขึ้น
ฮู้ดรู้ตัวว่าเขาหลุดปากไปแล้ว จึงหุบปากไป
“ผมยังถามพวกเขาได้อีกนะ ถ้าคุณไม่อยากบอก” หลินเจี๋ยหัวเราะหึแล้วชี้ไปที่เพื่อนพ้องของฮู้ดบนพื้น
ฮู้ดแค่นหัวเราะ “พวกเขาไม่รู้หรอก”
หลินเจี๋ยลูบคาง “คุณดูจะรู้เยอะนะ”
“แน่นอน” ฮู้ดยิ้มเยาะ “ผู้แสวงหาความจริงอย่างเรา ๆ คือเส้นทางสู่ความจริงอย่างแท้จริง ประสิทธิภาพในการเรียนของเรามีประสิทธิภาพยิ่งกว่าใคร ตราบใดที่เราชิงความรู้ที่ต้องการมาได้ เราก็จะได้เห็นความจริงเอง!”
หลินเจี๋ยเมินเขา “ในเมื่อคุณพูดอะไรไม่ได้ ก็คงเป็นเพราะเรื่องนี้ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้”
“ขอบเขตของการขโมยความรู้คงจะมาจากคนบางคนหรือทรัพยากรบางอย่างใช่ไหมล่ะ? ผมสงสัยจังว่าใครจะให้ข้อมูลที่ลับขนาดนี้ให้พวกคุณได้…จากพฤติกรรมเกเรของพวกคุณ ดูเหมือนพวกคุณคงกลัวที่จะต้องรับผิดชอบนะครับ”
หลินเจี๋ยจ้องฮู้ดอยู่นานแล้วเผยรอยยิ้มเป็นมิตร “เจ้าฮู้ดเอ๋ย คุณดูไม่เหมือนคนระดับสูงเลย ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้แค่เรื่องเดียว ผู้ปกครองของคุณ…มีตำแหน่งสูงในสมาคมแห่งสัจธรรมสินะครับ”
“ว่าไงครับ ผมใช้คุณเพื่อต่อรองกับสมาคมแห่งสัจธรรมดีไหมเอ่ย?”
แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้ไม่ได้จะหลอกลวงกัน ในฐานะเจ้าของร้านหนังสือผู้ซื่อตรงและใจดี หลินเจี๋ยจะทำอะไรแบบจับคนเรียกค่าไถ่ได้อย่างไรกัน
การใช้คล็อด นายตำรวจที่เขารู้จักให้จัดการกับเรื่องนี้ก็เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการคลี่คลายเรื่องนี้ ไม่มีจุดประสงค์อื่น
สีหน้าของฮู้ดแข็งทื่อ เหลือบมองคมดาบที่เขยิบใกล้คอยิ่งกว่าครั้งไหนแล้วส่ายหน้าอย่างสุดชีวิต
“ไม่เหรอ?” หลินเจี๋ยถอนหายใจ “เอาน่า ผมแค่หยอกเล่นครับ คุณนี่เป็นเด็กที่ไม่มีอารมณ์ขันเสียเลย”
ก่อนที่ฮู้ดจะทันได้ผ่อนคลาย เขาก็ได้ยินหลินเจี๋ยพูดต่อ “เอาอย่างนี้ไหมครับ? ในเมื่อคุณเอาแต่พูดถึงเรื่องของผู้แสวงหาความจริง สกัดความรู้หรืออะไรเทือกนั้น ผมจะไม่ติดต่อสมาคมแห่งสัจธรรมแล้ว แต่เราสองคนจะเล่นเกมกันแทน”
“ลองสกัดความรู้ของผมสิ ผมจะปล่อยคุณไปถ้าคุณทำได้ แต่ถ้าคุณพลาด ก็ถือว่าผมยึดความรู้ของคุณไปแล้ว แล้วคุณก็จะต้องบอกผมเรื่องการตายของรูเพิร์ดแล้วกัน”
รอยยิ้มของหลินเจี๋ยกว้างขึ้น “แบบนี้เป็นไงครับ?”